Afleveringen
-
ถือศีลเราก็มีความสงบ สงบกาย สงบวาจา ทำสมาธิ สงบใจ สงบกาย สงบวาจาก็มีความสุขระดับหนึ่ง ทำสมาธิ สงบเข้าถึงใจ มีความสุขไปอีกระดับหนึ่ง ถ้าเราเจริญปัญญา เราจะพบความสุขที่มหาศาลยิ่งกว่านั้นอีก เกิดปัญญาเข้าใจอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมา จิตจะมีความสุข ความสุขอันนี้ไม่เหมือนความสุขของสมาธิ ไม่เหมือนความสุขของการรักษาศีล ความสุขของปัญญามันอิ่มเอิบ ความสุขที่เหนือกว่านั้นคือความสุขของวิมุตติ โดยเฉพาะความสุขของพระนิพพาน ตรงนี้ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า “นิพพานัง ปะระมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นบรมสุข สุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี แล้วสิ่งที่เรียกว่าสงบคือพระนิพพาน พระนิพพานคือสุดยอดของความสงบ ถ้าเราต้องการมีชีวิตที่มีความสุข อย่าทำตัวเหมือนหมาขี้เรื้อน หมาขี้เรื้อนอยู่ตรงนี้ก็คัน ต้องวิ่งไปอยู่ที่อื่น แล้วก็ประเดี๋ยวก็คันอีกก็วิ่งอีก การที่เราต้องวิ่งพล่านๆ เที่ยวหาความสุขจากโลกภายนอก มันคือกิริยาอาการแบบเดียวกับหมาขี้เรื้อนนั่นล่ะ แต่เราก็ไม่ได้ว่าเขา เพราะคนในโลกไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม ไม่มีโอกาสได้สัมผัสพระธรรม เขายังจำเป็นต้องวิ่งพล่านไป เพราะคิดว่านั่นดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว เราก็อย่าว่าเขา เพราะเมื่อก่อนเราก็เป็นแบบนั้นล่ะ พวกเราสะสมบุญบารมี เราได้ฟังธรรม เราได้ลงมือปฏิบัติธรรม เราได้เข้าใจธรรมะ ชีวิตเราก็เข้าถึงสันติสุขที่แท้จริงมากขึ้นๆ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 เมษายน 2567
-
Zijn er afleveringen die ontbreken?
-
มนุษย์ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ต่างกับเดรัจฉานตรงมีวัฒนธรรมนี่ล่ะ วัฒนธรรมก็เกิดขึ้นมาด้วยเหตุผล ความจำเป็นของสังคม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราก็มีวัฒนธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีผู้ให้ มีผู้รับ ผู้ที่เขาให้เราก่อนเรียกบุพการี เป็นคนที่หาได้ยาก คนที่ให้เราก่อนโดยไม่หวังผลอะไร เราต้องนึกถึง อย่าไปเชื่อความเห็นของมาร อย่างยุคนี้ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีวัฒนธรรม อันนั้นมันหมาแล้ว หมามันยังกตัญญู มันคล้ายๆ สัตว์ ในนี้สัตว์เยอะ ลูกสัตว์พอมันโต มันก็แยกตัวออกไปทำมาหากิน มีครอบครัวของมัน มันไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่เป็นเรื่องแปลก เพราะว่าเขาเป็นเดรัจฉาน ถ้าเราไม่ใช่เดรัจฉาน เราก็นึกถึงพ่อถึงแม่เราบ้าง นึกถึงผู้มีพระคุณของเราบ้าง มันเป็นสิ่งที่ดีงาม หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 เมษายน 2567
-
ไม่ว่าจะทำกรรมฐานอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือความรู้สึกตัว เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่าความรู้สึกตัว เป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัติ ที่จะล้างอาสวกิเลสทั้งหลายได้ ถ้าปราศจากความรู้สึกตัว โอกาสยากมากที่จะสู้กิเลสได้ ก็หลงทั้งวัน มันก็กลายเป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งวัน หลงตลอดเวลา โมหะเอาไปกินเอาไปครอบงำไว้ทั้งวัน ไม่เคยรู้สึกตัว พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าท่านไม่เห็นธรรมะใดสำคัญเท่ากับความรู้สึกตัว ธรรมะที่เป็นไปเพื่อจะลดละกิเลส เพื่อจะพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะฉะนั้นความรู้สึกตัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง ทำไปด้วยความรู้สึกตัว ถ้าอานาปานสติหายใจออก รู้สึกตัว หายใจเข้า รู้สึกตัว ถ้าดูอิริยาบท 4 ยืน รู้สึกตัว นั่ง รู้สึกตัว เดิน รู้สึกตัว นอน รู้สึกตัว ทำสัมปชัญญบรรพ เคลื่อนไหว รู้สึก หยุดนิ่ง รู้สึก เน้นตรงที่รู้สึก แล้วการที่เรารู้สึกอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากความรู้สึกตัวแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสงบ คือสมาธิ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราทำกรรมฐานโดยเน้นที่ความรู้สึกตัว เราจะได้สมาธิชนิดที่ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 เมษายน 2567
-
มันไม่มีอะไรที่แน่นอนสักอย่างเดียวเลย เพราะฉะนั้นความดีใดๆ ก็ตาม จะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ความดีใดๆ ก็ตาม มีโอกาสทำให้รีบทำ อย่าเอาไว้ก่อนเอาไว้ก่อนเอาไว้ก่อน แล้วไม่ได้ทำ แล้วเราจะเสียใจทีหลัง ไม่ว่าชีวิตจะดีหรือจะเลว สุดท้ายเราก็อยู่ในโลกนี้ชั่วคราวเท่านั้นล่ะ จากไปโดยมีสมบัติติดตัวไปหรือว่าไม่มี จะต้องรอรับส่วนบุญของคนอื่น เราทำเอาเองได้ทั้งนั้น มางานศพทั้งที คนตายเขาได้แสดงธรรมะให้เราดู ว่าเกิดแล้วตายแน่นอน พวกเรายังไม่ทันจะตาย เรามาฟังธรรมะเพื่อเตรียมตัวตายอย่างมีศักดิ์ศรี เตรียมตัวตายอย่างคนมีปัญญา แบบลูกศิษย์มีครู ไม่ใช่ตายแบบอนาถา ตายแล้วก็ต้องมาวิ่งตะกาย ขอให้คนแผ่ส่วนบุญให้ หวังพึ่งอะไรอย่างนั้น พวกผีพวกเปรต อายุมันยืนกว่าคน สมมุติว่าเราไปเป็นเปรต ลูกหลานเราทำบุญให้เรา เหลนเราตายแล้ว เรายังไม่ตายเลย ไม่มีใครทำบุญให้แล้ว ต่อไปก็เป็นผีไร้ญาติจนได้ พูดง่ายๆ อายุยืนกว่ามนุษย์ เพราะฉะนั้นทำไว้ด้วยตัวเองปลอดภัยที่สุด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช สำนักสงฆ์โสธรธรรมนิมิต 6 เมษายน 2567
-
ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์สอนให้ดูกายก่อน เพราะมันดูง่าย มันเป็นของหยาบ ร่างกายไม่เคยหนีไปไหนเลย มีแต่จิตเราหนีไปจากร่างกาย พอเรารู้ความจริงของร่างกาย มันเป็นของไม่เที่ยง มันถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา มันบังคับควบคุมอะไรไม่ได้ มันเป็นแค่วัตถุ เป็นแค่ก้อนธาตุที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง พอใจมันเห็นความจริง ใจมันก็จะหมดความยึดถือในร่างกาย ในส่วนนามธรรมเราก็ดูไป ค่อยๆ แยกสภาวธรรม ให้มันละเอียดขึ้น เราจะเห็นว่าจิตนั้นก็เป็นสภาวะอันหนึ่ง ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่สุขไม่ทุกข์โดยตัวของมันเอง มันดีมันชั่ว มันสุขมันทุกข์ เพราะมีธรรมะอย่างอื่น มีขันธ์อย่างอื่น นามขันธ์อันอื่นที่ไม่ใช่จิตเข้ามาปรุงแต่ง ความสุขมาปรุงแต่งขึ้นมา มันก็เป็นเราสุข ความทุกข์ปรุงแต่งก็เป็นเราทุกข์ ความดีปรุงแต่งก็เป็นเราดี ความโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นมา เราโลภ เราโกรธ เราหลง กลายเป็นเราทุกทีไป ถ้าหัดแยกได้ เราก็จะเห็นเวลาความสุขเกิดขึ้น เราจะเห็นว่าจิตก็เป็นอันหนึ่ง ความสุขก็เป็นอันหนึ่ง ความสุขกับจิตเป็นสภาวธรรมคนละชนิดกัน เกิดด้วยกัน แต่ว่ามันเป็นคนละอย่างกัน ความสุขทั้งหลายล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้ จิตที่ไปรู้ความสุขเข้า ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้เหมือนกัน หัดดูอย่างนี้เรื่อยๆ ไป แล้วต่อไปพอจิตใจเราประณีตมากขึ้น เราจะเห็นว่ากระทั่งตัวจิตเองก็เกิดดับ จิตไม่ได้มีดวงเดียว จิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายก็คือไม่ว่าจะเห็นจิตผู้รู้เป็นอนิจจัง หรือทุกขัง หรืออนัตตา สุดท้ายก็คือปล่อยวางจิต ปล่อยวางจิตได้ก็ปล่อยวางขันธ์ทั้งหมดได้ ปล่อยวางขันธ์ทั้งหมดได้ ก็ปล่อยโลกทั้งหมดได้ ก็ไม่ยึดถือสิ่งใดในโลกอีกแล้ว จิตก็พ้นจากความทุกข์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 มีนาคม 2567
- Laat meer zien