Afleveringen
-
1. ทั่วไต้หวันอากาศแปรปรวนหนัก กรมอุตุฯ เตือนฝนฟ้าคะนองรุนแรง เสาร์นี้ฝนกระหน่ำทั่วภาคกลาง-เหนือแต่เช้า เย็นวันพุธหน้ามาอีกระลอก
ไต้หวันเข้าสู่หน้าร้อนเต็มตัว ลักษณะพิเศษคือฤดูฝนจะมาก่อน สภาพอากาศจึงแปรปรวน ฝนตกหนัก ฟ้าคะนองรุนแรง โดยเฉพาะช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน อย่างเช้าวันเสาร์นี้ (24 พ.ค.) พื้นที่ตั้งแต่ภาคกลางถึงภาคเหนือ ฝนตกหนักแต่เช้า ที่ไทเปและนิวไทเปมีน้ำท่วมขังหลายพื้นที่ สถานีรถไฟฟ้าตั้นสุ่ยน้ำท่วมราง ขณะที่สนามบินเถาหยวนและไทจง มีฝนกระหน่ำทำให้เที่ยวบินต้องเลื่อนเวลาออกไป ส่งผลให้การเดินทางล่าช้า
วันเสาร์นี้ (24 พ.ค.) พื้นที่ตั้งแต่ภาคกลางถึงภาคเหนือ ฝนฟ้าคะนองรุนแรงแต่เช้า (ภาพแสดงปริมาณน้ำฝนจากกรมอุตุนิยมวิทยา : CWA)
กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันพยากรณ์ว่า วันอาทิตย์นี้ (25 พ.ค.) ฝนจะซาลง แต่อากาศยังคงมัวหมองจนถึงช่วงเย็น วันจันทร์และอังคารหน้าอากาศกลับมาดีขึ้น แต่ร้อนอบอ้าว และเย็นวันพุธที่ 28 พฤษภาคม แนวปะทะอากาศพาดผ่านเกาะไต้หวันอีกระลอก ทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก เตือนให้ระวัง ออกนอกบ้านต้องพกร่มหรือเสื้อกันฝน และหลีกเลี่ยงไปยังบริเวณใกล้ภูเขาและแม่น้ำลำธาร
แนวปะทะอากาศพาดผ่าน ทำให้วันเสาร์นี้ (24 พ.ค.) พื้นที่ตั้งแต่ภาคกลางถึงภาคเหนือ ฝนฟ้าคะนองรุนแรงแต่เช้า (ภาพถ่ายดาวเทียมจากกรมอุตุนิยมวิทยา : CWA)
2. คนไต้หวันนิยมสัตว์เลี้ยง แต่ละปีลงทะเบียนมากกว่าเด็กเกิดใหม่ ทำธุรกิจงานศพสัตว์เลี้ยงมาแรง กษ. ไต้หวันเล็งออกมาตรฐานราคามิถุนายนนี้
จากสถิติพบว่า ปัจจุบันทั่วไต้หวันมีสัตว์เลี้ยงกว่า 2.79 ล้านตัว ส่วนใหญ่เป็นน้องหมาน้องแมว และยอดจำนวนการลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงใหม่ในแต่ละปีสูงกว่าจำนวนเด็กแรกเกิดเสียด้วยซ้ำ เมื่อมีการเลี้ยงจำนวนมาก ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงไม่ว่าหายอาหารและเครื่องใช้ โรงพยาบาลสัตว์ สถานรับดูแลและเสริมสวยสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะธุรกิจหลังความตายของสัตว์เลี้ยง หรือธุรกิจจัดพิธีศพสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจรหรือที่เรียกกันว่า “กลับดาว” กลายเป็นอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่เฟื่องฟูและเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี ราคาบริการของบริษัทรับจัดงานศพสัตว์เลี้ยงแต่ละแห่งค่อนข้างจะแตกต่างกันมาก เช่น การเผาซากศพสัตว์เลี้ยงที่มีน้ำหนักเท่ากัน อาจมีราคาต่างกันสูงถึง 2,000 เหรียญไต้หวัน เจ้าของสัตว์เลี้ยงบางส่วนให้ความเห็นว่า บริการที่ดีสำคัญกว่าราคา ขณะที่บางกลุ่มตั้งข้อสังเกตว่า ราคาที่ต่างกันมากอาจเกิดจากการตั้งราคากันเองของผู้ประกอบการ
ยอดจำนวนการลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงใหม่ในไต้หวันแต่ละปี สูงกว่าจำนวนเด็กแรกเกิดเสียอีก (ภาพจาก udn.com)
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายควบคุมธุรกิจรับจัดพิธีศพสัตว์เลี้ยง ทำให้ราคาของแต่ละเจ้าต่างกันมาก มีเจ้าของสัตว์เลี้ยงรายหนึ่งบ่นว่า หนูแฮมสเตอร์ตัวโปรดของตนน้ำหนักเพียง 500 กรัม แต่ถูกเรียกเก็บค่าบริการเผาศพถึง 5,000 เหรียญไต้หวัน อีกรายบ่นว่า กิ้งก่าของตนที่เลี้ยงไว้ตาย น้ำหนักแค่ 1 กิโลกรัม แต่ค่าบริการละลายซากร่างพร้อมห่อศพ ก็ยังถูกเรียกเก็บถึง 5,000 เหรียญเช่นกัน แพงกว่าค่าใช้จ่ายจัดการศพน้องหมาน้องแมวตัวเล็กเสียอีก ทำให้รู้สึกไม่สมเหตุสมผล สร้างความไม่พอใจให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงจำนวนมาก
ทั่วไต้หวันมีสัตว์เลี้ยงกว่า 2.79 ล้านตัว ส่วนใหญ่เป็นน้องหมาน้องแมว ส่งผลให้ธุรกิจรับจัดพิธีศพสัตว์เลี้ยงบูมมาก แต่เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายควบคุมโดยเฉพาะ ค่าบริการจึงต่างกันมาก (ภาพจาก crossing.cw.com.tw)
ปัจจุบัน ผู้ประกอบการรับจัดการซากศพสัตว์เลี้ยง มักคำนวณตามน้ำหนักของสัตว์เลี้ยง โดยใช้วิธีจัดการซากสัตว์ 2 วิธี ได้แก่ เผา ซึ่งจะคิดค่าใช้จ่ายเฉพาะเผายังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ดังนี้ :
- น้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม 3,000 - 4,000 เหรียญไต้หวัน
- น้ำหนักเกิน 20 กิโลกรัม 5,000 - 7,000 เหรียญไต้หวัน
ขณะที่บางรายจะคิดในอัตราเดียวคือ 5,000 เหรียญไต้หวัน หากน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม
บริษัทรับจัดการศพสัตว์เลี้ยง จะช่วยจัดการเผา เก็บเถ้ากระดูกใส่โถ และมีที่ฝังหรือที่เก็บเถ้ากระดูคล้ายสุสานมนุษย์ ค่าบริการ (เฉพาะเผา) ตั้งแต่ 3,000-7,000 เหรียญ (ภาพจาก udn.com)
อีกวิธีหนึ่ง ใช้การละลายซากสัตว์ หรือที่เรียกกันว่าเผาศพด้วยน้ำ คือการนำร่างเข้าสู่กระบวนการอัลคาไลน์ ไฮโดรไลซิส ย่อยสลายเนื้อเยื่อและอวัยวะจนเหลือแต่ซากกระดูก ซึ่งใช้พลังงานน้อยกว่าการเผาซากสัตว์เลี้ยงทั่วไป คำนวณตามน้ำหนักของสัตว์เลี้ยงเช่นกัน ราคาเฉพาะสุนัขและแมว ดังนี้ :
- ไม่เกิน 1 กิโลกรัม ประมาณ 4,500 เหรียญไต้หวัน
- น้ำหนัก 10 กิโลกรัม: ประมาณ 6,500 เหรียญไต้หวัน
สัตว์อื่น ๆ เช่น หนูแฮมสเตอร์ กระต่าย สัตว์เลื้อยคลาน นก ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่มีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม ราคาจะอยู่ระหว่าง 4,000 - 4,500 เหรียญไต้หวัน
หนูแฮมสเตอร์ กระต่าย สัตว์เลื้อยคลาน นก ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่มีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม ราคาจัดการศพจะอยู่ระหว่าง 4,000 - 4,500 เหรียญไต้หวัน พอ ๆ กับน้องหมา (ภาพจาก ETtoday)
เจ้าของสัตว์เลี้ยงหลายรายกล่าวว่า แม้ราคาของแต่ละบริษัทจะแตกต่างกัน แต่ก็ไม่ติดใจที่จะจ่ายเพิ่มในช่วงสุดท้ายของสัตว์เลี้ยง ตราบใดที่บริการดี แม้จะมีค่าบริการเพิ่มเติมเช่น เครื่องเซ่นไหว้ที่ทำเป็นรูปดอกบัว กระดาษเงินกระดาษทอง ฯลฯ ก็ยินดีจะจ่าย
ไช่อิงเหวิน อดีตผู้นำไต้หวัน ตั้งรูปถ่ายและเถ้ากระดูกสุนัขนำทางเกษียณอายุที่รับเลี้ยงและตายไว้ในห้องเพื่อรำลึก (ภาพจาก FB : อดีตผู้นำไต้หวัน)
เกี่ยวกับราคารับจัดการศพสัตว์เลี้ยงตัวโปรดที่แตกต่างกันมากและยังไม่มีกฎหมายควบคุมดังกล่าว นายเฉินจงซิง รองอธิบดีกรมคุ้มครองสุขภาพและสวัสดิการสัตว์ กระทรวงเกษตร ระบุว่า ปัจจุบันในไต้หวัน มีบริษัทจัดพิธีศพสัตว์เลี้ยงที่มีที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย จดทะเบียนและได้รับใบอนุญาตดำเนินกิจการอย่างถูกต้องเพียงแห่งเดียว ส่วนเรื่องค่าบริการ ถือเป็นเรื่องของการรับรู้ของผู้บริโภค ซึ่งยากที่จะตัดสินว่าเป็นการฉวยโอกาสหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรจะจัดทำสัญญามาตรฐานการจัดพิธีศพสัตว์เลี้ยง ภายในสิ้นเดือนมิถุนายนปีนี้ เพื่อวางระบบและมาตรฐานการจัดการศพสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม
3. ไทเปเผชิญปัญหาประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากคนไทเปไหลไปยังสู่เมืองรอบนอก
จากข้อมูลล่าสุดของกองกิจการพลเรือน กรุงไทเป ระบุ เดือนมีนาคม 2568 ประชากรไทเปลดลง 12,000 คนเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ และเป็นเดือนที่ 3 ที่จำนวนผู้ย้ายออกมากกว่าผู้ย้ายเข้า
มีนาคม 2568 ประชากรไทเปลดลง 12,000 คนเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ และเป็นเดือนที่ 3 ที่จำนวนผู้ย้ายออกมากกว่าผู้ย้ายเข้า (ภาพจาก chinatimes.com)
จากข้อมูลพบว่า เดือนมกราคมปีนี้ จำนวนผู้ย้ายเข้าในกรุงไทเปอยู่ที่ 4,529 คน ส่วนผู้ย้ายออกมีจำนวน 6,473 คน เดือนกุมภาพันธ์ ผู้ย้ายเข้า 5,764 คน ผู้ย้ายออก 12,667 คน ซึ่งมากกว่าผู้ย้ายเข้า 6,903 คน และในเดือนมีนาคม ผู้ย้ายเข้า 8,056 คน แต่ผู้ย้ายออกเพิ่มขึ้นเป็น 20,158 คน ไม่เพียงแต่จำนวนผู้ย้ายออกมากกว่าผู้ย้ายเข้า 3 เดือนติดต่อกัน แต่ในเดือนมีนาคมจำนวนผู้ย้ายออกมากกว่าผู้ย้ายเข้าเพิ่มขึ้นถึง 12,000 คน สาเหตุสำคัญมาจากราคาบ้านและค่าครองชีพในไทเปที่แพงขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง
กรุงไทเปมีพื้นที่ทั้งสิ้น 271.7997 ตร. กม. ประชากร ณ สิ้นเดือนมีนาคม ปี 2568 ทั้งสิ้น 2,468,089 คน พื้นที่แคบ ราคาบ้านและที่ดินแพง คนหนุ่มสาวทยอยย้ายไปอยู่เมืองรอบนอก (ภาพจาก Up Media)
กรุงไทเปในปัจจุบันมีพื้นที่ทั้งสิ้น 271.7997 ตร. กม. ขณะที่พื้นที่ทั้งหมดของไต้หวันคือ 36,193 ตร. กม. คิดเป็น 0.748 % ของพื้นที่ทั้งหมดของไต้หวัน (เล็กกว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 5.7 เท่า) มีประชากร ณ สิ้นเดือนมีนาคม ปี 2568 ทั้งสิ้น 2,468,089 คน กรุงไทเปแม้จะมีพื้นที่น้อย ราคาบ้านและที่ดินแพงหูฉี่ แต่ที่น่าสนใจคือกรุงไทเปมีพื้นที่สีเขียวที่เป็นปอดของชาวไทเป มากถึง 717 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นสวนสาธารณะขนาดเล็กๆ และสวนหย่อม แต่ก็มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ อาทิ สวนสาธารณะต้าอาน ซึ่งมีพื้นที่ให้ประชาชนไปออกกำลังกายกัน ตั้งอยู่ในย่านต้าอานซึ่งเป็นย่านของผู้มีอันจะกิน ของกรุงไทเป นอกจากนี้ก็มีสวนสาธารณะซินเซิง เป็นต้น
แม้จะมีพื้นที่น้อย ราคาบ้านและที่ดินแพง แต่กรุงไทเปมีพื้นที่สวนสาธารณะมากถึง 717 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นสวนสาธารณะขนาดเล็ก ๆ และสวนหย่อม แต่ก็มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่หลายแห่ง (ภาพจาก LTN)
ไทเป ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไต้หวัน ในความเป็นจริงแล้วพื้นที่กรุงไทเปในปัจจุบัน เชื่อกันว่าเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์หรือเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีหลักฐานอ้างอิงที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น จนกระทั่งมีการพบภาพวาดแผนที่ไทเป ที่วาดโดยชาวฮอลแลนด์ เมื่อปี พ.ศ.2194 (ค.ศ. 1654) ระบุถึงพื้นที่ไทเปในขณะนั้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองเผ่าข่ายต๋าเก๋อหลัน ซึ่งยึดอาชีพประมงและเพาะปลูก โดยชนเผ่านี้รวมตัวกันอยู่ในเขตต้าถง ต้าหลงต้ง และหยวนซาน ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำต้านสุ่ยและแม่น้ำจีหลง ในขณะนั้นไต้หวันถูกฮอลแลนด์และสเปนยึดครอง โดยชาวฮอลแลนด์ยึดพื้นที่ทางภาคใต้รวมเมืองไถหนาน ส่วนภาคเหนือของไต้หวันรวมไทเปถูกชาวสเปนยึดครอง
อาคารเก่าอายุ 130 ปี (สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1895) ของโรงพยาบาลมหาวิทยาไต้หวันหรือไถต้า (ภาพจาก taipeimedicaltourism.org)
ต่อมาในปี ค.ศ. 1827 รัชสมัยของจักรพรรดิคังซี รัชศกคังซีที่ 23 กองทัพราชวงศ์ชิงเริ่มปกครองเกาะไต้หวันโดยส่งผู้ตรวจราชการและทหาร 10,000 นายมาประจำการในไต้หวัน เริ่มสร้างเมืองไทเปขึ้น และตั้งไทเปเป็นเมืองหลวงของเกาะไต้หวันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตามด้วยการอพยพของชาวฮั่นจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าสู่เกาะไต้หวันขนานใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมณฑลกวางตุ้ง และฝูเจี้ยน และเป็นการอพยพครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ไต้หวัน ซึ่งได้นำเอาวัฒนธรรมจีนเข้าสู่เกาะไต้หวัน และกลืนวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองจนเลือนหายไป โดยในยุคนั้นชุมชนที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ที่ ว่านหัว ต้าเต้าเฉิง สี่โข่ว และต้าหลงต้ง ซึ่งล้วนอยู่ริมแม่น้ำต้านสุ่ยและอยู่ทางฝั่งตะวันตกของกรุงไทเปในปัจจุบัน โดยเฉพาะว่านหัวได้ชื่อว่าเป็นย่านการค้าที่มีขนาดใหญ่ จนทำให้มีคำพูดที่ว่า一府二鹿三艋舺 โดยคำว่า一府 (อ่านว่า อีฝู่) หมายถึง ไถหนานเป็นอันดับ1 (ในอดีตไถหนานมีชื่อเรียกว่า 府城) 二鹿 (อ่านว่า เอ้อลู่) หมายถึง ลู่กั่งดับ 2 และ 三艋舺 (อ่านว่า ซานเมิงเจี่ย) หมายถึง ว่านหัวอันดับ 3 (ในอดีตว่านหัวมีชื่อเรียกว่า艋舺) เป็นการเรียงลำดับความสำคัญของย่านธุริกจการค้าของไต้หวันในยุคราชวงศ์ชิงปกครอง
ประตูเมืองโบราณ (ประตูทิศเหนือ) ในย่านซีเหมินติง กรุงไทเป ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติระดับ 1 (ภาพจาก taipeimedicaltourism.org)
ในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวันคือระหว่างปี พ.ศ. 2438-2488 (ค.ศ. 1895-1945) รวมเวลา 50 ปีที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองไต้หวัน อันเนื่องมาจากจีนทำสงครามกับญี่ปุ่น จีนพ่ายแพ้ถูกญี่ปุ่นเรียกร้องค่าเสียหาย ราชวงศ์ชิงจำเป็นต้องยกไต้หวันให้ญี่ปุ่นไป ระหว่างที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวันได้รื้อกำแพงเมืองไทเปทิ้งเกือบหมดเหลือเพียงประตูทางทิศเหนือเท่านั้น เพื่อขยายตัวเมืองไทเปออกไป ทำให้ต่อมาในปี 2447 หรือ 9 ปีหลังญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน ไทเปกลายเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในไต้หวัน และในปี 2478 หรือ 40 ปีหลังญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน ไทเปซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1 %ของพื้นที่ทั้งหมดในไต้หวันมีประชากรที่เป็นชาวฮั่น และชาวญี่ปุ่นมากถึง 2.7แสนคน จากจำนวนประชากรทั่วไต้หวันในขณะนั้น 5.3 ล้านคน และในยามกลางวันมีคนเข้ามาทำงานมากถึง 3.3 แสนคน
จิ่งฝูเหมิน หรือประตูเมืองโบราณทิศตะวันออก หน้าทำเนียบประธนาธิบดี สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1884 สมัยราชวงศ์ชิง (ภาพจาก taipeimedicaltourism.org)
ตามมาด้วยยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของไต้หวัน นั่นก็คือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงครามต้องคืนไต้หวันให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐจีนในขณะนั้นมีผู้นำคือจอมพลเจียงไคเชค ได้ส่งนายพลเฉินอี๋ มารับมอบอำนาจการปกครองต่อจากญี่ปุ่น ไทเปยังคงมีฐานะเป็นเมืองหลวงของไต้หวันต่อไป แต่ไร้ซึ่งเงาของชาวญี่ปุ่น เพราะได้อพยพกลับมาตุภูมิไปจนหมด ที่เข้ามาแทนคือทหารจากกองทัพสาธารณรัฐจีนที่ทยอยส่งทหารเข้ามาประจำการ จากนั้นในปี 1949 รัฐบาลพ่ายแพ้ให้แก่คอมมิวนิสต์จีน ย้ายฐานมาอยู่ไต้หวันพร้อมด้วยทหารและครอบครัวนับล้านคน และเป็นการเริ่มต้นปฏิรูปและปรับปรุงผังเมืองไทเปครั้งใหญ่และครั้งสำคัญ ประชากรไทเปเพิ่มจาก 2 แสนคนหลังญี่ปุ่นถอนกำลังออกไป เพิ่มเป็น 1 ล้านคนในเวลาเพียงสิบกว่าปี
-
1. เตือนอากาศร้อนจัด อุณหภูมิแตะ 37°C ! ช่วงบ่ายระวังฝนฟ้าคะนอง แนะออกนอกบ้านต้องพกร่ม
กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันรายงานว่า วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2568 อุณหภูมิทั่วไต้หวันจะสูงเกิน 31 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงไทเปและนครนิวไทเป รวมถึงภาคกลางและภาคใต้ อุณหภูมิอาจสูงถึง 33–35°C และในบางพื้นที่ใกล้ภูเขาทางภาคใต้ อาจแตะ 37°C ได้ ประชาชนที่ต้องออกนอกบ้านควรระวังแสงแดดแผดเผาและดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ
เตือนอากาศร้อนจัด อุณหภูมิแตะ 36°C ! ช่วงบ่ายระวังฝนฟ้าคะนอง แนะออกนอกบ้านต้องพกร่ม (ภาพจาก UDN)
นายอู๋เต๋อหรง ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า ในวันนี้ (18 พฤษภาคม) อากาศช่วงกลางวันจะร้อนจัดเหมือนฤดูร้อน อุณหภูมิสูงสุดแตะ 37 องศาเซลเซียส ควรระวังแสงแดดและป้องกันอาการฮีทสโตรก ช่วงบ่ายอาจมีฝนตกหรือฝนฟ้าคะนองในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตภูเขา และจากแบบจำลองคาดการณ์สภาพอากาศของยุโรป ระบุว่า แม้จะมีแนวปะทะอากาศเคลื่อนเข้าใกล้ในวันจันทร์หน้า (19 พฤษภาคม) และวันพฤหัสบดี (22 พฤษภาคม) แต่จะส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศไม่มากนัก สัปดาห์หน้าทั่วไต้หวันยังคงมีอากาศร้อนจัด และพื้นที่แถบภูเขาอาจมีฝนตกในช่วงบ่าย
แบบจำลองคาดการณ์สภาพอากาศระบุ สัปดาห์หน้าทั่วไต้หวันยังคงมีอากาศร้อนจัด และในพื้นที่ภูเขาอาจมีฝนตกในช่วงบ่าย (ภาพจาก UDN)
2. แยมส้มของไต้หวันสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศ คว้า 69 รางวัลจากการประกวดแยมส้มระดับนานาชาติ ที่อังกฤษ
แยมส้มของไต้หวันเข้าร่วมการประกวด Dalemain World Marmalade Awards หรือการประกวดแยมส้มระดับนานาชาติที่คฤหาสน์เดลเมน (Dalemain Mansion) ซึ่งมีอายุเก่าแก่ ตั้งอยู่ที่เมืองเพนริธ (Penrith) ประเทศอังกฤษ ในปีนี้ได้สร้างผลงานยอดเยี่ยมอีกครั้ง คว้า 69 เหรียญรางวัลแยมส้มของไต้หวันสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศ คว้า 69 รางวัลจากการประกวดแยมส้มระดับนานาชาติ ที่อังกฤษ (ภาพจากเฟซบุ๊ก Kudamono Danshi)
สำหรับการประกวด World Marmalade Awards ถือเป็นหนึ่งในการแข่งขันแยมที่ทรงเกียรติที่สุดในโลก โดยปีนี้มีผลงานเข้าร่วมประกวดมากกว่า 3,000 ชิ้น มีแยมจากไต้หวัน 200 ชนิดเข้าร่วมการแข่งขันระดับผู้เชี่ยวชาญ (Artisan Competition) และเกือบ 50 ชนิดเข้าร่วมการแข่งขันแยมโฮมเมด (Homemade Competition) แดน เลพาร์ด (Dan Lepard) อดีตกรรมการตัดสิน "การแข่งขันแยมส้มโลก" และเชฟชื่อดังของอังกฤษ กล่าวว่ากล่าวว่า เมื่อเขาได้ชิมแยมจากผู้เข้าแข่งขันชาวไต้หวัน เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก "รสชาติของผลไม้สดระเบิดขึ้นบนปลายลิ้น" ราวกับว่าเขาถูกพาไปยังสวนผลไม้ในเขตร้อนชื้น เพื่อสัมผัสการผจญภัยแห่งรสชาติอันมหัศจรรย์ แยมของไต้หวันมีความได้เปรียบอย่างมากในเวทีนานาชาติเพราะไต้หวันเป็นเกาะเล็ก ๆ ผู้ผลิตแยมสามารถซื้อผลไม้สดใหม่จากเกษตรกรได้โดยตรงทำให้แยมมีรสชาติสดใหม่และเป็นธรรมชาติแตกต่างจากแยมแบบดั้งเดิมของอังกฤษที่มีสัดส่วนของน้ำตาลถึง 60% เพื่อให้สามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องได้ ส่งผลให้รสชาติของผลไม้ถูกกลบด้วยความหวานของน้ำตาล
แยมจากไต้หวันมีความได้เปรียบอย่างมากในเวทีนานาชาติเพราะไต้หวันเป็นเกาะเล็ก ๆ ผู้ผลิตแยมสามารถซื้อผลไม้สดใหม่จากเกษตรกรได้โดยตรงทำให้แยมมีรสชาติสดใหม่และเป็นธรรมชาติ (ภาพจาก HONEYBEE JAM)
ผลการประกวดในปีนี้ สำหรับรางวัลที่ทรงเกียรติที่สุดคือ ดับเบิลโกลด์ (Double Gold) ที่มีเพียง 3 รางวัล ได้แก่
1.ประเภท "แยมส้มสากล" (International Marmalade) ผู้ชนะคือแบรนด์ญี่ปุ่น Gela 319
2.ประเภท "แยมส้มดั้งเดิม" (Traditional Marmalade) ผู้ชนะคือบริษัทอังกฤษ Single Variety
3.ประเภท "การจับคู่กับอาหารคาว" (Marmalade for Savoury Food) ผู้ชนะคือ แยมยี่ห้อ Kudamono Danshi จากไต้หวัน
ในปีนี้แบรนด์จากไต้หวัน อาทิ Kudamono Danshi (果食男子) สร้างสถิติใหม่ ด้วยการคว้ารางวัลครบทุกชิ้นที่ส่งเข้าประกวด ได้แก่ 1 รางวัลดับเบิลโกลด์ 2 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 6 เหรียญทองแดง และ 2 รางวัลชมเชย นอกจากนี้ แยมโฮมเมดแบรนด์ HONEYBEE JAM (小甜心手工果醬) ได้รับ 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 8 เหรียญทองแดง และแบรนด์ Magic Friends (渼橘客) คว้า 1 เหรียญทอง และ 1 รางวัลชมเชย
จงเหวินผิง (ซ้าย) และเติ้งเซิ่งเฉียง (ขวา) 2 หนุ่มที่ร่วมกันก่อตั้งแยมส้มแบรนด์ Kudamono Danshi ที่คว้ารางวัลดับเบิลโกลด์มาครอง (ภาพจากเฟซบุ๊ก Kudamono Danshi)
แบรนด์ Kudamono Danshi ที่คว้ารางวัลดับเบิลโกลด์มาครอง ร่วมกันก่อตั้งโดยจงเหวินผิง (鐘文平) และ เติ้งเซิ่งเฉียง (鄧聖強) ทั้งคู่ชื่นชอบและตระเวนชิมอาหารเลิศรส เติ้งเซิ่งเฉียง ทำงานอยู่ในวงการร้านอาหารมาโดยตลอด ส่วนจงเหวินผิง เดิมทำงานด้านการตลาด ก่อนจะเปลี่ยนสายมาเป็นผู้จัดการร้านอาหาร ทั้งสองคนได้ก่อตั้งแบรนด์ของตัวเองเมื่อ 10 ปีก่อน เติ้งเซิ่งเฉียงรับผิดชอบด้านการพัฒนาแยมผลไม้ และจงเหวินผิงดูแลด้านการตลาดและการที่ 2 หนุ่มวัยฉกรรจ์ สามารถพาแยมส้มรสชาติไต้หวันก้าวขึ้นสู่เวทีโลกได้สำเร็จ คว้ารางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันในหมวดการเติมส่วนผสมที่น่าสนใจ และหมวดการเติมแอลกอฮอล์ ด้วย "แยมส้มโอเนื้อแดงไต้หวันผสมลำไยรมควันและเหล้าจิน" ใช้ส้มโอเนื้อแดงของไต้หวันเป็นวัตถุดิบหลัก เคี่ยวรวมกับลำไยรมควันและเหล้ายิน (Gin) ทำให้กลิ่นหอมลำไยที่คนไต้หวันคุ้นเคยถูกเผยแพร่สู่ทั่วโลก โดยสามารถคว้ารางวัลเกียรติยศสูงสุดคือ ดับเบิลโกลด์ (Double Gold) หรือเหรียญทองคู่จากคณะกรรมการ ในหมวด “แยมที่เหมาะสำหรับทานคู่กับอาหารคาว”อีกด้วย
หลิวเยี่ยนเหวิน คุณแม่ที่มีลูกชาย-หญิงคู่หนึ่ง จากเขตเหมยหนง นครเกาสง ผู้ก่อตั้งแยม HONEYBEE JAM (ภาพจาก chinatimes.com)
แยมโฮมเมดแบรนด์ HONEYBEE JAM ที่สร้างผลงานดีเด่นคว้าเหรียญรางวัลมา 14 เหรียญ ก่อตั้งโดยหลิวเยี่ยนเหวิน (劉彥雯) ที่เขตเหมยหนง นครเกาสง เป็นคุณแม่ที่มีลูกชายหญิงคู่หนึ่ง ในตอนแรก เธอเพียงแค่อยากให้ลูกสาวที่ป่วยเป็นโรคหายากได้ทานอาหารสุขภาพที่ปราศจากสารเติมแต่ง จึงเริ่มเส้นทางการทำแยมผลไม้โฮมเมด หลังจากที่แยมผลไม้ฝีมือเธอได้รับคำชมจากญาติและเพื่อนฝูง เธอจึงก่อตั้งแบรนด์ HONEYBEE JAM ในปี 2559 แยมโฮมเมดแบรนด์ HONEYBEE JAM ที่ชนะรางวัลเหรียญทอง คือ "柚見甜蜜" หรือแยมส้มโอหวานชื่นใจ โดยเลือกใช้ส้มโอเหวินตั้นจากไถหนานและเพื่อช่วยลดรสขมของส้มโอ เธอได้เติมส้มและเหล้ามะกอกป่าจากไถตงเพื่อเสริมรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น หลิวเยี่ยนเหวินกล่าวว่า สำหรับเธอ แยมผลไม้ที่เธอทำได้ถ่ายทอดความรู้สึกแห่งความห่วงใยที่มีต่อผู้บริโภค และเธอหวังว่าจะทำให้ผู้คนได้ลิ้มรสแยมผลไม้จากธรรมชาติที่ปราศจากสารเติมแต่งมากยิ่งขึ้น
3. อยากได้ไหม? พาไปชมพิพิธภัณฑ์ทองคำจินกัวสือ ทองแท่ง 220 กก. ชายฉกรรจ์ 8 คนจึงจะยกไหว ส่วนแท่งเล็ก 12.5 กก. ท้า 2 นิ้วยกขึ้นได้เอากลับบ้านไปเลย
ไต้หวันไม่เพียงแต่มีที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีผลผลิตทองคำต่อหน่วยพื้นที่สูงที่สุดในโลก โดยเฉพาะที่จินกัวสือ (金瓜石Jinguashi) และจิ่วเฟิ่น ถือเป็นแหล่งทองคำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก ขุดและผลิตทองไปแล้วเกือบ 600 ตัน และคาดว่าเทือกเขากลางที่ทอดยาวจากเหนือจรดใต้ยังมีทองคำบริสุทธิ์ฝังอยู่ใต้ดินมากกว่า 500 ตัน เพียงแต่ว่า ยังมีข้อจำกัดเรื่องของกฎหมายและการคมนาคม จึงยังไม่มีการสำรวจและขุดกันจริงจัง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเหมาะสมแล้วที่ไต้หวันจะได้รับการขนานนามว่าเป็น “เกาะทองแห่งเอเชีย”
ทองคำแท่งหนัก 220 กิโลกรัม เป็นทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าในตลาดในปัจจุบัน 760 ล้านเหรียญไต้หวัน ต้องใช้ชายฉกรรจ์ 8 คนจึงจะยกขึ้นได้ (ภาพจาก travel.taipei)
แหล่งแร่ทองคำในไต้หวันมีการกระจุกตัวที่ 2 หมู่บ้าน ได้แก่จินกัวสือและจิ่วเฟิ่น ซึ่งอยู่ติดกัน จึงนิยมเรียกย่อว่าชุมชนจินจิ่ว อยู่ในเขตรุ่ยฟาง นครนิวไทเป เป็นพื้นที่เพียง 5 ตารางกิโลเมตร แต่กลับมีทองคำถึง 95% ของปริมาณทองคำที่ผลิตได้ทั้งหมดในไต้หวัน ผลจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่ซับซ้อนและหลากหลาย ทำให้แร่ทองคำของจินกัวสือมีลักษณะเฉพาะและกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เดียวอย่างน่าทึ่ง แหล่งทองคำจินจิ่วอันล้ำค่า เคยมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของไต้หวัน ญี่ปุ่น และแม้แต่อาเซียน
ทองคำแท่งเล็กขนาดเท่ากล่องดินสอ นน. 12.5 กก. ใครสามารถยกทองคำแท่งนี้ขึ้นได้ด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ นำกลับบ้านได้เลย ยกอย่างในภาพไม่ได้นะครับ (ภาพจาก molii.com)
มีบันทึกการผลิตทองคำในชุมชนจินจิ่วมานานกว่า 400 ปี แต่กระแสขุดทองเริ่มต้นในปี 2432 หรือเมื่อ 136 ปีที่แล้ว เมื่อคนงานพบทรายทองในแม่น้ำระหว่างสร้างสะพานเหล็กปาตู่ การขุดทองในชุมชนจินจิ่วจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ จนถึงปี 2514 จำต้องปิดเหมืองเพราะต้นทุนสูงเกินไป ขณะที่ราคาทองคำตกต่ำ เป็นเวลากว่า 75 ปีที่จินจิ่วกลายเป็นชุมชนไม่เคยหลับและเป็นแดนแห่งความใฝ่ฝันของบรรดานักผจญภัย
ทิวทัศน์ยามกลางคืนสีเหลืออร่ามและมีตัวอักษรจีนตัวเบ้อเริ่ม 金 (อ่านว่า จิน) แปลว่าทองคำ สลักอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ทองคำจินกัวสือ (ภาพจากพิพิธภัณฑ์ทองคำจินกัวสือ)
ช่วงที่มีการขุดทองได้ในปริมาณสูงสุด คือยุคที่ไต้หวันตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในปี 2457 เหมืองทองคำจินกัวสือขุดทองได้ถึง 1,600 กิโลกรัม และในปี 2481 จิ่วเฟิ่นขุดได้ถึง 1,700 กิโลกรัม นายหลินเหิงเต้า อดีตประธานคณะกรรมการศึกษาประวัติศาสตร์ไต้หวันเคยกล่าวไว้ว่า นโยบายญี่ปุ่นคือให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศอุตสาหกรรม และให้ไต้หวันเป็นประเทศเกษตรกรรม ชาวไต้หวันไม่สามารถจัดตั้งบริษัทหรือขอเงินกู้ได้ แต่หลังสงครามยุโรปเริ่มต้น ญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้ทองคำจำนวนมากเพื่อนำเข้าสินค้าและเป็นทุนสำรอง จึงเริ่มขุดทองและถ่านหินในไต้หวันอย่างจริงจัง
ทางเข้าและภายในอุโมงค์เหมืองแร่ทองคำ ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดี (ภาพจากพิพิธภัณฑ์ทองคำจินกัวสือ)
หลังจากครึ่งศตวรรษแห่งความรุ่งเรือง จินกัวสือและจิ่วเฟิ่นก็เงียบเหงาลง จนในทศวรรษ 1990 มีศิลปินและนักเขียนเข้ามาอยู่อาศัย ฟื้นฟูพื้นที่จนเกิดการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมรอบใหม่ ในปี 2547 ไต้หวันจึงก่อสร้างและเปิดให้ประชาชนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ทองคำ (Gold Museum) ที่จินกัวสือ เป็นพิพิธภัณฑ์นิเวศวิทยาแห่งแรกในไต้หวัน นอกจากชมประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะทองคำและถ่านหินแล้ว ภายในยังมีทองแท่งขนาดใหญ่และเล็กตั้งโชว์อยู่หลายแท่ง และบริเวณโดยรอบ มีทิวทัศน์และสิ่งก่อสร้างโบราณที่สวยงามให้ชมมากมาย
เสียเงินซื้อบัตรเพิ่มอีก 100 เหรียญ สามารถร่วมกิจกรรมร่อนทองและให้นำเกล็ดทองกลับบ้านได้ (ภาพจากพิพิธภัณฑ์ทองคำจินกัวสือ)
ภายในพิพิธภัณฑ์ทองคำจัดแสดงทองคำแท่งหนัก 220 กิโลกรัม ซึ่งเป็นทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าในตลาดทองคำในปัจจุบัน 760 ล้านเหรียญไต้หวัน ต้องใช้ชายฉกรรจ์ 8 คนจึงจะยกขึ้นได้ การเปิดตัวของทองคำแท่งนี้เป็นที่ตื่นตาตื่นใจ ซึ่งได้รับอนุญาตพิเศษจากธนาคารกลางไต้หวันเพื่อจัดแสดง ทั้งน้ำหนักและมูลค่าทำลายสถิติโลกทองคำแท่งที่ญี่ปุ่นเคยนำออกมาโชว์ เมื่อ 25 ปีก่อน นอกจากนี้ ยังมีทองคำแท่งขนาดเล็ก มีขนาดประมาณกล่องดินสอน้ำหนัก 12.5 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 43 ล้านเหรียญไต้หวันให้ได้สัมผัส และทางพิพิธภัณฑ์ประกาศเลยว่า ใครที่สามารถยกทองคำแท่งนี้ขึ้นได้ด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ก็สามารถนำทองคำแท่งนี้กลับบ้านได้เลย น่าเสียดาย ยังไม่มีใครทำได้
เด็ก ๆ ร่อนทองกันอย่างตั้งใจ (ภาพจากพิพิธภัณฑ์ทองคำจินกัวสือ)
คนไทยชอบทอง ยิ่งในปัจจุบันราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว หากท่านอยากไปประลองพลังนิ้วของตัวเองก็เชิญเลยนะครับ หากยกขึ้นได้ ทองแท่ง 12.5 กก. มูล 43 ล้านเหรียญจะเป็นของคุณ ใครที่สนใจอยากไปเที่ยวและลองดู ต้องเสียค่าเข้าชม 80 เหรียญ เปิดทุกวัน 09.30 น. -16.30 น.
เสียเงินซื้อบัตรเพิ่ม 100 เหรียญ สามารถร่วมกิจกรรมร่อนทองและให้นำเกล็ดทองกลับบ้านได้ (ภาพจากพิพิธภัณฑ์ทองคำจินกัวสือ)
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟธรรมดา (TRA) ลงที่สถานีรุ่ยฟาง (Ruifang) ต่อรถบัส Taiwan Tourist Shuttle-Gold Fulong Shuttle ลงที่ป้าย Gold Museum หรือนั่งรถไฟฟ้า (Taipei MRT) ลงที่สถานีจงเสี่ยว-ฟู่ซิง (Zhongxiao Fuxing) เดินทางต่อด้วยรถบัสประจำทางจีหลง (Keelung) สาย 1062 ลงที่ป้ายปลายทางจินกัวสือ (Gold Museum)
-
Zijn er afleveringen die ontbreken?
-
1. ไต้หวันเข้าสู่ฤดูฝนก่อนถึงหน้าร้อน กรมอุตุฯ เตือนเสาร์และอาทิตย์นี้ฝนตกหนักอาจเกิดภัยพิบัติ วันจันทร์เป็นต้นไป อากาศดีขึ้น แต่ต้องระวังไต้ฝุ่นก่อตัว
ไต้หวันอำลาหน้าหนาวที่หนาวจัดและหนาวนานเข้าสู่หน้าร้อน แต่ก่อนเข้าหน้าร้อน ช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน เป็นฤดูฝนของไต้หวัน แม้ฝนจะไม่ตกยาวนานตลอด ช่วยบรรเทาสภาพแห้งแล้งทางภาคกลางและใต้ของเกาะไต้หวันได้ แต่หน้าฝนของไต้หวันมักจะเป็นฝนฟ้าคะนองและมีน้ำฝนตกในปริมาณมากในระยะสั้นจนถึงขั้นที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติจากน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมในเมืองและดินถล่ม สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างสาหัสได้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในหน้าฝนช่วงหลายปีที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาจึงเตือนให้ระวังความผันผวนทางอากาศในช่วงนี้ อย่างเช้าวันเสาร์ที่ 10 พ.ค. นี้ ทั่วไต้หวันมีฝนตกหนักมาก สนามบินซงซานในกรุงไทเป ต้องระงับการขึ้นลงของเครื่องบินเป็นเวลากว่า 20 นาที เตือนแรงงานไทยโดยเฉพาะคนที่ชอบไปจับปลาตามลำห้วยต้องระวังน้ำป่าที่ไหลมาอย่างกะทันหัน
กรมอุตุฯ ไต้หวันเตือน เสาร์และอาทิตย์นี้มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ (ภาพจาก udn.com)
กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า สภาพอากาศทั่วไต้หวันในวันเสาร์และอาทิตย์นี้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ เตือนให้ระวังอาจเกิดน้ำม่วมหรือภัยพิบัติ วันจันทร์เป็นต้นไปอากาศดีขึ้น นอกจากภัยจากฝนตกหนักแล้ว ยังต้องระวังไต้ฝุ่น เพราะเริ่มจากฤดูฝนถึงหน้าร้อนช่วงพฤษภาคม-พฤศจิกายนของทุกปี ในไต้หวันยังเป็นฤดูไต้ฝุ่นด้วย ทั้งนี้ แต่ละปีจะมีไต้ฝุ่นก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกประมาณ 30-40 ลูก เฉลี่ยจะพัดเข้าสู่ไต้หวัน 4-5 ลูก และไต้ฝุ่นลูกแรกของปีนี้ จะก่อตัวเมื่อไหร่ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
กรมอุตุฯ ไต้หวันเตือน เสาร์และอาทิตย์นี้มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ (ภาพจาก udn.com)
1. เงินเหรียญไต้หวันแข็งค่ากว่า 8% ผู้นำเข้าสินค้า รวมถึงแรงงานต่างชาติที่โอนเงินกลับบ้านได้ประโยชน์ แต่ผู้ส่งออกกระอัก ผวาอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐ-เหรียญไต้หวันมีแนวโน้มต่ำกว่า 30 เหรียญ
เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สกุลเงินในหลายประเทศของเอเชียกำลังแข็งค่าขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่แทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน และกระตุ้นให้ธนาคารกลางเข้าแทรกแซงเพื่อควบคุมการแข็งค่าขึ้นมากเกินไป
ต้นเดือนเม.ย. ยังอยู่ที่ 33 เหรียญไต้หวันต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ต้นพฤษภาคมเกือบต่ำกว่า 30 : 1 ดอลลาร์สหรัฐ (ภาพจาก udn.com)
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วช่วงวันที่ 30 เมษายน–2 พฤษภาคม ค่าเงินเหรียญไต้หวันจาก 32.017 เหรียญต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จนถึงปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคมที่ 30.145 แข็งค่าขึ้น 1.872 เหรียญ หรือ 5.85% โดยเฉพาะเมื่อวันศุกร์ที่ 2 พ.ค. วันเดียว แข็งค่าขึ้นเกือบ 1 เหรียญ แต่หากเริ่มจากต้นสัปดาห์ที่แล้ว ค่าเงินเหรียญไต้หวันยังอยู่ที่ 33 เหรียญต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าไปแล้วถึง 10% แต่หากนับจากต้นปีเป็นต้นมา แข็งค่าไปแล้ว 8.74% ทำเอาผู้ส่งออกและธนาคารทั้งหลายผวาอย่างยิ่ง เกรงกันว่าสภาพการณ์ดังกล่าว จะกลายเป็นแนวโน้มในอนาคต จะส่งผลเสียต่อการส่งออก แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้นำเข้าสินค้า เพราะเมื่อเงินเหรียญไต้หวันแข็งค่า ราคานำเข้าจะถูกลง รวมถึงแรงงานต่างชาติที่โอนเงินกลับบ้าน จะได้เงินบาทไทยเพิ่มขึ้น เพราะการแข็งค่าของเงินบาทน้อยกว่าเงินเหรียญไต้หวัน การแข็งค่าของค่าเงินเหรียญไต้หวันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สำหรับการนำเข้าเป็นประโยชน์ แต่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก และเนื่องจากเศรษฐกิจของไต้หวันเน้นการส่งออกเป็นหลัก จึงทำให้ผลเสียมากกว่าผลดี เพราะการแข่งขันของสินค้าไต้หวันในตลาดต่างประเทศจะลดลง โรงงานผลิตจะได้รับผลกระทบถึงขั้นลดการผลิตและปลดพนักงาน
เงินเหรียญไต้หวันแข็งค่ากว่า 8% ผู้นำเข้าสินค้า รวมถึงแรงงานต่างชาติที่โอนเงินกลับบ้านได้ประโยชน์ แต่ผู้ส่งออกผวา (ภาพจาก udn.com)
ประเด็นนี้ ศ. ชิวต๋าเซิง ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้าและอุตสาหกรรมเอเชียแปซิฟิก และอาจารย์พิเศษภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยตงไห่กล่าวว่า ในปี 2564 ค่าเงินเหรียญไต้หวันเคยแข็งค่าขึ้นถึงระดับ 27-28 เหรียญต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในปีนั้น แข็งค่ามากกว่าในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังได้รับแรงกดดันจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้เกิดแรงกดดันสองทาง เขากล่าวว่า สหรัฐฯ จะออกรายงานอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงปลายปี ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อไต้หวัน และช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ใช้ในการสังเกตคือครึ่งหลังของปีที่แล้วถึงครึ่งแรกของปีนี้ แม้ว่าธนาคารกลางไต้หวันจะมีการแทรกแซงเพื่อชะลอการแข็งค่าของค่าเงิน แต่ก็ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่า อาจถูกสหรัฐฯ กล่าวหาแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน
ศ. ชิวต๋าเซิงกล่าวว่า การแข็งค่าของค่าเงินจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกมากที่สุด แม้ว่าการแข็งค่าครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่ากับเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่ผู้ประกอบการจำนวนมากหวังว่า รัฐบาลจะรักษาระดับ 30 เหรียญไต้หวันต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐไว้ให้ได้ แต่ก็เป็นเพียงความหวังของผู้ประกอบการเท่านั้น เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการก็มีความหวังเช่นนี้ แต่ธนาคารกลางมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษีทรัมป์ ย่อมรวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ เคยกล่าวต่อสาธารณชนว่า การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเป็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม ทีมเจรจาของไต้หวันกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา แล้วจะสามารถแทรกแซงเพื่อชะลอการแข็งค่าของค่าเงินได้อย่างไร?
การที่ค่าเงินเหรียญไต้หวันต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามากกว่าเงินบาทไทย ส่งผลให้การโอนเงินกลับบ้านของแรงงานไทยในจำนวนที่เท่ากัน จะได้เงินบาทมากขึ้น
สาเหตุที่ทำให้ค่าเงินเหรียญไต้หวันแข็งค่า มาจากหลายปัจจัย นอกจากผู้ประกอบการทางการเงินหลายรายคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า เงินเหรียญไต้หวันจะแข็งค่าขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจึงเทขายดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับตลาดขาดความเชื่อมั่นในตัวประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกเก็บภาษีจากทั่วโลก ทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง นอกจากนี้ ค่าเงินเอเชียแข็งค่าพร้อมกัน อย่างค่าเงินเยนเริ่มฟื้นตัว เงินวอนเกาหลีก็แข็งค่าขึ้น ดอลลาร์สิงคโปร์และเงินหยวนของจีนก็หยุดอ่อนค่าและเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นเช่นกัน แต่เงินเหรียญไต้หวันโดดเด่นที่สุดในบรรดาสกุลเงินเอเชีย แข็งค่ามากที่สุด ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินเหรียญแข็งค่าขึ้น
2. ศรัทธาแรงกล้า! พาไปดูประเพณีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุน ชาวไต้หวันสมัครร่วมขบวนแห่ 330,000 คน เฉพาะค่าสมัครเกิน 200 ล้านเหรียญ
ช่วงเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี เป็นเทศกาลประเพณีแสวงบุญของชาวไต้หวัน ด้วยการแห่เจ้าแม่มาจู่ไปยังเมืองต่าง ๆ ระยะทางประมาณ 300-400 กม. โดยปัจจุบันขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่และมีผู้ศรัทธาและสานุศิษย์เข้าร่วมมากที่สุด มี สองศาลเจ้า ได้แก่ศาลเจ้าเจิ้นหลันกงที่เขตต้าเจี่ย นครไทจง ซึ่งจบไปเรียบร้อยแล้ว ช่วงวันที่ 4-13 เมษายนที่ผ่านมา อีกขบวนหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ได้แก่ขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งศาลเจ้าก่งเทียนกง (拱天宮) ในหมู่บ้านไป๋ซาถุน ตำบลทงเซียว เมืองเหมียวลี่ ปีนี้ออกเดินทางช้า เริ่มตั้งแต่ 1-11 พฤษภาคม 2568
ทุกปีในช่วงเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติจีน เป็นเทศกาลแสวงบุญของชาวไต้หวันด้วยการแห่เจ้าแม่มาจู่ไปยังเมืองต่าง ๆ ในภาพเป็นขบวนแห่บริเวณศาลเจ้าเจิ้นหลันกง เขตต้าเจี่ย นครไทจง (ภาพจาก udn.com)
ขบวนแห่แสวงบุญเจ้าแม่มาจู่จากศาลเจ้าก่งเทียนกงในหมู่บ้านไป๋ซาถุน ซึ่งนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า ขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่ไป๋ซาถุน ใครจะร่วมก็ได้โดยไม่ต้องสมัครหรือลงทะเบียน แต่หากลงทะเบียนจะได้รับแจกหมวก เสื้อกั๊ก ปลอกแขน ผ้าขนหนูสำหรับซับเหงื่อ เนื่องจากคนแห่ลงทะเบียนจำนวนมาก ไม่กี่วันก็ทำให้ของแจกหมดเกลี้ยง ทำให้คนที่สมัครหลังวันที่ 12 เมษายน จะต้องเพิ่มค่าลงทะเบียนอีก 500 เหรียญเป็น 1,200 เหรียญ กระนั้นก็ตาม ยังมีคนแห่ลงทะเบียน จนถึงวันปิดรับสมัครสูงถึง 330,000 คน มากเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ ขบวนแห่เจ้าแม่ไป๋ซาถุนเมื่อปี 2545 มีผู้ลงทะเบียนสมัครเพียง 3,141 คน แต่ปีนี้พุ่งเป็น 329,110 คน เพิ่มขึ้นกว่า 100 เท่า ปีที่แล้วที่ว่ามากแล้ว คือมี 180,000 คน ตัวเลขปีนี้สูงกว่าเกือบเท่าตัว ท่ามกลางวิกฤตเด็กเกิดน้อย คนสูงอายุเพิ่มมากขึ้น คนวัยกำลังทำงานลดลง แต่ยังมีคนลงทะเบียนร่วมขบวนแห่มากมายจนน่าทึ่งเช่นนี้ ส่งผลให้มีรายได้เข้ากองทุนศาลเจ้ามากกว่า 200 ล้านเหรียญ เรื่องของพลังศรัทธาน่าทึ่งจริง ๆ
ภาพระหว่างทางของขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่ไป๋ซาถุน จากตำบลทงเซียว เมืองเหมียวลี่ ไปยังศาลเจ้าเฉาเทียนกงที่เป๋ยกั่ง เมืองหยุนหลิน ต้องเดินเท้าระยะทางร่วม 400 กิโลเมตร เป็นเวลา 10 วัน 9 คืน (ภาพจาก Baishatun Matsu Internet TV)
ขบวนแสวงบุญด้วยการแห่เจ้าแม่มาจู่ไป๋ซาถุน เป็นประเพณีพื้นบ้านที่มีความสำคัญระดับประเทศและมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 200 ปี ใช้วิธีเดินเท้าเป็นระยะทางร่วม 400 กิโลเมตร เป็นเวลา 10 วัน 9 คืน จากตำบลทงเซียว เมืองเหมียวลี่ จากนั้นเข้าสู่พื้นที่ของนครไทจง จางฮั่ว และหยุนหลิน โดยมีจุดหมายปลายทางที่ศาลเจ้าเฉาเทียนกง (朝天宮) ตำบลเป๋ยกั่ง เมืองหยุนหลิน แต่จะไม่มีการกำหนดเส้นทางที่แน่นอนไว้ล่วงหน้า การหยุดพักหรือจะเดินทางกี่ชั่วโมงต่อวันจะขึ้นอยู่กับลิขิตของเจ้าแม่ ปีนี้เกี้ยวของเจ้าแม่ ซึ่งมีลักษณะเป็นสีชมพู ชาวไต้หวันจึงนิยมเรียกว่า ซูเปอร์คาร์หรือรถแข่งสีชมพู เริ่มออกเดินเท้าจากไป๋ซาถุนไปยังเป่ยกั่ง เมื่อเวลา 23:25 น. ของคืนวันที่ 1 พฤษภาคม และไปถึงเป่ยกั่งในวันที่ 3 พฤษภาคม ต้องเดินเท้ากว่า 120 กิโลเมตรภายในประมาณ 35 ชั่วโมง ซึ่งค่อนข้างเร่งรีบ และผู้ร่วมเดินทางจะต้องเดินอย่างเร่งด่วนอีกครั้ง โดยมีกำหนดเดินทางกลับถึงศาลเจ้าก่งเทียนกงในวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคมนี้
ภาพผู้ศรัทธานับแสนคนกับขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่ไป๋ซาถุนจากเหมียวลี่เดินทางถึงศาลเจ้าเฉาเทียนกงที่ตำบลเป๋ยกั่งเมืองหยุนหลิน (ภาพจาก udn.com)
คณะกรรมการจัดพิธีแห่เจ้าแม่มาจู่ไป๋ซาถุนกล่าวว่า ปีนี้มีประชาชนสมัครเข้าร่วมขบวนแห่ ร่วม 330,000 คน คน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และผู้มีจิตศรัทธาบางคนที่ไม่ได้สมัครก็มาเข้าร่วมขบวนแห่ คาดว่าจะมีผู้คนกว่า 350,000 คนเข้าร่วม นอกจากนี้ในระหว่างการเดินทาง ตลอดเส้นทางที่ขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่เคลื่อนผ่านจะมีผู้ศรัทธาในพื้นที่ออกมาให้การต้อนรับ จัดโต๊ะแจกอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้ผู้ที่ที่ร่วมขบวนแห่ฟรีตลอดเส้นทาง อาหารการกินและที่พักค้างคืนของขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุนจะมีเหล่าผู้ศรัทธาเป็นผู้จัดหาให้ การบริจาคเหล่านี้ล้วนต้องผ่านความเห็นชอบจากเจ้าแม่มาจู่ก่อน ผู้ศรัทธาจะใช้วิธีเสี่ยงทายโดยการปัวะโป้ย (หมายถึงการเสี่ยงทายด้วยไม้ประกบคู่ที่มีลักษณะเป็นไม้นูนโค้งหลังเต่าด้านหน้าเรียบ 1 ชุดมีสองอัน เป็นอุปกรณ์สำคัญในการสื่อสารระหว่างผู้ศรัทธากับเทพเจ้า) เพื่อขอคำบัญชาจากเจ้าแม่มาจู่ว่าอนุญาตหรือไม่?
ปีนี้นับเป็นปีแรกในรอบ 200 ปีที่ขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่เคลื่อนที่ผ่านเมืองหนานโถว (ภาพจาก udn.com)
เจ้าแม่มาจู่ ได้ชื่อว่าเป็นเทพนารีที่ได้รับการเคารพศรัทธามากที่สุดในไต้หวัน โดยปกติแล้วในช่วงเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติจีนเป็นช่วงเวลาที่ศาลเจ้าแม่มาจู่มากมายหลายแห่ง จัดพิธีแห่แสวงบุญพร้อมกับถือโอกาสนี้อัญเชิญองค์เจ้าแม่มาจู่ลงจากแท่นประทับและแห่ออกมานอกศาลเจ้า เพื่อเพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่คลื่นผู้คนนับหมื่นนับแสนออกมาออกันเต็มท้องถนน รอกราบไหว้สักการะองค์เจ้าแม่มาจู่ ในจำนวนนี้เจ้าแม่มาจู่แห่งเขตต้าเจี่ย นครไทจง และศาลเจ้าแห่งหมู่บ้านไป๋ซาถุน ตำบลทงเซียว เมืองเหมียวลี่ ได้รับความสนใจจากผู้คนมากที่สุด
เจ้าแม่มาจู่ ได้ชื่อว่าเป็นเทพนารีที่ได้รับการเคารพศรัทธามากที่สุดในไต้หวัน (ภาพจากศาลเจ้าก่งเทียนกง)
Discovery Channel เคยรายงานและยกให้พิธีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งเขตต้าเจี่ยให้เป็น 1 ใน 3 พิธีกรรมทางศาสนาที่มีความสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2558 กรมมรดกทางวัฒนธรรม (Bureau of Cultural Heritage) กระทรวงวัฒนธรรม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้มีการขึ้นทะเบียน “พิธีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งเขตต้าเจี่ย” “พิธีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งศาลเจ้าเฉาเทียนกง เขตเป่ยกั่ง” และ “พิธีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งหมู่บ้านไป๋ซาถุน” เป็นประเพณีพื้นบ้านที่มีความสำคัญระดับประเทศ นอกจากนี้ความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าแม่มาจู่ ยังถูกจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (intangible cultural heritage) ของมวลมนุษยชาติ โดยไต้หวันถือเป็นดินแดนและศูนย์กลางแห่งความศรัทธาเจ้าแม่มาจู่ของโลก
-
1. ลุ้น! ไปต่อได้อีกไหม? ปีที่แล้ว GDP ต่อหัวของไต้หวันอยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ คาดอีก 4 ปีข้างหน้า แตะ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำนักสถิติและบัญชีกลางไต้หวันเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคล่าสุด ระบุว่า GDP ต่อหัวของไต้หวันอยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,121,439 บาท) แซงหน้าญี่ปุ่น แต่ยังตามเกาหลีใต้ และคาดว่าอีก 4 ปีข้างหน้า GDP ต่อหัวของไต้หวันจะแตะ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ
GDP ต่อหัวของไต้หวันอยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้าญี่ปุ่น แต่ยังตามเกาหลีใต้ (ภาพจาก money.udn.com)
โดย GDP ต่อหัว หมายถึง รายได้เฉลี่ยของประชากรในประเทศ ซึ่งคำว่า GDP ต่อหัว ย่อมาจาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว (GDP Per Capita) ซึ่งได้จากการนำผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product หรือ GDP) คือ รายได้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในประเทศซึ่งคิดเป็นรายปี มาหารด้วยจำนวนประชากร ก็จะทำให้รู้คร่าวๆ ว่าคนในประเทศมีความกินดีอยู่ดีแค่ไหน
GDP ต่อหัวของไต้หวันอยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้าญี่ปุ่น แต่ยังตามเกาหลีใต้ (ภาพจาก chinatimes.com)
สำนักงานสถิติและบัญชีกลาง สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) รายงานว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา GDP ต่อหัวของไต้หวัน อยู่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสำคัญในเอเชีย ถือว่า แซงญี่ปุ่นไล่ตามเกาหลีใต้ โดยญี่ปุ่นอยู่ที่ 32,859 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เกาหลีใต้อยู่ที่ 36,132 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกลุ่มสี่เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชียที่มี GDP ต่อหัวสูงกว่าไต้หวัน เช่น ฮ่องกงอยู่ที่ 54,113 ดอลลาร์สหรัฐ และสิงคโปร์ทะลุ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 90,689 ดอลลาร์สหรัฐ
สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆและไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใด ๆ แต่ GDP ต่อหัวสูงที่สุดในเอเชีย (ภาพจาก businessweekly.com.tw)
หากดูการเปลี่ยนแปลงของ GDP ต่อหัวของไต้หวันตามข้อมูลจากกระทรวงเศรษฐการพบว่า ในปี 2535 อยู่ที่ 10,768 ดอลลาร์สหรัฐ ใช้เวลา 19 ปีถึงจะทะลุ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2554 จากนั้นใช้เวลาเพียง 10 ปี GDP ต่อหัวของไต้หวันทะลุ 30,000 ขึ้นไปอยู่ที่ 32,944 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 และปี 2567 ทำสถิติใหม่ที่ 33,983 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม สำนักงานสถิติและบัญชีกลางไต้หวันเชื่อว่า หากเศรษฐกิจในอีก 4 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ยปีละ 3% ค่าเงินเหรียญไต้หวันไม่ผันผวนหรืออัตราแลกเปลี่ยนคงที่ มีความเป็นไปได้ที่อีก 4 ปีข้างหน้า GDP ต่อหัวของไต้หวันจะแตะ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปี 2568 ประเมินว่า GDP ต่อหัวของไต้หวันจะอยู่ที่ 35,106 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับเป้าหมายทะลุ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐในอีก 4 ปีข้างหน้า นายไช่อวี้ไท่ (蔡鈺泰) ผู้อำนวยการสำนักสถิติและบัญชีกลางกล่าวว่า แม้จะไม่ใช่เป้าหมายที่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ หากเศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยปีละ 3% และค่าเงินมีเสถียรภาพ มีความเป็นไปได้ที่ไต้หวันจะบรรลุเป้าหมาย GDP ต่อหัว 40,000 ดอลลาร์สหรัฐตามที่ตั้งไว้
สำนักงานสถิติและบัญชีกลางไต้หวันคาดการณ์ว่า อีก 4 ปีข้างหน้า GDP ต่อหัวของไต้หวันจะแตะ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ภาพจาก UDN)
นายไช่อวี้ไท่ยังย้ำว่า ไม่ควรดูแค่ตัวเลขในระยะสั้น เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม เพิ่มมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาประเทศอย่างสมดุล เนื่องจาก GDP ต่อหัวยังได้รับผลกระทบจากค่าเงิน หากค่าเงินอ่อนแม้เศรษฐกิจจะเติบโต GDP ที่คำนวณเป็นดอลลาร์สหรัฐ ก็จะลดลง เช่น ในปี 2566 GDP ต่อหัวอยู่ที่ 32,442 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 32,827 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 แม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตก็ตาม โดยทั่วไป หากเศรษฐกิจดี GDP ต่อหัวก็มักจะดีด้วย แต่ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่นอาทิ ตลาดหุ้น-ค่าเงิน ทิศทางเงินทุน บทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯลฯ แต่ผู้อำนวยการสำนักสถิติและบัญชีกลางกล่าวปิดท้ายว่า เป้าหมาย 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,320,000 บาท) ในปี 2571 แม้จะมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงและมีโอกาสสูงที่จะทำได้
ตัวเลข GDP ต่อหัวเป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ทำให้รู้คร่าวๆ ว่าคนในประเทศมีความกินดีอยู่ดีแค่ไหน (ภาพจาก ettoday.net)
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเลข GDP ต่อหัวของประเทศหลักในเอเชียในปี 2568 สำนักสถิติและบัญชีกลางของไต้หวันคาดการณ์ว่า ไต้หวันจะอยู่ที่ 35,106 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วน IMF คาดการณ์ว่า ญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 35,611 ดอลลาร์สหรัฐ เกาหลีใต้ 37,675 ดอลลาร์สหรัฐ หากอิงตามการคาดการณ์นี้ ไต้หวันก็จะถูกญี่ปุ่นแซงอีกครั้งในปีนี้ สำหรับประเทศไทย ข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. ) ระบุ GDP ต่อหัวของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 264,607.7 บาทต่อคนต่อปี (7,496.0 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคนต่อปี)
2. วิกฤตเด็กเกิดน้อย! ทำโรงเรียนประถมในเกาสง 42 แห่งมีนักเรียนใหม่ไม่ถึง 10 คน ที่ไถหนานต้องปิด 4 แห่ง เพราะไม่นักเรียนใหม่เลย 1 ในจำนวนนี้เก่าแก่กว่า 100 ปี
วิกฤตเด็กเกิดน้อยส่งผลกระทบหนักต่อทุกวงการ โดยเฉพาะการรับนักเรียนใหม่ในทุกระดับชั้น อย่างที่นครเกาสงและไถหนาน ได้รับผลกระทบอย่างหนัก กองการศึกษา นครเกาสงเปิดเผยข้อมูลว่า จำนวนนักเรียนใหม่ในโรงเรียนประถมพื้นที่ชนบทของนครเกาสงลดลงทุกปี ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนประถมที่มีเด็กนักเรียนใหม่มาลงทะเบียนเข้าเรียนต่ำกว่า 10 คนมากถึง 42 แห่ง ในจำนวนนี้ โรงเรียนประถม 4 แห่ง มีเด็กนักเรียนใหม่เพียงแค่ 3 คน และมี 3 แห่งมีเด็กนักเรียนใหม่แห่งละ 1 คนเท่านั้น
ปัญหาเด็กเกิดน้อยส่งผลให้โรงเรียนประถมทั่วไต้หวันมีนักเรียนลดลง ในเกาสง 42 แห่งมีนักเรียนใหม่ไม่ถึง 10 คน ที่ไถหนานต้องปิด 4 แห่ง เพราะไม่นักเรียนใหม่เลย (ภาพจาก merit-times.com)
กองการศึกษา นครเกาสงกล่าวว่า ทางเทศบาลนครเกาสงได้แก้ไขและผ่อนปรนข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง กำหนดให้โรงเรียนที่มีนักเรียนทั้งหมดไม่ถึง 40 คนและยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จะต้องจัดทำแผนการปรับเปลี่ยนสู่ความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน 3 ปี เพื่อค้นหาจุดเด่นของโรงเรียนขนาดเล็ก พร้อมให้กองการศึกษาไปตรวจเยี่ยมให้คำแนะนำและประเมินผล เพื่อหลีกเลี่ยงโรงเรียนถูกควบรวมหรือยุบเนื่องจากจำนวนนักเรียนน้อยเกินไป
ปัญหาเด็กเกิดน้อยส่งผลให้โรงเรียนประถมทั่วไต้หวันมีนักเรียนลดลง ในเกาสง 42 แห่งมีนักเรียนใหม่ไม่ถึง 10 คน ที่ไถหนานต้องปิด 4 แห่ง เพราะไม่นักเรียนใหม่เลย (ภาพจาก LTN)
จากสถิติของกองการศึกษา พบว่า ในปีนี้มีโรงเรียนประถมในพื้นที่ชนบทของนครเกาสง 42 แห่ง มีนักเรียนใหม่ลงทะเบียนไม่ถึง 10 คน โดยมี 4 โรงเรียนที่มีนักเรียนเพียง 3 คน ได้แก่ โรงเรียนประถมตัวน่าในเขตเม่าหลิน, โรงเรียนประถมเป่าซานในเขตเถาหยวน, โรงเรียนประถมเสี่ยวผิงในเขตต้าซู่ และโรงเรียนประถมซั่งผิงในเขตซันหลิน ขณะที่โรงเรียนประถมเสี่ยวหลินในเขตเจี่ยเซียน, โรงเรียนประถมเจี้ยนซานในเขตเถาหยวน และโรงเรียนประถมซิงเถียนในเขตต้าซู่ มีนักเรียนใหม่ลงทะเบียนเพียง 1 คนเท่านั้น
โรงเรียนประถมซินเฉียวในนครไถหนาน ก่อตั้งเมื่อปี 2463 มีอายุเก่าแก่ถึง 105 ปี ต้องประกาศปิดโรงเรียน เนื่องจากไม่มีเด็กนักเรียนใหม่มาลงทะเบียน (ภาพจาก FB รร. ซินเฉียว)
ส่วนที่นครไถหนานก็ประสบปัญหาที่รุนแรงไม่แพ้กัน หลังจากโรงเรียนประถมซีผู่ ซึ่งไม่มีเด็กนักเรียนใหม่มาลงทะเบียน ต้องประกาศปิดทำการสอนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมปีนี้เป็นต้นไป โรงเรียนประถมอวี้ซาน โรงเรียนประถมซินเฉียว และโรงเรียนประถมซวงชุน ก็ทยอยปิดตาม โดยโรงเรียนประถมซินเฉียวซึ่งก่อตั้งปี 2463 มีอายุเก่าแก่ถึง 105 ปี ทำให้หลายคนรู้สึกเสียดาย
กองการศึกษา นครไถหนานชี้แจงว่า โรงเรียนที่ยุบและให้เด็กนักเรียนไปเข้าเรียนโรงเรียนอื่น ทางเทศบาลนครไถหนานมีมาตรการสนับสนุน เช่น จัดรถรับส่ง ให้ความช่วยเหลือค่าชุดนักเรียนและกระเป๋าเรียนหลังเปลี่ยนโรงเรียน
โรงเรียนประถมซิงเถียนในเขตต้าซู่ นครเกาสง ปีนี้แม้จะมีนักเรียนใหม่ลงทะเบียนเพียง 1 คน แต่ทีมลูกข่างแบบวงล้อหรือโยโย่จีน (扯鈴) ของโรงเรียนแห่งนี้ สามารถคว้าแชมป์เป็นประจำ (ภาพจาก FB รร. ซิงเถียน)
ด้านกระทรวงศึกษาธิการไต้หวันคาดการณ์ว่า ในปีการศึกษา 2572 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า จำนวนนักเรียนประถมทั่วไต้หวันจะร่วงต่ำกว่า 1 ล้านคน และภายในปี 2582 จะลดลงจากปี 2566 ถึง 518,000 คน หรือเฉลี่ยลดลงปีละ 29,000 คนในช่วง 14 ปีข้างหน้า
กลุ่มนักการศึกษาได้วิเคราะห์ข้อมูล พร้อมเสนอกระทรวงศึกษาธิการ ควรใช้โอกาสนี้ลดจำนวนนักเรียนต่อห้อง เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ส่วนกลุ่มผู้ปกครองเตือนถึงช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท ซึ่งโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลมักได้รับผลกระทบมากที่สุด
ตามรายงานคาดการณ์ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2566 ถึง 2582 พบว่า ปี 2566 มีนักเรียนประถม 1.235 ล้านคน และจะลดลงเหลือ 779,000 คนในปี 2582 ซึ่งลดลงจากปี 2566 ถึง 518,000 คน
โรงเรียนประถมหลงตู้ เขตเหม่ยหนง นครเกาสง ชั้น ป. 1 มีเด็กนักเรียนใหม่เพียง 5 คน ทั้งโรงเรียนมีนักเรียน 72 คน (ภาพจาก udn.com)
จำนวนนักเรียนมัธยมต้นก็มีแนวโน้มคล้ายกัน โดยจาก 546,000 คนในปี 2566 จะลดเหลือ 404,000 คนในปี 2582 ลดลงจาก 428,000 คน หรือเฉลี่ยลดลงปีละ 8,900 คน ระดับมัธยมปลายในปี 2582 คาดว่าจะเหลือ 421,000 คน เฉลี่ยลดลงปีละ 11,000 คน
โหว จวิ้นเหลียง ประธานสหพันธ์ครู เสนอว่า ควรใช้โอกาสจากปัญหาเด็กเกิดน้อยมาปรับลดจำนวนนักเรียนต่อห้องเรียน โดยเฉพาะตามหลักสูตรที่ปรับเปลี่ยนในปี 2561 ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้สามารถปรับการสอนให้เหมาะกับแต่ละบุคคล พร้อมเสนอให้มีบุคลากรเฉพาะทางมาช่วยเหลืองานต่าง ๆ เช่น การแนะแนว การจัดการอาหารกลางวัน การดูแลความปลอดภัยในโรงเรียน เป็นต้น เพื่อให้โรงเรียนมีขีดความสามารถในการให้บริการที่เพียงพอ
ศธ. ไต้หวันคาดการณ์ว่า ในปีการศึกษา 2572 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า จำนวนนักเรียนประถมทั่วไต้หวันจะร่วงต่ำกว่า 1 ล้านคน (ภาพจาก udn.com)
เซียว ตงหยวน ประธานสมาพันธ์ผู้ปกครองนักเรียน กล่าวว่าพื้นที่ในเมืองยังมีโรงเรียนดังที่มีเด็กนักเรียนลงทะเบียนเต็มโรงเรียน แต่ในพื้นที่ชนบทได้รับผลกระทบหนักจากภาวะเด็กเกิดน้อย เขาเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนการพัฒนาโรงเรียนชนบทให้มีจุดเด่นผ่านหลักสูตรเฉพาะทาง เช่น การทำโรงเรียนต้นแบบหรือโรงเรียนทดลอง เพื่อดึงดูดนักเรียนเข้าเรียนผ่านแนวทางเฉพาะตัว
-
1. วันอาทิตย์นี้ อากาศดี อุณหภูมิสูงขึ้น วันจันทร์เป็นต้นไปอากาศเปลี่ยน มีฝนฟ้าคะนอง โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ
กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันกล่าวว่า หลังจากที่มีฝนชื้นแฉะมาหลายวัน วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายนนี้ ฝนหยุดตก อากาศดีขึ้น ภาคเหนืออุณหภูมิอาจสูงถึง 30°c แต่วันจันทร์ที่ 28 เมษายนนี้ อากาศเปลี่ยน เนื่องจากได้รับอิทธิพลลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่าน ทำให้หลายพื้นที่มีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะทางภาคเหนือ อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย ช่วงเช้า 20°c กลางวัน 25°c -26°c ขณะที่ภาคกลางและใต้อุณหภูมิกว่า 30°c วันพุธที่ 30 เมษายน ลมตะวันออกเฉียงเหนือเคลื่อนตัวออกห่าง อากาศกลับมาดีและร้อนอีกครั้ง
แนวปะทะอากาศและกลุ่มเมฆเคลื่อนตัวออกห่างจากเกาะไต้หวัน ทำให้วันอาทิตย์นี้อากาศดี แต่วันจันทร์อากาศเปลี่ยนอีก (ภาพจาก กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวัน : CWA)
2. เวิร์กไหม? ไถหนานเริ่มใช้ระบบสแกนใบหน้าขณะกดตู้ ATM สกัดแก๊งมิจฉาชีพถอนเงิน หากไม่ถอดหมวกและหน้ากาก สัญญาณเตือนภัยจะดัง ตำรวจมาทันที
แม้จะมีการปราบปรามหนัก แต่การหลอกลวงต้มตุ๋นในไต้หวันยังคงแพร่ระบาดไปทั่ว โดยเฉพาะหลอกลวงเรื่องการลงทุนพบมากที่สุด จากข้อมูลเว็บไซต์ต่อต้านการหลอกลวง 165 ของสำนักงานตำรวจ กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า คดีและมูลค่าการหลอกลวงช่วงวันที่ 9 ก.พ. - 15 ก.พ. เพียงสัปดาห์เดียว ตำรวจรับแจ้งคดีหลอกลวงถึง 2,558 คดี มูลค่าความเสียหายสูงถึง 15,632 ล้านเหรียญไต้หวัน โดยเฉพาะการหลอกลงทุนมีถึง 546 คดี และลวงรักออนไลน์ หลอกให้โอนเงินมี 220 คดี ส่วนเมืองที่มีคดีถูกหลอกมากที่สุดและเสียหายมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมา ได้แก่เมืองซินจู๋ ซึ่งมีวิศวกรรายได้สูงและคนโสดจำนวนมาก
เพื่อปราบปรามกลโกงและมิจฉาชีพ พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ไถหนานจะเริ่มมาตรการผู้ใช้บริการตู้ ATM ต้องเปิดเผยใบหน้าในขณะถอนหรือโอนเงิน (ภาพจาก CNA)
เพื่อปราบปรามกลโกงและมิจฉาชีพ คณะกรรมการกำกับดูแลสถาบันการเงินเสนอไอเดียกดตู้ ATM ต้องเปิดเผยใบหน้าในขณะถอนหรือโอนเงิน นายหวง เหว่ยเจ๋อ ผู้ว่าการนครไถหนาน ประกาศให้ไถหนานเป็นเมืองแรกที่นำร่องติดตั้งระบบจดจำใบหน้าที่ตู้ ATM หากผู้ใช้ใส่หน้ากากอนามัยหรือหมวกกันน็อกบดบังใบหน้า ระบบจะมีเสียงแจ้งเตือนว่า กรุณาถอดหน้ากาก และหากไม่ทำตามภายในเวลาประมาณ 10 วินาที ระบบจะส่งเสียงสัญญาณดังขึ้น เพื่อดึงความสนใจจากคนรอบข้าง ขณะเดียวกันแจ้งเตือนไปยังธนาคารและตำรวจ โดยมีกำหนดเริ่มใช้งานจริงในเดือนพฤษภาคมปีนี้
เพียงสัปดาห์เดียว ตำรวจไต้หวันรับแจ้งคดีหลอกลวงถึง 2,558 คดี มูลค่าความเสียหายสูงถึง 15,632 ล้านเหรียญไต้หวัน (ภาพจาก udn.com)
ผู้ว่าการนครไถหนานกล่าวว่า แก๊งกดเงินของขบวนการมิจฉาชีพ มักไม่กล้าไปถอนเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร แต่จะเลือกใช้ตู้ ATM พร้อมสวมหน้ากากหรือหมวกกันน็อกเพื่อปกปิดหน้าตาตัวตน ระบบนี้จะช่วยเตือนให้ผู้ใช้ถอดอุปกรณ์ปกปิดใบหน้า หากไม่ทำตามจะมีสัญญาณแจ้งเตือน ทำให้เจ้าหน้าที่และคนรอบข้างสังเกตเห็น ซึ่งจะทำให้แก๊งกดเงินไม่สามารถถอนเงินของเหยื่อได้ ลดความเสียหายทางทรัพย์สินของประชาชน
นายหวง เหว่ยเจ๋อ ผู้ว่าการนครไถหนาน ทดลองใช้ระบบจดจำใบหน้าที่ตู้ ATM หากใส่หน้ากากอนามัยหรือหมวกกันน็อกบดบังใบหน้า ระบบจะมีเสียงแจ้งเตือนทันที (ภาพจาก udn.com)
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป จะเริ่มติดตั้งระบบนี้ในบางเขตของนครไถหนาน แต่จะไม่เปิดเผยตำแหน่ง จำนวน และพื้นที่ที่ติดตั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้แก๊งมิจฉาชีพหลบเลี่ยง หากโครงการนำร่องได้ผลดี จะส่งรายงานให้คณะกรรมการกำกับดูแลสถาบันการเงินเพื่อพิจารณาขยายผลทั่วประเทศ
ข่าวนี้ ทำให้ชาวเมืองไถหนานแสดงความเห็นออกเป็น 2 ขั้ว มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กลุ่มที่เห็นด้วยบอกว่า น่าจะช่วยลดคนตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพลงได้เยอะ ขณะที่ผู้ไม่เห็นด้วยก็มีเหตุผลของตน อย่างชาวไถหนานรายหนึ่งกล่าวว่า ปกติเขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปถอนเงินที่ ATM โดยไม่ถอดหมวกกันน็อก การบังคับให้ถอดดูแปลก ๆ และควรให้สิทธิเลือกเอง ขณะที่อีกรายบอกว่า ไม่ติดใจเรื่องบังคับให้ถอดหน้ากากหรือหมวกเพื่อความปลอดภัย แต่ควรเคารพผู้ที่ไม่ต้องการเปิดเผยใบหน้าด้วย
หากใส่หน้ากากอนามัยหรือหมวกกันน็อกบดบังใบหน้า ระบบจดจำใบหน้าจะปรากฏกรอบสีแดงและจะมีเสียงแจ้งเตือนให้ถอดหน้ากากหรือหมวก (ภาพจาก udn.com)
ด้านผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่บางคนก็แสดงความกังวลว่า หากมีเสียงเตือนภัยดังขึ้นกะทันหัน อาจทำให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุตกใจ จึงควรมีช่วงเวลาประชาสัมพันธ์ก่อนใช้งานจริง นอกจากนี้ ปัจจุบันยังไม่มีข้อกฎหมายที่บังคับให้ผู้ใช้ ATM ต้องถอดหน้ากากหรือหมวกกันน็อก ดังนั้น แม้มิจฉาชีพจะไม่ถอดอุปกรณ์ปกปิดใบหน้า ก็ยังสามารถถอนเงินได้
เมื่อถอดหน้ากากอนามัยและหมวกกันน็อกแล้ว ระบบจดจำใบหน้าจะขึ้นกรอบสีเขียว จากนั้นจึงจะถอนหรือโอนเงินผ่านตู้ ATMได้ (ภาพจาก udn.com)
ด้านเทศบาลนครไถหนานกล่าวว่า ระบบจดจำใบหน้านี้คล้ายอุปกรณ์กันขโมยรถ คนที่ไม่ได้มีเจตนาทุจริต แม้ระบบจะแจ้งเตือนก็ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าเป็นขโมยจะรีบหนีไปเอง เชื่อว่าการใช้เทคโนโลยี AI ระบบนี้ จะช่วยยับยั้งมิจฉาชีพได้ และลดอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไถหนานเป็นเมืองแรกที่นำร่องติดตั้งระบบจดจำใบหน้าที่ตู้ ATM ชาวเมืองไถหนานมีทั้งที่เห็นด้วยและคัดค้าน (ภาพจาก LTN)
ทนายความหลายคนให้ความเห็นว่า ชาวไต้หวันตื่นตัวในความเป็นส่วนตัว เกรงว่าภาพตนเองจะถูกเปิดเผยต่อใครและนำไปใช้ในที่อื่นหรือไม่ ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีสแกนใบหน้า รัฐบาลจึงควรหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เรื่องนี้ เทศบาลนครไถหนานตอบว่า ระบบจะใช้เพียงการจดจำใบหน้าเท่านั้น จะไม่บันทึก เก็บรวบรวม ประมวลผล หรือส่งต่อข้อมูลใบหน้าไปที่อื่น กระนั้นก็ตาม ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังไม่มั่นใจ เหมือนข้อมูลที่กรอกกับหน่วยงานของรัฐ มักจะถูกรั่วไหลหรือถูกแฮกโดยแก๊งมิจฉาชีพเป็นประจำ
3. ตะลึง! ที่จอดรถที่แพงที่สุดในไต้หวัน กลางกรุงไทเป ช่องละ 9.25 ล้านเหรียญ
อัตราการครอบครองรถยนต์ของครัวเรือนในไต้หวันเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ที่จอดรถเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า จากข้อมูลของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคมไต้หวัน พบว่า จำนวนการจดทะเบียนรถยนต์ทั่วไต้หวันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพิ่มจาก 8.19 ล้านคันในปี 2563 เป็น 8.68 ล้านคันในปี 2567 เพิ่มขึ้น 5.9% อย่างไรก็ตาม ที่จอดรถเพิ่มขึ้นไม่มาก ส่งผลให้ราคาที่จอดรถก็แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง !
อัตราการครอบครองรถยนต์ของครัวเรือนในไต้หวันเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ที่จอดรถเพิ่มขึ้นไม่มาก ส่งผลให้ราคาที่จอดรถก็แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ภาพจาก EBC)
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในไต้หวันมีการนำข้อมูลราคาซื้อขายที่ดินที่ต้องแจ้งต่อกระทรวงมหาดไทยมาใช้วิเคราะห์ โดยเน้นเฉพาะธุรกรรมที่เป็น "ที่จอดรถ" พบว่าในปี 2567 กรุงไทเป ยังคงเป็นเมืองที่มีราคาที่จอดรถแพงที่สุดใน 6 นครใหญ่ (ไทเป นิวไทเป เถาหยวน ไทจง ไถหนานและเกาสง) โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.018 ล้านเหรียญไต้หวัน (ประมาณ 2.2 ล้านบาท) ส่วนที่จอดรถราคาถูกที่สุดอยู่ที่นครไถหนาน เฉลี่ย 936,000 เหรียญไต้หวัน ซึ่งหมายความว่าเงินสำหรับซื้อที่จอดรถ 1 ช่องในไทเป สามารถซื้อได้ถึง 2 ช่องในไถหนาน แถมยังมีเงินเหลือด้วย !
สำหรับที่จอดรถที่แพงที่สุดในไต้หวัน ณ ปัจจุบัน อยู่ที่เขตซิ่นอี้ กรุงไทเป เป็นที่จอดรถในโครงการหรูชื่อว่า “โส่วสีกงก้วน” (首席公館) ขายออกไปเมื่อปลายปี 2567 ผู้ซื้อได้ซื้อห้องชุด 2 ยูนิต บนชั้นเดียวกันพร้อมที่จอดรถ 4 ช่อง เฉพาะที่จอดรถราคาสูงถึง 37 ล้านเหรียญไต้หวัน เฉลี่ยที่จอดรถหนึ่งช่องอยู่ที่ 9.25 ล้านเหรียญไต้หวัน (ประมาณ 10.5 ล้านบาทไทย)
ที่จอดรถในโครงการ “โส่วสีกงก้วน” ที่พักอาศัยสุดหรูย่านซิ่นอี้ กลางกรุงไทเป ใกล้ตึกไทเป 101 ครองแชมป์ที่จอดรถที่แพงที่สุดในไต้หวัน (ภาพจาก CTWANT)
หากพิจารณาอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่จอดรถใน 6 นครใหญ่ในรอบ 5 ปี พบว่า ราคาเฉลี่ยของที่จอดรถในนครไทจง เพิ่มจากช่องละ 755,000 เหรียญไต้หวัน ในปี 2563 เป็น 1,126,000 เหรียญไต้หวันในปี 2567 เพิ่มขึ้นถึง 49.1% ซึ่งถือว่า เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในบรรดา 6 นครใหญ่ ในขณะที่ไถหนานและเกาสง ก็มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่จอดรถในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 37.2% และ 38.1% ตามลำดับ แม้แต่ในกรุงไทเป ซึ่งราคาที่จอดรถถือว่าแพงอยู่แล้วก็เพิ่มขึ้นราว 10%
ที่จอดรถในไทเปราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.018 ล้านเหรียญไต้หวัน ราคานี้รวมที่จอดรถแบบยกจากพื้นโดยเครื่องจักรด้วย (ภาพจาก Rti thai)
ศูนย์วิเคราะห์แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไต้หวัน (TWHG) เปิดเผยว่า ไต้หวันเข้าสู่ยุค"รถมากขึ้นแต่เด็กเกิดน้อยลง"เป็นตัวเร่งให้ปัญหาการขาดแคลนที่จอดรถทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมือง ซึ่งในไต้หวันนิยมเรียกว่า"ย่านไข่แดง" (蛋黃區 อ่านว่า ตั้นหวงชวี) เนื่องจากเป็นย่านที่มีการพัฒนามานานแล้ว อาคารสำนักงานและอาคารที่พักอาศัยในย่านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดเก่าที่ไม่มีการวางแผนที่จอดรถไว้อย่างเพียงพอ ทำให้ที่จอดรถที่มีอยู่ไม่พอกับความต้องการ ในนครไทจง ราคาที่จอดรถแพงขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดในไต้หวันคือ 49.1% เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาประชากรเพิ่มขึ้นแต่ระบบขนส่งสาธารณะยังไม่สะดวกเท่าทางภาคเหนือของไต้หวันทำให้ความต้องการใช้รถยนต์ส่วนตัวยังคงสูง ดังนั้นในช่วงที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมากจึงได้ใช้พื้นที่อาคารที่เหลืออยู่สร้างที่จอดรถเพิ่มเติม เพื่อลดความตึงเครียดในการจัดหาที่จอดรถ ซึ่งส่งผลให้มีการซื้อขายที่จอดรถราคาสูงในชุมชนใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นและทำให้ราคาที่จอดรถโดยรวมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ชี้ว่า ในอดีตอพาร์ตเมนต์และคอนโดส่วนใหญ่มักไม่มีการวางแผนพื้นที่จอดรถไว้เพียงพอ โดยเฉพาะในเขตใจกลางกรุงไทเป ที่จอดรถจึงกลายเป็นทรัพยากรที่หายาก แม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะพยายามสร้างที่จอดรถใต้ดินให้มากขึ้นแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่ดี
เช่าที่จอดรถกลายเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่มีที่จอดรถของตนเอง หากที่จอดรถของรัฐราคาถูกกว่าเอกชนแต่ต้องจับสลากเพราะไม่พอต่อความต้องการ (ภาพจาก EBC)
เมื่อที่บ้านไม่มีที่จอดรถ เจ้าของรถในไต้หวันทำยังไง คำตอบก็คือใช้วิธีเช่าที่จอดรถ ซึ่งมีทั้งของรัฐและเอกชน ซึ่งแต่ละเขตพื้นที่หรือแต่ละเมือง ราคาจะแตกต่างกันไป แน่นอนในไทเปค่าเช่าที่จอดรถจะแพงที่สุด หากเป็นที่จอดรถของรัฐ ค่าเช่าแบ่งเป็นแบบจอดได้ 24 ชม.เดือนละ 4,800 -5,600 เหรียญ แบบจอดเฉพาะช่วงเวลากลางวัน (7.00-19.00 น.) เดือนละ 2,800 เหรียญ แบบจอดได้เฉพาะกลางคืน 19.00-8.00 น. 2,000 เหรียญ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่ามีเงินก็ไปเช่าได้เลย เนื่องจากจำนวนผู้ที่ต้องการเช่าที่จอดรถมีมากกว่าจำนวนที่จอดรถเทศบาลไทเปจึงใช้วิธีจับสลากเดือนละครั้ง หากจับสลากไม่ได้เจ้าของรถก็ต้องไปหาเช่าของเอกชนซึ่งจะแพงกว่าประมาณ 6,000 เหรียญ
-
1. เสาร์-อาทิตย์นี้ภาคเหนือฝนฟ้าคะนอง วันจันทร์หน้าแดดจ้า วันพุธเป็นต้นไปอากาศเปลี่ยน ฝนตกอากาศเย็นแฉะยาวถึงปลายสัปดาห์ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ไต้หวันกำลังเข้าสู่หน้าร้อน สภาพอากาศช่วงกลางวันร้อนมาก แม้วันเสาร์และอาทิตย์นี้ท้องฟ้ามีเมฆมาก และฝนฟ้าคะนองในบางพื้นทางภาคเหนือ แต่ร้อนอบอ้าวอุณหภูมิยังคงสูง 28-32°c และจะร้อนยาวถึงวันอังคาร โดยวันทร์แสงแดดจ้าจนถึงวันอังคาร วันพุธและพฤหัสบดีหน้าอากาศเปลี่ยน มีฝนฟ้าคะนอง อุณหภูมิลดลง อากาศเปลี่ยนเป็นเย็นแฉะ สภาพอากาศช่วงเปลี่ยนฤดู ต้องระมัดระวังสุขภาพ มักจะป่วยเป็นไข้หวัดและมีอาการไม่สบายได้ง่าย
วันพุธและพฤหัสบดีหน้าอากาศเปลี่ยน มีฝนฟ้าคะนอง อุณหภูมิลดลง (ภาพจาก udn.com)
2. พยาบาลไต้หวันแห่ลาออก ล่าสุดในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ลาออกเกิน 1,300 คน
ไต้หวันกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนพยาบาลอย่างรุนแรง พยาบาลที่ทำงานอยู่ในสถานพยาบาลแห่ลาออกอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การรับสมัครพยาบาลเป็นเรื่องยากเพราะพยาบาลอาชีพจำนวนมากหันหลังให้กับอาชีพที่ร่ำเรียนมา อัตรากำลังที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพยาบาลอย่างรุนแรง จนต้องปิดหอผู้ป่วยบางส่วนและลดจำนวนเตียงผู้ป่วยบางส่วนในทุกแผนก เนื่องจากไม่สามารถหยุดยั้งการทยอยลาออกอย่างต่อเนื่องของพยาบาลได้ มีรายงานว่า ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลต้องรอคิวเตียงผู้ป่วยที่ใช้ระบบประกันสุขภาพนานถึง 3 เดือน
ไต้หวันเผชิญปัญหาขาดแคลนพยาบาลอย่างรุนแรง โรงพยาบาลหลายแห่งเผชิญกับความท้าทายในการปิดหอผู้ป่วย (ภาพจากโรงพยาบาลฟงหรง นครนิวไทเป)
จากสถิติล่าสุดของสหภาพแรงงานบุคลากรการแพทย์และพยาบาลแห่งไต้หวัน พบว่า ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคมปี 2568 มีพยาบาลทั่วประเทศลาออก รวมทั้งสิ้น 921 คน โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม มีผู้ลาออกถึง 548 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563 รวมกับผู้ที่ลาออกในเดือนธันวาคมปีที่แล้วจำนวน 381 คน ซึ่งเท่ากับว่าในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา มีพยาบาลลาออกแล้วถึง 1,302 คน
พยาบาลไต้หวันแห่ลาออก ล่าสุดในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ลาออกเกิน 1,300 คน (ภาพจาก jobforum.tw)
สหภาพแรงงานฯ เรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการเร่งปรับปรุงสวัสดิการสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขการทำงานของพยาบาลโดยด่วน มิฉะนั้น ปรากฏการณ์พยาบาลลาออก จะไม่มีวันลดลง พร้อมเปิดเผยว่า ปกติพยาบาลมักจะรอรับโบนัสสิ้นปีก่อนจึงค่อยลาออก แต่ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา เริ่มมีพยาบาลที่แม้จะได้รับโบนัสได้ในเดือนถัดไปแต่ยังตัดสินใจลาออกเพราะไม่อยากทนทำงานต่อ โดยในเดือนธันวาคมของปี 2566 ซึ่งเป็นปีเริ่มพบปัญหาพยาบาลแห่ลาออก มีพยาบาล 171 คนตัดสินใจลาออกก่อนโบนัสออก ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนครั้งสำคัญ จากสถิติในเดือนมีนาคมของปีนี้ พบว่ามีจำนวนพยาบาลลาออกถึง 548 คน เป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 จำนวน 252 คน และปี 2564 จำนวน 323 คน ปี 2565 จำนวน 97 คน ปี 2566 จำนวน 147 คน และปี 2567 จำนวน 390 คน
สภาพความแออัดในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลแทบทุกแห่งในไต้หวัน กลายเป็นฝันร้ายทั้งของผู้ป่วยและแพทย์พยาบาล (ภาพจาก jobforum.tw)
ด้านกระทรวงสาธารณสุขฯได้มีการทบทวน "ระเบียบการลงทะเบียนและการบริหารจัดการสถานพยาบาลที่เข้าร่วมระบบประกันสุขภาพ"โดยเสนอให้ผ่อนปรนข้อจำกัดเรื่องสถานที่ที่บุคลากรทางการแพทย์สามารถไปปฏิบัติงานได้ ซึ่งก็หมายความว่าอนุญาตให้สถานพยาบาลสับเปลี่ยนพยาบาลในแผนกที่ผู้ป่วยไม่มากไปช่วยงานในแผนกที่มีผู้ป่วยแออัด โดยเฉพาะแผนกฉุกเฉิน ซึ่งส่งผลให้พยาบาลจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกหวาดวิตกและกังวลว่า ภาระงานจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต อันอาจกระทบต่อสิทธิและสวัสดิการโดยตรง และคาดว่าจะส่งผลให้พยาบาลที่กำลังท้อแท้กับปัญหาภาระงานที่สูงกว่ามาตรฐาน อันเนื่องมาจากสัดส่วนของพยาบาลต่อผู้ป่วยสูงกว่าสัดส่วนมาตรฐานคือ พยาบาล 1 คน ต่อคนไข้ไม่เกิน 4 คน ต่อเวร 8 ชม. แต่ปัจจุบันสัดส่วนพยาบาลต่อผู้ป่วยเฉลี่ย สูงถึง 1 : 8 หรือโรงพยาบาลบางแห่งสูงถึง 1:12 ทำให้พยาบาลเหนื่อยล้า ประกอบกับปัญหาพยาบาลไม่เพียงพอ ไม่มีท่าทีว่าจะได้รับการแก้ไข ทำให้เปรียบเสมือนเป็นแรงกดดันที่ทำให้พยาบาลทยอยลาออกอย่างต่อเนื่อง
เดือนธันวาคม 2566 เริ่มมีพยาบาลตัดสินใจลาออก 171 คน แม้จะได้รับโบนัสได้ในเดือนถัดไป สาเหตุเพราะไม่อาจทนทำงานต่อไปได้ (ภาพจาก udn.com)
จากรายงานการสำรวจรายได้ตามประเภทอาชีพของกระทรวงแรงงานไต้หวันระบุว่า พยาบาลที่ทำงานในโรงพยาบาล คลินิก โรงเรียน หรือห้องพยาบาลในสถานประกอบการต่าง ๆ มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 47,716 เหรียญไต้หวัน และเมื่อรวมโบนัสปลายปีหรือรายได้อื่น ๆ ที่ไม่เป็นประจำ รายได้ต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 699,000 เหรียญไต้หวัน จากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขฯ พบว่า รายได้เฉลี่ยต่อปีของพยาบาลจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนปีของประสบการณ์ และพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐจะมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าโรงพยาบาลเอกชน สำหรับพยาบาลที่มีประสบการณ์ทำงานไม่ถึง 1 ปี เงินเดือนเฉลี่ยรายเดือนมีดังนี้ : โรงพยาบาลชุมชน : 42,617 เหรียญไต้หวัน โรงพยาบาลระดับภูมิภาค : 48,647 เหรียญไต้หวัน ศูนย์การแพทย์ : 50,683 เหรียญไต้หวัน ส่วนพยาบาลที่ผ่านการสอบเข้าเป็นข้าราชการ เงินเดือนเริ่มต้นจะสูงถึง 55,126 เหรียญไต้หวัน และยังได้รับสวัสดิการแบบเดียวกับข้าราชการทั่วไป
พิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้าฝึกปฏิบัติงานครั้งแรกในหอผู้ป่วยของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยการแพทย์จงหัว (CHUNG HWA MEDICAL UNIVERSITY)
สหภาพแรงงานฯ วิงวอนให้รัฐบาลเพิ่มแรงจูงใจ เช่น การขึ้นเงินเดือนและสวัสดิการ เพื่อรักษาบุคลากรเอาไว้ เพราะนอกจากจะช่วยให้ปัญหาขาดแคลนพยาบาลบรรเทาลงแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดปัญหาความแออัดในโรงพยาบาลลงได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย
3. ไต้หวันประสบวิกฤตแพทย์ พยาบาลขาดแคลน เพราะแห่ลาออกไปทำคลินิกเสริมความงาม รายได้สูงกว่าเดิม 5 เท่าขึ้นไป
เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศ ไต้หวันกำลังประสบภาวะแพทย์และพยาบาลขาดแคลนรุนแรง สถานพยาบาลมีเตียงว่าง แต่ไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่ม เพราะไม่มีแพทย์และพยาบาล ส่งผลให้โรงพยาบาลแออัดไปด้วยผู้ป่วยที่กำลังรอคิวเตียงว่าง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุเพราะแพทย์ พยาบาล รายได้ต่ำแถมเหนื่อย แรงกดดันสูง เพราะคนเดียวต้องดูแลผู้ป่วยจำนวนมากเกินกว่ากำหนด ขณะที่คลินิกศัลยกรรมเสริมความงาม ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องการบุคลากรด้านการแพทย์จำนวนมาก ทำงานไม่มีแรงกดดัน แถมเงินเดือนหรือรายได้สูงกว่าโรงพยาบาลหลายเท่าตัว โดยทั่วไปประเมินกันว่า เฉลี่ยแล้วสูงกว่าประมาณ 5 เท่า
แพทย์และพยาบาลขาดแคลน ทำให้งานหนักกว่าเดิม ขณะที่รายได้ไม่เพิ่มตามไปด้วย (ภาพจาก udn.com)
แพทย์และพยาบาลขาดแคลน ทำให้งานหนักกว่าเดิม ขณะที่รายได้ไม่เพิ่มตามไปด้วย (ภาพจาก commonhealth.com.tw)
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยไต้หวัน หรือไถต้า สาขาซินจู๋ กล่าวอย่างท้อแท้ว่า มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่ประกาศรับสมัครแพทย์จบใหม่ โดยจ่ายค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 2,000,000 เหรียญไต้หวันต่อปี หรือตกเดือนละ 170,000 เหรียญ แต่ไม่มีใครมาสมัคร ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาลไถต้าสาขาซินจู๋ มีแพทย์ลาออกในระยะเวลาอันสั้นถึง 6 คน สาเหตุเพราะมีโรงพยาบาลที่มีแผนกศัลยกรรมเสริมสวยและตกแต่ง ดึงดูดแพทย์จากโรงพยาบาลอื่นไม่อั้น โดยจ่ายเงินเดือนเบื้องต้น 700,000 เหรียญต่อเดือน สูงกว่าเงินเดือนของผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสียอีก รายได้สูงและไม่มีแรงกดดัน แพทย์ พยาบาลก็เลยหันไปประกอบวิชาชีพเวชกรรมเกี่ยวกับการเสริมสวยมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
แพทย์และพยาบาลขาดแคลน ทำให้งานหนักกว่าเดิม ขณะที่รายได้ไม่เพิ่มตามไปด้วย (ภาพจาก udn.com)
จากผลการสำรวจของนิตยสาร Global Views Monthly ของไต้หวันพบว่า ตลาดเสริมความงามทางการแพทย์ในไต้หวันมีมูลค่าเกิน 60,000 ล้านเหรียญไต้หวัน ตั้งแต่ปี 2566 และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราสูงถึง 11.8% ต่อปี และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการมีแนวโน้มอายุน้อยลง โดยกลุ่มคนรุ่น Y และ Z ที่มีอายุระหว่าง 20-30 ปี กลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของตลาดเสริมความงามทางการแพทย์ กลุ่มวัยรุ่นนี้ได้รับอิทธิพลจากโซเชียลมีเดีย ชื่นชอบการถ่ายภาพและแบ่งปันไลฟ์สไตล์ ส่งผลให้พวกเขาให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากยิ่งขึ้น และในหมู่บริการต่าง ๆ การทำหัตถการแบบไม่ผ่าตัดหรือที่เรียกว่า เมดิคัลบิวตี้ขนาดเล็ก และการทำทรีตเมนต์แบบผสมผสาน ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ผู้บริโภคนิยมเลือกบริการที่ใช้เวลาพักฟื้นน้อย เห็นผลเร็ว และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ จะเห็นได้ว่า เทรนด์ความงามทางการแพทย์ในปัจจุบัน ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมชาติ ความงาม และความสมดุลของสุขภาพโดยรวมมากยิ่งขึ้น จึงเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมและกำลังมาแรง
บรรยากาศคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งที่นครเกาสง (ภาพจาก pureclinictw.com)
จากข้อมูลพบว่า เมื่อปี 2565 ทั่วไต้หวันมีแพทย์ทั้งหมด 44,000 คน ในจำนวนนี้หันไปประกอบเวชกรรมเสริมสวยสูงถึง 12,000 คน เกือบ 30% ทีเดียว ขณะที่ทั่วไต้หวันมีแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงามและตกแต่ง รวมถึงแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนังประมาณ 1,7000 คนเท่านั้น แสดงว่า มีแพทย์สาขาอื่น ๆ หันมาประกอบวิชาชีพเวชกรรมเกี่ยวกับการเสริมสวยจำนวนมาก
บรรยากาศคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งที่นครเกาสง (ภาพจาก pureclinictw.com)
การที่ธุรกิจเสริมความงามเติบโตรุ่งเรืองเป็นเรื่องดี แต่แพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลลาออกต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อสิทธิการบำบัดรักษาโรคของผู้ป่วยนี่สิ เป็นเรื่องใหญ่หลวงที่กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ รวมถึงรัฐบาล จะเพิกเฉยไม่ได้ ต้องตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาและหาทางกู้วิกฤตดังกล่าวให้ได้
คลินิกเสริมความงามเป็นธุรกิจที่กำลังมาแรงาน ในภาพเป็นอาคารแห่งหนึ่งในกรุงไทเป ทั้งตึกเต็มไปด้วยคลินิกเสริมความงาม (ภาพจาก wealth.com.tw)
-
1. เตรียมอำลาฤดูหนาว เข้าสู่หน้าฝนและฤดูร้อน แต่อากาศแปรปรวน ระวังสุขภาพ
สัปดาห์ที่ผ่านมา สภาพอากาศแปรปรวนมาก ต้นสัปดาห์อุณหภูมิสูงเหมือนหน้าร้อน ช่วงครึ่งหลังสัปดาห์กลายเป็นหน้าฝนและอากาศเย็น โดยเฉพาะค่ำวันเสาร์นี้ถึงเช้าวันอาทิตย์ ระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก กลุ่มเมฆและแนวปะทะอากาศทางตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่เคลื่อนตัวผ่านไต้หวันถึง 2 ระลอก ทำให้มีฝนตกหนักและอากาศเย็นชื้น สัปดาห์หน้าอากาศดีตั้งแต่วันวันทร์-วันเสาร์ ในวันที่ไม่มีฝน อุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้นทันที เป็นสัญลักษณ์หน้าหนาวกำลังจะสิ้นสุดลง เข้าสู่หน้าฝนและฤดูร้อนต่อไป ช่วงระหว่างนี้ อากาศเดียวร้อนเดียวหนาว ไม่สบายได้ง่าย ต้องระวังสุขภาพ
สัปดาห์ที่ผ่านมา สภาพอากาศแปรปรวนมาก (ภาพจาก LTN)
2. 11 เมษายน วันสัตว์เลี้ยงสากล MRT ไทเปเปิดตัวขบวนรถไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสุนัข ให้สุนัขขึ้นรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องใส่กรง
วันที่ 11 เมษายน เป็นวันสัตว์เลี้ยงสากล (National Pet Day) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2549 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสัตว์และการช่วยเหลือสัตว์จากสหรัฐอเมริกา ชื่อ คอลลีน เพจ (Colleen Paige) โดยมีจุดประสงค์เพื่อปลุกจิตสำนึกให้ผู้คนหันมาใส่ใจสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือ แนวคิดหลักของวันสัตว์เลี้ยงสากลคือ “รับเลี้ยงแทนการซื้อ” (Don't shop! Adopt)
12 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 13.00-17.00 น. MRT ไทเปเปิดให้น้องหมาขึ้นรถไฟฟ้าสายต้านสุ่ย-เซี่ยงซานได้โดยไม่ต้องใส่ในกรง (ภาพจาก CNA)
12 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 13.00-17.00 น. MRT ไทเปเปิดให้น้องหมาขึ้นรถไฟฟ้าสายต้านสุ่ย-เซี่ยงซานได้โดยไม่ต้องใส่ในกรง (ภาพจาก CNA)
เทศบาลกรุงไทเปได้ขานรับวันสัตว์เลี้ยงสากลด้วยการจัดกิจกรรม “พาน้องหมาเดินทางท่องเที่ยวรับฤดูใบไม้ผลิ” พร้อมจัดแถลงข่าวเปิดตัว “ขบวนรถไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสุนัข” ซึ่งเป็นรถไฟฟ้า MRT ไทเป สายต้านสุ่ย-ซิ่นอี้ จำนวน 4 ขบวน รวม 16 เที่ยว โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะในวันที่ 12 เมษายน เวลาประมาณ 13.00-17.00 น. รถไฟฟ้าขบวนพิเศษนี้จะออกจากสถานีเซี่ยงซานและสถานีต้านสุ่ย ซึ่งเป็นสถานีต้นทางและปลายทางของสายต้านสุ่ย-ซิ่นอี้ และจอดเทียบทุกสถานีรถเหมือนขบวนปกติ เจ้าของสุนัขสามารถพาสุนัขขึ้นรถไฟได้โดยให้สวมสายรัดอกและสายจูงตลอดการเดินทาง สุนัขสามารถเดินสำรวจภายในขบวนรถไฟฟ้าได้อย่างอิสระแต่ห้ามให้อาหารแก่สุนัขบนรถไฟฟ้า ซึ่งต่างจากในยามปกติที่หากผู้โดยสารพาสุนัขขึ้นรถไฟฟ้าต้องใส่ไว้ในกรงตลอดการเดินทาง
เปิดให้น้องหมาโดยสารรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องถูกขังอยู่กรง แต่ต้องสวมสายรัดอกและสายจูงตลอดการเดินทาง (ภาพจาก Ming Pao)
“ขบวนรถไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสุนัข” เป็นขบวนเสริมพิเศษ จะไม่กระทบต่อเวลารถไฟฟ้าปกติ และไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่นำสัตว์เลี้ยงขึ้นรถ ผู้โดยสารทั่วไปก็ขึ้นได้ และเพื่อสร้างมั่นใจให้แก่ผู้โดยสารที่อาจเป็นโรคภูมิแพ้ขนสัตว์ ในวันที่จัดกิจกรรม รถไฟฟ้าขบวนพิเศษนี้จะติดตั้งแผ่นกรองอากาศแบบ 2 ชั้น เพื่อกรองอากาศภายในขบวนรถ หลังเสร็จสิ้นกิจกรรม ขบวนรถจะถูกส่งกลับโรงซ่อมบำรุงเพื่อล้างทำความสะอาดและเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศใหม่ ก่อนนำกลับมาให้บริการอีกครั้ง
รถเมล์ที่เป็นมิตรต่อสุนัข เปิดบริการเฉพาะวันที่ 12 เมษายน (ภาพจาก apatw.org)
นอกจากนี้ ในวันที่ 12 เมษายน ยังบริการรถเมล์ที่เป็นมิตรต่อสุนัขหรือ GoGo Bus ซึ่งเป็นการสานต่อความสำเร็จจากปีที่แล้ว โดยเปิดให้ประชาชนและน้องหมาได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์นั่งรถเมล์ฟรี รถโดยสารเที่ยวพิเศษนี้จะวิ่งรอบบริเวณลานกิจกรรมสุนัขที่จัตุรัสซิ่นอี้ เพื่อให้เจ้าของและสุนัขได้เที่ยวชมทิวทัศน์สองข้างทางที่รถเมล์วิ่งผ่านไปด้วยกัน พร้อมทั้งสัมผัสประสบการณ์ระบบขนส่งมวลชนที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงมากยิ่งขึ้น
เจ้าของสุนัขขานรับกิจกรรมพาสุนัขไปใช้บริการรถเมล์ไทเปกันอย่างคึกคัก (ภาพจาก apatw.org)
อย่างไรก็ตาม ทางเทศบาลกรุงไทเปเรียกร้องให้เจ้าของสุนัขประเมินความเหมาะสมของสัตว์เลี้ยงก่อน โดยห้ามพาสุนัขพันธุ์ดุหรือมีพฤติกรรมก้าวร้าว ป่วย หรืออยู่ในช่วงเป็นสัดเข้าร่วมกิจกรรมและใช้บริการขบวนรถไฟฟ้าและรถเมล์ที่เป็นมิตรกับสุนัข สำหรับเจ้าของสุนัขที่ไม่อยากพาสุนัขโดยสารรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ไปเที่ยว ก็สามารถเลือกพาสุนัขไปเดินเล่นที่จัตุรัสซิ่นอี้ ซึ่งนอกจากมีกิจกรรมสนุก ๆ สำหรับน้องหมามากมายแล้ว ยังมีบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและฝังไมโครชิปลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงฟรีอีกด้วย
3. เครียดและเหนื่อยล้าใช่ไหม? เดินเข้าป่าเติมพลังด้วยธรรมชาติ ชมกุหลาบพันปีบานสะพรั่งบนยอดเขาเหอฮวนซานในเทศกาลกุหลาบพันปี 2025
เมื่อเอ่ยถึงภูเขาสูงในไต้หวัน ยอดเขาที่มีเอกลักษณ์เด่น 100 ยอด จากทั้งหมด 284 ลูกซึ่งมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,000 เมตรขึ้นไป เหอฮวนซานประกอบด้วย 7 ยอดเขาสูงเฉลี่ย 3,422 เมตร ในจำนวนนี้ มีถึง 5 ลูกที่ถูกจัดอยู่ในยอดเขาสูง 100 ยอดที่พิชิตง่ายที่สุด เพราะมีสวนป่าอุทยานแห่งชาติเหอฮวนซานที่สามารถขับรถขึ้นไปได้ และมีรถโดยสารประจำทางขึ้นไปถึง โดยไปก่อน 1วัน พักค้างคืนในโรงแรมบนเขา ซึ่งมีหลายแห่ง เช้าตื่นมาใช้เวลาเพียง 30 นาทีไต่ขึ้นไปบนยอดเขา ชมพระอาทิตย์โผล่เหนือขอบฟ้าและดอกกุหลาบพันปีที่บานสะพรั่งเต็มยอดเขา จะมีความรู้สึกว่า ยืนบนจุดสูงสุด มองกลุ่มยอดเขาที่มีทิวทัศน์สวยงาม อาการเครียดและเหนื่อยล้าจะหายเป็นปลิดทิ้ง เป็นการเติมพลังและบำบัดด้วยธรรมชาติ
เทศกาลดอกกุหลาบพันปี 2025 บนยอดเขาเหอฮวนซาน เมืองหนานโถว เริ่มวันเสาร์ที่ 12 เมษายน – 15 มิถุนายน 2568 (ภาพจาก travel.taipei)
ช่วงเมษายน-มิถุนายนของทุกปี เป็นช่วงที่ดอกอาซาเลีย (Azalea) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่ากุหลาบพันปีเบ่งบาน ลักษณะของต้นเป็นไม้พุ่มหนา ดอกมีสีสันสดใส หลากหลายสี เติบโตดีบนยอดเขาสูงและสภาพอากาศที่เย็น ในไต้หวันมีกุหลาบพันปีให้ได้ชมกันหลายที่ แต่บนยอดเขาเหอฮวนซาน นอกจากชมดอกหลายสีสันสดสวยบานเต็มภูเขาแล้ว ยังได้ชมความน่าทึ่งของธรรมชาติ คือยอดเขาสูงต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเที่ยวต่อได้ที่ฟาร์มอู่หลิงและฟาร์มชิงจิ่ง รวมถึงจุดชมวิวบนเทือกเขาจงเหิง ฯลฯ เมืองหนานโถวมีการจัดงานเทศกาลดอกกุหลาบพันปีเป็นประจำ ปีนี้เริ่มตั้งแต่ 12 เมษายน – 15 มิถุนายน 2568
นอกจากชมกุหลาบพันปีหลายสีสันสดสวยเบ่งบานเต็มยอดเขาเหอฮวนซาน ยังได้ชมความน่าทึ่งของธรรมชาติ
ท่านที่รักความงามของธรรมชาติ สนใจอยากไปเที่ยวพักผ่อน แนะนำว่าหาเวลาว่างจากการทำงาน 2 วัน ไปพักค้างคืนบนเขาจะสะดวกกว่าและได้ชมความสวยงามของธรรมชาติอย่างแท้จริง จองตั๋วรถโดยสารได้ที่สถานีขนหนานโถวหรือสถานีขนส่งไทจง เนื่องจากเป็นฤดูชมดอกไม้ ผู้คนจะมากเป็นพิเศษ มีการจำกัดจำนวนรถที่ขึ้นบนเขา อาจไม่สะดวกสำหรับเพื่อนแรงงานไทยที่จะไปเที่ยวเอง มีการขายทัวร์และทริป 2 วัน รวมค่ารถ ที่พักและอาหารประมาณ 6,500-8,500 เหรียญ จะพาชมหลายจุดและไม่ต้องกังวลเรื่องที่พัก-อาหาร รวมถึงคิวรถขึ้นบนเขา ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะไปเที่ยวอย่างปลอดภัยและสบายใจ แต่คงต้องให้เพื่อนชาวไต้หวันช่วยติดต่อให้
เหอฮวนซานประกอบด้วยยอดเขาสูง 7 ลูก เฉลี่ย 3,422 เมตร ในจำนวนนี้ มีถึง 5 ลูกที่ถูกจัดอยู่ใน 100 ยอดเขายอดนิยมที่พิชิตง่ายที่สุด สามารถขับรถขึ้นไปได้ และมีรถโดยสารประจำทางขึ้นไปถึง (ภาพจาก travel.taipei)
-
1. อากาศเปลี่ยนระวังสุขภาพ! ฝนตก อากาศเย็นยาว เตือน! กลางสัปดาห์หน้าอาจมีฝนฟ้าคะนอง
เข้าสู่ช่วงท้ายหยุดยาวเทศกาลเช็งเม้ง อากาศที่มีแสงแดดสาดส่อง อุณหภูมิสูงเปลี่ยนมาเป็นเริ่มมีฝนตกและอากาศเย็นลง โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือจะเด่นชัดที่สุด แม้วันจันทร์และวันอังคารหน้า อากาศจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่วันพุธหน้าเป็นต้นไป มีแนวปะทะอากาศเคลื่อนผ่านถึงสองระลอก อาจส่งผลให้มีฝนฟ้าคะนองยาวถึงสุดสัปดาห์ กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือน อากาศที่แปรปรวน อาจส่งผลให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ไม่สบายง่าย ขอให้ดูแลสุขภาพ
2. ถอดบทเรียนไต้หวัน! ทีมกู้ภัยผ่านการรับรองมาตรฐานโลก 10 ทีม ผลัดกันอยู่เวรเดือนละ 2 ทีม พร้อมกู้ภัยทันทีที่เกิดภัยพิบัติทั้งในและ ตปท. ตลอด 24 ชม.
Rti ร่วมแสดงความเสียใจและส่งความห่วงใยไปยังครอบครัวผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทยและเมียนมา
เริ่มต้นรายการวันนี้ต้องขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากอาคารถล่มในกรุงเทพมหานครและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา และขอส่งความห่วงใยไปยังชาวไทยและชาวเมียนมาซึ่งกำลังเผชิญกับความสูญเสียอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ ตลอดจนขอแสดงความนับถือต่อบรรดาเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ร่วมปฏิบัติภารกิจค้นหาและกู้ภัยทุกท่านด้วย
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย ได้รับความสนใจจากทั่วโลก (ภาพจาก UDN)
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะทำให้อาคารที่กำลังก่อสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ถล่มลงมา ไม่ได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมไทยเท่านั้น ในไต้หวันเองผู้คนก็เกาะติดสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องมาตรฐานการก่อสร้างของบริษัทรับเหมาจากจีน หรือเรื่องที่ไต้หวันแสดงความตั้งใจที่จะจัดส่งทีมค้นหาและกู้ภัยไปช่วยเหลือประเทศไทยและพม่า โดยระดมเจ้าหน้าที่กู้ภัย แพทย์ และพยาบาลรวม 120 คน สุนัขค้นหา 6 ตัวและอุปกรณ์กู้ภัยให้มาเตรียมพร้อมที่ศูนย์เพื่อให้สามารถออกเดินทางไปช่วยเหลือได้ทันทีที่ได้รับการตอบกลับหรือร้องขอจากประเทศที่ประสบภัย แต่กลายเป็นว่ารอเก้อเพราะทั้งไทยและเมียนมาไม่ได้มีการตอบกลับมาแต่อย่างใด จนท้ายที่สุดต้องประกาศยกเลิกการเตรียมพร้อมของทีมค้นหาและกู้ภัยในครั้งนี้ ชาวเน็ตไต้หวันจำนวนมากออกมาแสดงความเห็น หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมไทยไม่ให้ทีมไต้หวันไปช่วย และหลายคนโยงไปเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับจีน ซึ่งในวันนี้จะไม่คุยประเด็นดราม่า แต่จะแนะนำทีมค้นหาและกู้ภัย รวมถึงภารกิจการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในต่างประเทศของไต้หวัน
ไต้หวันแสดงความตั้งใจที่จะจัดส่งทีมค้นหาและกู้ภัยไปช่วยเหลือประเทศไทยและพม่า โดยระดมเจ้าหน้าที่กู้ภัย แพทย์ และพยาบาล สุนัขค้นหาและอุปกรณ์กู้ภัยเตรียมพร้อมออกเดินทางทันทีที่ได้รับการร้องขอ (ภาพจาก UDN)
ไต้หวันเป็นเกาะที่ตั้งอยู่บนรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกคือแผ่นฟิลิปปินส์ (Philippine Sea Plate) และ แผ่นยูเรเชีย (Eurasian Plate) ซึ่งมีการเคลื่อนตัวบ่อยครั้ง ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยๆ ทำให้ทุกเมืองในไต้หวันและรัฐบาลกลางต้องมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการกู้ภัยและกู้ชีพ เพื่อทำหน้าที่บัญชาการ ประสานงาน ควบคุม และสั่งการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกู้ภัยและกู้ชีพ ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสำนักงานดับเพลิงท้องถิ่นจะต้องจัดตั้งทีมค้นหาและกู้ภัยขึ้น เมื่อเกิดภัยพิบัติ อาทิแผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่นกระหน่ำ หรือประชาชนประสบเหตุฉุกเฉินและต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายผ่าน สายด่วน 119 ซึ่งเป็นหมายเลขโทรฟรี ติดต่อไปยังศูนย์บัญชาการกู้ภัยและกู้ชีพของสำนักงานดับเพลิงท้องถิ่นได้ ศูนย์บัญชาการฯ จะรับเรื่องและจัดส่งหน่วยกู้ภัยหรือรถพยาบาลไปให้ความช่วยเหลือ รวมถึงประเมินสถานการณ์ และแจ้งต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับ และหากสถานการณ์ร้ายแรงศูนย์บัญชาการฯท้องถิ่นจะรายงานไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลาง เจ้าหน้าที่ศูนย์บัญชาการกลางจะติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และหากเหตุการณ์ลุกลามจะจัดสรรทรัพยากรไปสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือ หรือระดมความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ หรือหากภัยพิบัติยังคงขยายวงกว้าง จะรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาจัดตั้ง ศูนย์บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยส่วนกลาง เพื่อตอบสนองต่อภัยพิบัติ
ปัจจุบันไต้หวันมีทีมกู้ภัย 10 ทีมที่พร้อมออกปฏิบัติภารกิจให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในต่างประเทศในทันที (ภาพจาก UDN)
นอกจากการกู้ภัยในประเทศแล้วทีมค้นหาและกู้ภัยของไต้หวันยังออกปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในต่างประเทศด้วย แต่ทีมที่จะออกไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศต้องผ่านการรับรองจากระบบการรับรองทีมค้นหาและกู้ภัย ในระดับประเทศ (National Accreditation Process – NAP) ซึ่งปัจจุบันในไต้หวันมี 10 ทีมได้แก่ ทีมกู้ภัยของกรุงไทเป นครนิวไทเป นครเกาสง นครเถาหยวน นครไทจง นครไถหนาน เมืองผิงตง เมืองไถตง เมืองฮัวเหลียน และเมืองซินจู๋ และเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดทำตารางเวรล่วงหน้าครึ่งปี โดยจะกำหนดให้มีทีมค้นหาและกู้ภัยที่ผ่านการรับรอง NAP 10 ทีมนี้ ผลัดกันอยู่เวรเดือนละ 2 ทีม และเพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อเกิดภัยพิบัติร้ายแรงในต่างประเทศ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสามารถประสานและส่งทีมค้นหาและกู้ภัยที่อยู่เวรประจำเดือนไปปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือได้ในทันทีที่ประเทศที่เกิดเหตุภัยพิบัติขอความช่วยเหลือ และเพื่อให้มั่นใจว่าทีมกู้ภัยมีความพร้อมในการระดมกำลัง ทีมที่อยู่ในตารางเวรจะต้องทำการทดสอบการระดมพลภายใน 1 เดือนก่อนหรือในช่วงเดือนที่อยู่เวร โดยในเดือนมีนาคมนี้เป็นเวรของทีมค้นหาและกู้ภัยจากนครเถาหยวนและผิงตง ซึ่งหลังเกิดแผ่นดินไหวที่เมียนมาก็สามารถระดมพลและจัดเตรียมอุปกรณ์เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางได้ภายในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน
ทีมค้นหาและกู้ภัยไต้หวัน ออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจช่วยค้นหาผู้ประสบภัยและสูญหายทันที หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ตุรกีเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ( ภาพจาก MOFA)
โดยก่อนระดมพลทีมค้นหาและกู้ภัยประจำเดือนจะเชื่อมต่อกับระบบแจ้งเตือนและประสานงานภัยพิบัติทั่วโลก (Global Disaster Alert and Coordination System ,GDACS) ของสหประชาชาติเพื่อตรวจสอบขอบเขตของผลกระทบจากภัยพิบัติ หากประเมินแล้วว่าผลกระทบมีความรุนแรง ก็จะเริ่มกระบวนการระดมพลของทีมค้นหาและกู้ภัยพิเศษที่จะออกไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ในเวลาเดียวกัน จะมีการประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ มูลนิธิบรรเทาสาธารณภัย สายการบิน China Airlines และ EVA Air เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเช่าเหมาลำเที่ยวบินพิเศษ ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศจะติดต่อกับประเทศที่ประสบภัยเพื่อยืนยันความต้องการความช่วยเหลือ เมื่อได้รับคำร้องขออย่างเป็นทางการ ทีมกู้ภัยของไต้หวันก็สามารถออกเดินทางไปให้ความช่วยเหลือได้ในเวลาที่สั้นที่สุด
ทีมค้นหาและกู้ภัยไต้หวัน เคยเดินทางไปปฏิบัติภารกิจช่วยค้นหาผู้สูญหายในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ตุรกีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ( ภาพจาก LTN)
โดยทั่วไป หากประเทศที่ประสบภัยได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจนเกินขีดความสามารถในการช่วยเหลือของตนเอง ก็จะร้องขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ซึ่งจะทำให้หน่วยงานตัวแทนในต่างประเทศของแต่ละประเทศแจ้งกลับมายังรัฐบาลของตนเองเพื่อเริ่มกระบวนการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและส่งทีมค้นหาและกู้ภัยไปยังพื้นที่ภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ภัยพิบัติไม่รุนแรงมากหรือประเทศที่ประสบภัยสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ด้วยตนเอง ก็จะไม่มีการร้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ นี่จึงเป็นเหตุผลที่บางครั้งเราเห็นรายงานข่าวว่าทีมค้นหาและกู้ภัยจากไต้หวันหรือประเทศอื่น ๆ เตรียมพร้อมออกเดินทางไปช่วยเหลือ แต่สุดท้ายไม่ได้เดินทางไปจริง เช่นเดียวกับเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาและไทยในครั้งนี้ที่ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากไต้หวันนั่นเอง
ในยามปกติ จะฝึกซ้อมการกู้ภัยเป็นประจำ ในภาพเป็นการฝึกซ้อมของทีมค้นหาและกู้ภัยไถหนาน
3. พบต้นสนไต้หวันสูงเสียดฟ้า 84.1 ม. ครองแชมป์ต้นไม้สูงสุดในเอเชียตะวันออก
ไต้หวันมีพื้นที่ 36,197 ตารางกิโลเมตร ในจำนวนนี้ 2 ใน 3 เป็นป่าและภูเขา ยอดเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 3,000 เมตรขึ้นไปมีมาก 284 ลูก จึงมีต้นไม้สูงและอายุหลายร้อยปีเป็นจำนวนมาก ทีมผู้ค้นหาต้นไม้ จากสถาบันวิจัยป่าไม้ กระทรวงเกษตรไต้หวันและมหาวิทยาลัยเฉิงกง (NCKU) ใช้เทคโนโลยี LiDAR ทางอากาศเพื่อตามหาต้นไม้ยักษ์ในไต้หวันที่มีความสูงเกิน 65 เมตรขึ้นไป ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 พบต้นไม้สูงชะลูดเสมือนกับกระบี่อี๋เทียนเจี้ยนในมังกรหยก นิยายกำลังภายในยอดนิยมจากกิมย้ง จากการวัดด้วยการปีนขึ้นบนต้นไม้ วัดความสูงได้ถึง 84.1 เมตร จัดเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในไต้หวัน และยังเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกอีกด้วย สูงกว่าต้นไม้สูงสุดในจีนแผ่นดินใหญ่ ที่พบในเขตปกครองตนเองทิเบต ความสูง 83 เมตร 40 เซนติเมตร
พบต้นไม้สูงชะลูดเสมือนกับกระบี่อี๋เทียนเจี้ยนในมังกรหยก นิยายกำลังภายในยอดนิยมของกิมย้ง จากการวัดด้วยการปีนขึ้นบนต้นไม้ มีความสูงถึง 84.1 เมตร (ภาพจาก tfri.gov.tw)
ต้นไม้ที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกต้นนี้ อยู่ในวงศ์สน (Taiwania cryptomerioides) เป็นหนึ่งใน 5 สายพันธุ์ของไม้สนเข็มไต้หวัน ค้นพบที่บริเวณแหล่งต้นน้ำแม่น้ำต้าอันซี ซึ่งไหลจากเมืองเหมียวลี่ผ่านไปยังนครไทจง แม้ว่าต้นสนไต้หวันจะไม่ค่อยเติบโตเป็นป่าหนาแน่นเหมือนต้นสนสายพันธุ์อื่น แต่มักจะยืนต้นสูงเด่นเพียงลำพังบนสันเขาที่มีระดับความสูงปานกลาง เป็นต้นไม้ที่สูงชะลูดโดดเด่นเหนือต้นไม้ชนิดอื่น ได้รับการยกย่องว่าเป็น ราชาแห่งไม้สนเข็มไต้หวัน และเป็นพืชเฉพาะถิ่นของไต้หวัน
ทีมผู้ค้นหาต้นไม้ จากสถาบันวิจัยป่าไม้ ใช้เวลาปีนผาสูงอันตรายนานถึง 6 วัน เพื่อไปวัดระดับความสูงของต้นสนดังกล่าว (ภาพจาก tfri.gov.tw)
สวี่เจียจวิน นักวิจัยจากกลุ่มนิเวศวิทยาป่าของสถาบันวิจัยป่าไม้กล่าวว่า หลังจากที่พบต้นไม้สูงที่สุดในไต้หวันดังกล่าว ตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ทีมงานใช้ระบบ LiDAR ทางอากาศ ทำการวัดความสูงของต้นไม้ในเขตพื้นที่ที่พบต้นสนไต้หวันมากที่สุด ยังไม่พบต้นไม้ต้นใดที่สูงกว่า กระบี่อี๋เทียนเจี้ยนแห่งต้าอันซีดังกล่าวเลย สถาบันวิจัยป่าไม้จัดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา เปิดเผยคลิกการวัดระดับความสูงของต้นสนไต้หวันต้นนี้ ซึ่งสูง 84.1 เมตร พร้อมประกาศให้เป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในไต้หวัน และยังเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกอีกด้วย จนถึงขณะนี้ ทีมผู้ค้นหาต้นไม้ ได้พบและยืนยันต้นไม้ที่สูงกว่า 70 เมตรในไต้หวันทั้งหมด 8 ต้น ซึ่งทั้งหมดเป็นต้นสนไต้หวัน ต้นไม้ยักษ์เหล่านี้ ไม่เพียงแต่เป็นสมบัติอันล้ำค่าทางธรรมชาติของไต้หวัน ยังเป็นหลักฐานสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาคนี้อีกด้วย
เจ้าหน้าที่ไต่เชือกปีนขึ้นไปเพื่อวัดความสูงของต้นไม้ (ภาพจาก tfri.gov.tw)
นอกจากนี้ สถาบันวิจัยป่าไม้ยังได้ร่วมงานกับ The Tree Project ทีมถ่ายภาพจากออสเตรเลีย ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ทีมนี้เคยถ่ายภาพต้นไม้หายากจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และเคยเดินทางมาไต้หวันในปี 2560 และ 2565 เพื่อถ่ายภาพต้นไม้ยักษ์มาแล้ว ในปีนี้ Steven Pearce หัวหน้าช่างภาพของ The Tree Project ได้เดินทางมายังไต้หวันอีกครั้ง เพื่อถ่ายภาพเต็มตัวของกระบี่อี๋เทียนเจี้ยนแห่งต้าอันซี ซึ่งอาจเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของทีมวิจัยต้นไม้นี้
ทีมสถาบันวิจัยป่าไม้ และ Steven Pearce (คนที่ 4 จากซ้าย) หัวหน้าช่างภาพของ The Tree Project จากออสเตรเลีย ประกาศเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พบต้นไม้สูงที่สุดในไต้หวันและภูมิภาคเอเชียตะวันออก (ภาพจาก CNA)
-
1. อากาศเหมือนหน้าร้อนมาแล้วหลายวัน ปลายสัปดาห์เปลี่ยนเป็นหน้าหนาว เตือนฝนตกหนัก หยุดยาวเช็งเม้ง 3-6 เม.ย. อากาศดี
สัปดาห์ที่ผ่านกลางวันอากาศร้อนมากเหมือนกับหน้าร้อน อุณหภูมิสูงสุด 34-35°c ขณะที่กลางคืนและช่วงเช้า 13-17°c ต่างกันเกือบ 20°c ทำให้ปรับตัวไม่ทันไม่สบายได้ง่าย อย่างไรก็ตาม หน้าหนาวยังไม่หมด ตั้งแต่วันศุกร์เป็นต้นมา อากาศเปลี่ยนกะทันหัน จากแนวปะทะอากาศพัดผ่าน ตามด้วยลมหนาวลูกใหม่ที่มีความชื้นสูง ทำให้สุดสัปดาห์นี้จนถึงวันอังคารหน้าอากาศหนาวแฉะ โดยเฉพาะภาคเหนือ อุณหภูมิต่ำสุด 10-16°c สัปดาห์หน้ามีวันหยุดเทศกาลเช็งเม้ง วันเด็กและวันสตรี หยุดยาว 4 วัน ระหว่าง 3-6 เมษายน กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า อากาศมั่นคง ใครอยากไปเที่ยวก็วางแผนล่วงหน้าได้
ต้นสัปดาห์อาการร้อน แต่วันศุกร์เป็นต้นมาอากาศหนาวแฉะ จนถึงวันอังคารหน้า (ภาพจาก udn.com)
2. เห็นด้วยไหม? สังคมไต้หวันมีความปลอดภัยสูงสุด รั้งอันดับ 4 ของโลก ปลอดภัยกว่าญี่ปุ่น สิงคโปร์และเกาหลี ไทยติดอันดับ 50 เวเนซูเอลาอันตรายสุด
Numbeo เว็บไซต์ด้านการวิจัยและเป็นฐานข้อมูลด้านคุณภาพชีวิตขนาดใหญ่ เผยแพร่ดัชนีความปลอดภัยของประเทศประจำปี 2568 จัดอันดับประเทศที่มีความปลอดภัยที่สุดในโลกจาก 147 ประเทศและเขตพื้นที่ ไต้หวันได้ติดอันดับ 4 ขณะที่ 3 อันดับแรกได้แก่ อันดอร์รา (Andorra) ในยุโรป สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์ เฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ไต้หวันถูกจัดเป็นอันดับ 1 ที่มีความปลอดภัยในสังคมสูงที่สุด แซงหน้าฮ่องกงที่อยู่อันดับ 7 สิงคโปร์อันดับ 9 ญี่ปุ่นอยู่อันดับ 10 จีนแผ่นดินใหญ่อันดับ 15 เกาหลีใต้อันดับ 17 ส่วนประเทศไทยติดอันดับ 50
รายงานดัชนีความปลอดภัยของประเทศปี 2568 (Safety Index by Country 2025) จัดทำโดย numbeo.com อ้างอิงจากการกรอกข้อมูลในแบบสอบถามที่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Numbeo โดยประเมินสถานการณ์อาชญากรรมโดยรวมในแต่ละประเทศ เช่น ความรู้สึกปลอดภัยของประชาชน ขณะเดินในช่วงกลางวันและกลางคืน ความกังวลเกี่ยวกับอาชญากรรม อย่างการโจรกรรม การขโมยรถ การถูกทำร้ายร่างกายโดยคนแปลกหน้า การคุกคามในที่สาธารณะ และการเลือกปฏิบัติหรือการเหยียดสีผิว เชื้อชาติ เพศ หรือศาสนา นอกจากนี้ยังสอบถามประเด็นอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น การบุกรุกบ้าน การขโมย และการก่อกวนทรัพย์สิน รวมถึงอาชญากรรมรุนแรง อย่าง การทำร้ายร่างกาย การฆาตกรรมและอาชญากรรมทางเพศ เป็นต้น
ภาพบรรยากาศบนท้องถนนในกรุงไทเป (ภาพจาก MOFA)
หลังจากประเมินจากข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถามแล้ว Numbeo ได้ให้คะแนนความปลอดภัยของแต่ละประเทศ ตั้งแต่ 1 ซึ่งหมายถึงอันตรายที่สุด ถึง 100 หมายถึงปลอดภัยที่สุด ประเทศและเขตพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 10 อันดับแรกของโลกมีดังต่อไปนี้
อันดับ 1 อันดอร์รา (84.7 คะแนน)
อันดับ 2 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (84.5 คะแนน)
อันดับ 3 กาตาร์ (84.2 คะแนน)
อันดับ 4 ไต้หวัน (82.9 คะแนน)
อันดับ 5 โอมาน (81.7 คะแนน)
อันดับ 6 ไอล์ออฟแมน (79.0 คะแนน)
อันดับ 7 ฮ่องกง (78.5 คะแนน)
อันดับ 8 อาร์มีเนีย (77.9 คะแนน)
อันดับ 9 สิงคโปร์ (77.4 คะแนน)
อันดับ 10 ญี่ปุ่น (77.1 คะแนน)
ภาพบรรยากาศบนท้องถนนในกรุงไทเป (ภาพจาก gvm.com.tw)
จีนถูกจัดอยู่อันที่ 15 ได้ 76.0 คะแนน เกาหลีใต้อยู่อันดับ 17 มี 75.1 คะแนน ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับ 50 มี 62.7 คะแนน เป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปลอดภัยมากกว่าเวียดนามที่อยู่อันดับ 55 ฟิลิปปินส์ อันดับ 63 อินโดนีเซีย 76 มาเลเซีย อันดับ 88 เมียนมา อันดับที่ 96 กัมพูชา อันดับที่ 97
ส่วนประเทศที่อันตรายที่สุดในโลกหรืออันดับที่ 147 ได้แก่ เวเนซุเอลา มีคะแนนเพียง 19.3 ตามด้วยอันดับที่ 146 ปาปัวนิวกินี มีคะแนน 19.7 และอันดับที่ 145 เฮติ มี 21.1 คะแนน
ชาวนครไทจงชมการแสดงของศิลปินเปิดหมวกในสวนสาธารณะ (chinatimes.com)
Numbeo ระบุว่า ดัชนีอาชญากรรมที่จัดทำขึ้น อ้างอิงจากข้อมูลและความคิดเห็นของผู้ใช้งาน อาจแตกต่างจากสถิติทางการของรัฐบาล ใช้เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบระดับความปลอดภัยของประเทศและเขตพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้คนตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและเข้าใจแนวโน้มอาชญากรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
ตลาดท่าเรือที่นครเกาสง(ภาพจาก news.586.com.tw)
Numbeo ก่อตั้งขึ้นในปี 2552 เป็นฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งได้รับข้อมูลจากผู้ใช้งาน โดยปีนี้ มีการจัดอันดับดัชนีความปลอดภัยอาชญากรรมจาก 147 ประเทศและเขตพื้นที่
อ่านดัชนีความปลอดภัยของประเทศประจำปี 2568 ฉบับเต็มจากเว็บ numbeo.com ได้ที่ : https://www.numbeo.com/crime/rankings_by_country.jsp?displayColumn=1
3. เปิดประสบการณ์ชมงิ้วปักกิ่งในไทเป
งิ้วปักกิ่งเป็นศิลปะการแสดงดั้งเดิมของจีนที่มีประวัติยาวนานกว่า 200 ปี การแต่งหน้าและเครื่องแต่งกายของตัวละครจะค่อนข้างฉูดฉาดสะดุดตา (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
สัปดาห์นี้จะมาเล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตของการชมงิ้วปักกิ่งของผู้จัด (อัญชัน ทรงพุทธิ์) แม้จะเป็นคนที่ชอบประวัติศาสตร์ ชอบดูละครและการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน แต่สำหรับอุปรากรจีนอย่างงิ้วปักกิ่งยังไม่เคยมีโอกาสไปชมเลยสักครั้ง เนื่องจากงิ้วปักกิ่งเป็นอะไรที่เอื้อมไม่ถึงคือเข้าใจยาก แม้ภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาจีนก็ตาม เพราะส่วนใหญ่ตัวละครจะใช้วิธีขับร้องด้วยน้ำเสียงที่สูงมากจนฟังไม่เข้าใจ แม้แต่เจ้าของภาษาที่เป็นคนในยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเช่นกัน นอกจากนี้ในปัจจุบันที่ไต้หวันหาชมได้ยากและไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจ ในครั้งนี้ต้องขอบคุณโรงละครไทเป หรือ TaipeiEYE (臺北戲棚) ที่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าการแสดงรอบปฐมฤกษ์ของปีนี้
เปิดประสบการณ์ชมงิ้วปักกิ่งที่โรงละคร TaipeiEYE ในไทเป ในภาพเป็นนางเอกหรือตัวนาง ภาษาจีนกลางเรียกว่า ต้าน (旦)
เปิดประสบการณ์ชมงิ้วปักกิ่งที่โรงละคร TaipeiEYE ในไทเป ในภาพคือเห้งเจียและตัวประกอบที่สวมบทผู้ร้าย
การไปชมงิ้วปักกิ่งครั้งนี้ไม่พบกับอุปสรรคนี้เลย เนื่องจากในโรงละคร TaipeiEYE ได้มีการติดตั้งจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ข้างเวทีเพื่อขึ้นคำแปลเนื้อหาของการแสดงจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่นและเกาหลี ทำให้ผู้ชมชาวต่างชาติเข้าใจการแสดงได้ง่ายขึ้น ช่วยให้สัมผัสได้ถึงอรรถรสของการแสดงศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ประกอบกับก่อนเปิดการแสดงจะมีการโหมโรงด้วยการเชิดสิงโตและการแสดงผาดโผนต่างๆ รวมถึงการลงจากเวทีมาปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมโดยตรงของนักแสดง ช่วยสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้นและสนุกสนานมากขึ้น นอกจากนี้ภายในโรงละครได้จัดโซนพิเศษ เช่น "โซนแต่งหน้า" และ "โซนถ่ายภาพ" ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้สัมผัสกับวิธีแต่งหน้าและเครื่องแต่งกายของตัวละครได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย สรุปแล้วคุ้มค่ากับการใช้เวลาในช่วงค่ำคืนกับการชมอุปรากรจีนที่หาชมได้ยากมากในไต้หวัน
โหมโรงด้วยการเชิดสิงโตและการแสดงผาดโผนต่างๆ รวมถึงการลงจากเวทีมาปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมโดยตรง
โหมโรงด้วยการเชิดสิงโตและการแสดงผาดโผนต่างๆ รวมถึงการลงจากเวทีมาปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมโดยตรง
สำหรับ งิ้วปักกิ่ง หรือภาษาจีนคือ 京劇 (อ่านว่า จิงจวี้) ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า งิ้วปักกิ่ง เป็นศิลปะการแสดงดั้งเดิมของจีนที่มีประวัติยาวนานกว่า 200 ปี จัดเป็นศิลปะการแสดงขั้นสูงและสมบูรณ์แบบที่รวมศิลปะ การขับร้อง การพูด การแสดงศิลปะการต่อสู้ และการเต้นระบำ เข้าไว้ด้วยกัน เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของงิ้วปักกิ่งคือ รูปแบบและลวดลายบนในการแต่งหน้าของตัวละครสามารถบ่งชี้ถึงบทบาทที่ได้รับ อาทิ ความซื่อสัตย์กับความคดโกง ความงามกับความขี้เหร่ ความดีกับความชั่ว ความสูงศักดิ์กับความต่ำต้อย เป็นต้น โดยสีแดงใช้กับบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ สีม่วงเป็นสัญลักษณ์แห่งความชาญฉลาด ความกล้าหาญและความมีน้ำใจ สีดำสะท้อนถึงอุปนิสัยใจคอสูงส่งที่ซื่อตรง สีขาวบ่งบอกถึงความคดโกงและความโหดเหี้ยม สีน้ำเงินแสดงถึง มีใจนักสู้และกล้าหาญ ดังนั้นการแต่งหน้าตัวละครจึงต้องใช้ความพิถีพิถัน ละเอียดอ่อนและประณีต
เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้สัมผัสกับวิธีแต่งหน้าและเครื่องแต่งกายของตัวละครได้อย่างใกล้ชิด
การแต่งหน้าตัวละครต้องใช้ความพิถีพิถัน ละเอียดอ่อนและประณีต
มีมุมให้บริการสวมเครื่องแต่งกายของตัวละครและถ่ายรูปฟรีด้วย
การแสดงงิ้วปักกิ่งถูกนำเข้าสู่ไต้หวันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2458 (ค.ศ. 1915) โดยกูเสี่ยนหรง (辜顯榮) ต้นตระกูลกู (辜) ซึ่งเป็น1 ใน 5 ตระกูลอัครมหาเศรษฐีเก่าแก่ของไต้หวัน ได้ซื้อตึกสมาคมต้านสุ่ยจากชาวญี่ปุ่นและทำการปรับปรุงใหม่จนกลายเป็นโรงละคร "Taiwan New Stage" ที่เปิดการแสดงงิ้วปักกิ่ง โดยได้เชิญคณะงิ้วปักกิ่งจากเซี่ยงไฮ้ ฝูเจี้ยน ชานตง และเทียนจิน รวมถึงในไต้หวัน มาสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันแสดง ทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการแสดงศิลปะและวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในยุคนั้น ปัจจุบันโรงละครแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น TaipeiEYE (臺北戲棚) และพัฒนาให้ก้าวสู่การเป็นโรงละครขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงของไต้หวันมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเสริมให้คนไต้หวันรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าใจเนื้อหาการแสดงได้ง่ายขึ้น อย่างมีการติดตั้งจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ข้างเวทีเพื่อขึ้นคำแปลเนื้อหาของการแสดงจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่นและเกาหลี ทำให้ผู้ชมชาวต่างชาติเข้าใจการแสดงได้ง่ายขึ้น
TaipeiEYE ถือเป็นหน้าต่างแห่งวัฒนธรรมที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์ของชาวไต้หวันและชาวต่างชาติได้สัมผัสเสน่ห์ของศิลปะการแสดงจีนในไต้หวัน
TaipeiEYE ถือเป็นหน้าต่างแห่งวัฒนธรรมที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์ของผู้คน ทั้งชาวไต้หวันและชาวต่างชาติได้สัมผัสเสน่ห์ของศิลปะการแสดงจีนที่เป็นเอกลักษณ์ของไต้หวัน TaipeiEYE ตั้งอยู่ริมถนนจงซานเป่ยลู่ ตอนที่ 2 ในกรุงไทเป เป็นสถานที่จัดแสดงศิลปะการแสดงดั้งเดิมของจีนในไต้หวันที่ดำเนินการอย่างยาวนาน โดยมีการแสดงในคืนวันพุธ ศุกร์ และเสาร์ กลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม และยังทำหน้าที่เป็นสะพานทางวัฒนธรรมในการเชื่อมโยงกับนานาชาติ ท่านที่มีความสนใจหรืออยากลองสัมผัสกับด้านศิลปะการแสดงเก่าแก่ดั้งเดิมของจีนที่หลอมรวมบริบทของไต้หวัน ตลอดจนผสมผสานความเป็นสากล เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ขอเชิญชวนท่านมาเยือน "โรงละคร TaipeiEYE " สักครั้ง รับรองว่าจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจไม่รู้ลืมเลยทีเดียว
เปิดการแสดงทุกคืนวันพุธ ศุกร์และเสาร์ (26 มี.ค.-12 เม.ย.68) เวลา 20.00-21.00 น.
ตารางการแสดงของโรงละคร TaipeiEYE (26 มี.ค.-12 เม.ย. 68)
ทุกคืนวันพุธ ศุกร์และเสาร์ เวลา 20.00-21.00 น. โดยเปิดให้เข้าตั้งแต่ 19.00 น. ราคาบัตรเข้าชม 800 เหรียญไต้หวัน สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่โดยสารสายการบินของไต้หวัน อาทิ ไชน่าแอร์ไลน์ อีวีเอแอร์ และไทเกอร์แอร์ ไต้หวัน เพียงแสดง Boarding Card จะได้รับส่วนลด 15% ทันที
-
1. เช้าวันเสาร์นี้ ซินจู๋หนาวสุด 5.4°c กลางวันพุ่งสูง 30°c กลางคืนกลางวันต่างร่วม 20°c อากาศดีถึงพฤหัสฯ ศุกร์หน้าลมหนาวกำลังแรงมาเยือน อากาศหนาวแฉะอีกรอบ
หลังหนาวแฉะมาหลายวัน ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาไร้ฝนอากาศดีมาก กลางวันท้องฟ้าโปร่งใสอากาศเริ่มร้อน แต่กลางคืนและช่วงเช้ายังหนาวต่ำกว่า 10°c อุณหภูมิช่วงกลางคืนและกลางวันต่างกันกว่า 15°c ยิ่งวันอังคารและพุธหน้า กลางวันแตะ 35°c เหมือนเข้าหน้าร้อนเลยทีเดียว
ปลายสัปดาห์นี้อากาศดี ชาวกรุงไทเปออกมาตากแดด (ภาพจาก CNA)
สภาพอากาศดีเช่นนี้จะดำเนินไปถึงวันพฤหัสบดีหน้า วันศุกร์จะมีลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่พร้อมความชื้นสูงมาเยือน ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว และมีฝนตกฟ้องร้องจนถึงสุดสัปดาห์ ร่างกายอาจปรับตัวไม่ทันทำให้ป่วยง่าย เตือนให้ดูแลสุขภาพ
ศุกร์หน้าจะมีลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่พร้อมความชื้นสูงมาเยือน เตรียมหนาวแฉะอีกรอบ (ภาพจาก LTN)
2. 7 เมืองใหญ่ในไต้หวันส่งเสริมให้ประชากรมีบุตร ให้เงินอุดหนุนค่าแท็กซี่แก่สตรีมีครรภ์
ไต้หวันประสบปัญหาอัตราการเกิดต่ำที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสิบปีที่ผ่านมาจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงทุกปี ในปี 2567 ที่ผ่านมามีเด็กเกิดใหม่เพียง 134,856 คน เทียบกับ 10 ปีที่แล้ว (ปี 2558) ที่มีเด็กเกิดใหม่ 213,598 คน ลดลงถึง 78,027 คน ในขณะที่ยอดคนเสียชีวิตในปี 2567 มีจำนวน 202,107 คน หรือตายมากกว่าเกิด 67,251 คน โดยสภาพการที่คนตายมากกว่าคนเกิดใหม่ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 2562 ส่งผลให้ประชากรไต้หวันลดลงอย่างต่อเนื่อง
ปี 2567 ที่ผ่านมามีเด็กเกิดใหม่เพียง 134,856 คน ลดลงจากสิบปีที่แล้ว 78,027 คน (ภาพจาก LTN)
นอกจากปัญหาอัตราการเกิดต่ำแล้ว ไต้หวันยังเผชิญกับปัญหาประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมชราภาพระดับสุดยอด (Super-aged Society) ซึ่งหมายถึงเป็นสังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดโดย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ไต้หวันมีประชากรวัย 65 ปีขึ้นไป 19.35% หรือ 4,524,323 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 23,384,614 คน
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว รัฐบาลไต้หวันเพียรพยายามกระตุ้นอัตราการเกิด ด้วยการนำมาตรการต่างๆที่คิดว่าน่าจะทำให้หนุ่มสาววัยเจริญพันธุ์อยากมีบุตรเพิ่ม หนึ่งในจำนวนนี้คือ มาตรการอุดหนุนการเลี้ยงดูบุตร (育兒津貼) ช่วงอายุ 0-2 ขวบ ซึ่งเป็นมาตรการของรัฐบาลกลางที่นำมาใช้ ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน โดยรัฐบาลกลางให้เงินอุดหนุนสำหรับครอบครัวที่มีบุตรคนแรก 5,000 เหรียญต่อเดือน คนที่ 2 อุดหนุน 6,000เหรียญ/เดือน และคนที่ 3 อุดหนุน 7,000 เหรียญ/เดือน
ไต้หวันกำลังเข้าสู่การเป็นสังคมชราภาพระดับสุดยอด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ไต้หวันมีประชากรวัย 65 ปีขึ้นไป 19.35% (ภาพจาก sab.tainan.gov.tw)
นอกจากนี้ยังมีเงินรางวัลการให้กำเนิดบุตร (生育獎勵金) ที่ทุกเมืองจะอัดฉีดเงินให้แก่ครอบครัวที่ให้กำเนิดบุตร โดยจำนวนเงินจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานะทางการคลังของแต่ละเมือง อย่างกรุงไทเป ให้เงินรางวัล 40,000 เหรียญสำหรับบุตรคนแรก 45,000 เหรียญสำหรับบุตรคนที่ 2 และ 50,000 เหรียญสำหรับบุตรคนที่ 3 และนครนิวไทเปให้ 30,000 สำหรับบุตรคนแรก 40,000 เหรียญสำหรับบุตรคนที่ 2 และ 50,000 เหรียญสำหรับบุตรคนที่ 3 เป็นต้น
7 เมืองใหญ่ในไต้หวันส่งเสริมให้ประชากรมีบุตร ให้เงินอุดหนุนค่าแท็กซี่แก่สตรีมีครรภ์ (ภาพจากเทศบาลนครนิวไทเป)
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่สตรีมีครรภ์ที่ต้องเดินทางไปตรวจครรภ์หรือไปทำธุระอื่นๆที่เกี่ยวข้องในระหว่างตั้งครรภ์ ขณะนี้เมืองใหญ่ๆในไต้หวัน อาทิ กรุงไทเป นครนิวไทเป นครเกาสง เมืองซินจู๋ เมืองผิงตง เมืองเจียอี้ และล่าสุดนครเถาหยวน ได้ผลักดันมาตรการอุดหนุนค่าแท็กซี่แก่สตรีมีครรภ์ 2,800- 9,000 เหรียญ ในจำนวนนี้เถาหยวนให้เงินอุดหนุนมากที่สุดคือ 9,000 เหรียญ รองลงมาคือกรุงไทเป 8,000 เหรียญ ซินจู๋ 6,000 เหรียญ ผิงตง 6,000 เหรียญ นิวไทเป 5,600 เหรียญ เกาสง 5,040 เหรียญ และเจียอี้ 4,500 เหรียญ
3. เกาะมหาเศรษฐี? พบชาวไต้หวัน 28,000 คนมีสินทรัพย์เกิน 320 ล้านเหรียญไต้หวัน ติดอันดับ 13 ของโลก มากกว่าสิงคโปร์ 3 เท่า
ไนต์ แฟรงค์ (Knight Frank) บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกด้านที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์จากสหราชอาณาจักรเผยแพร่รายงาน Wealth Report ประจำปีระบุว่า จำนวนบุคคลที่มีสินทรัพย์มูลค่ามากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 320 ล้านเหรียญไต้หวัน โดยไม่รวมบ้านหรือที่อยู่อาศัยหลัก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกลุ่ม High-Net-Worth Individuals (HNWIs) หรือกลุ่มมหาเศรษฐี ในปี 2024 ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4.4% เป็น 2.34 ล้านคน เฉพาะในไต้หวันมีมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 28,391 คน ติดอันดับที่ 13 ของโลก ซึ่งเป็นสามเท่าของสิงคโปร์ที่มี 9,674 คน และไทยที่มี 9,192 คน
โฮว ซื่อชาง โฆษกคลังสมองบริษัทอสังหาริมทรัพย์ซินฉวนกล่าวว่า สืบเนื่องจากไต้หวันมีดุลการค้าระหว่างประเทศเกินดุลมาอย่างยาวนาน และในช่วงสองปีที่ผ่านมา มียอดเกินดุลสูงถึง 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างมหาเศรษฐีจำนวนมาก หากจะบอกว่าไต้หวันเป็นเกาะมหาเศรษฐีก็ไม่น่าจะผิด เขากล่าวต่อไปว่า ในไต้หวันอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติ มหาเศรษฐีและเงินทุนจำนวนมากได้ผลักดันให้ราคาบ้านสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความไม่พอใจในราคาบ้านที่สูงและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเห็นด้วยว่าราคาบ้านในไต้หวันไม่สมเหตุสมผล แต่ราคาบ้านก็ยังคงเพิ่มขึ้นมากกว่าลดลง และไม่มีแนวโน้มลดลงตามที่คาดการณ์
ไนต์ แฟรงค์ (Knight Frank) บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกด้านที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์จากสหราชอาณาจักรเผยแพร่รายงาน Wealth Report ประจำปี 2025 (ภาพจากเว็บ Knight Frank)
จากสถิติของ Knight Frank สหรัฐอเมริกามีจำนวนมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐมากที่สุดในโลก จำนวน 905,413 คน คิดเป็น 38.7% ของมหาเศรษฐีทั่วโลก
อันดับสองคือจีนแผ่นดินใหญ่ มีมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 471,643 คน คิดเป็น 20.1% ของมหาเศรษฐีทั่วโลก
อันดับสามคือญี่ปุ่น มีมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีจำนวน 122,119 คน นอกจากนี้ ฮ่องกงมี 42,715 คนอยู่ในอันดับที่ 10 และเกาหลีใต้มี 39,210 คนอยู่ในอันดับที่ 12
บรรยากาศกลางคืนกรุงไทเป ถ่ายโดยคุณธีรศักดิ์ ศักดิ์ศรีทวี ช่างภาพมืออาชีพชื่อดังของไทย ในชุด Galaxy S7 edge ตะลุยทริปไต้หวัน Good Night Taiwan
ส่วนไต้หวันอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก โดยมีมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 28,391 คน คิดเป็น 1.2% ของมหาเศรษฐีทั่วโลก สิงคโปร์ 9,674 คน อยู่อันดับ 19 และตามด้วยอันดับ 20 ประเทศไทยมีจำนวนมหาเศรษฐี 9,192 คน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายประเทศในเอเชียจะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการจัดอันดับมหาเศรษฐี แต่จำนวนมหาเศรษฐีในจีนแผ่นดินใหญ่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง อินเดีย เกาหลีใต้ ไต้หวันและสิงคโปร์รวมกันแล้วมีมากกว่า 720,000 คน ยังคงน้อยกว่าจำนวนมหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกา
4. ชาวไต้หวันแห่ซื้อบ้านแห่งที่สองในไทย ปี 2567 นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทยที่เป็นชาวไต้หวันพุ่งเกือบ 60% แพ้แค่เมียนมา
สื่อไทยรายงานว่า ในปี 2568 ชาวต่างชาติซื้อคอนโดมิเนียมในไทยจำนวน 14,573 หน่วย มูลค่า 68,180 ล้านบาท ลดลง 6.8% จากปีก่อนหน้า โดยความสนใจจากผู้ซื้อชาวจีนและรัสเซียชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในทางกลับกัน ผู้ซื้อจากเมียนมาและไต้หวันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่น่าสนใจ จำนวนการซื้อบ้านในไทยของชาวพม่าเพิ่มขึ้น 146% จากปี 2566 ส่วนชาวไต้หวันเพิ่มขึ้น 57.1% อยู่ในอันดับที่หนึ่งและที่สองของนักลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย
ปี 2567 ชาวไต้หวันลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทยพุ่งขึ้นเกือบ 60% มากเป็นอันดับสอง รองจากเมียนมา (ภาพจาก welcometw.com)
รายงานกล่าวว่า สาเหตุที่ชาวพม่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 1 มาจากปัญหาความไม่มั่นคงในประเทศ พูดง่าย ๆ คือหนีสงคราม ขณะที่ชาวไต้หวัน มีปัจจัยหลักจากนโยบายยกเว้นการตรวจลงตราหรือยกเว้นวีซ่าเป็นเวลา 60 วันของไทย ส่งผลให้มีการซื้อบ้านแห่งที่สองในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เทียบกับปี 2566 มียอดซื้อเพิ่มขึ้น 57.1% หรือ 836 ยูนิต มูลค่า 4,299 ล้านบาท
ชาวไต้หวันชื่นชอบประเทศไทย รวมถึงผลจากนโยบายยกเว้นการตรวจลงตราหรือยกเว้นวีซ่าเป็นเวลา 60 วัน ส่งผลให้มีการซื้อบ้านแห่งที่สองในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ภาพจาก cw.com.tw)
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่น่าสนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2567 นั่นคือ ชาวอินเดียเริ่มสนใจซื้อคอนโดมิเนียมไทยมากขึ้น และติดอันดับที่ 10 ผู้ซื้อต่างชาติที่ซื้อคอนโดมิเนียมในไทยมากที่สุดเป็นครั้งแรก แม้ว่าจำนวนการซื้อจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย 0.4% เป็น 260 หน่วย มูลค่า 15,300 ล้านบาท แต่ความโดดเด่นของนักลงทุนชาวอินเดียที่มีต่อคอนโดมิเนียมไทย นิยมซื้อคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่ ต่างจากผู้ซื้อต่างชาติส่วนใหญ่ที่เลือกหน่วยขนาดเล็ก ชาวอินเดียมักมองหาคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่เกิน 70 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ย 5.9 ล้านบาทต่อหน่วย
โฆษณาชักชวนซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในไต้หวันรายหนึ่ง (ภาพจาก cw.com.tw)
-
1. มาอีกแล้ว! ลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่ถึงคืนเสาร์นี้ หนาวลากยาวถึงพฤหัสฯ หน้า คืนวันจันทร์-เช้าอังคารหนาวสุดอุณหภูมิต่ำกว่า 10°c
ฝนตกหนักและฟ้าผ่าฟ้าร้องตั้งแต่เช้ามืดวันเสาร์นี้ (15 มี.ค.) จนทำให้คนทางภาคเหนือจำนวนมากต้องสะดุ้งตื่นจากความฝัน หลายพื้นที่มีน้ำท่วมขัง กรมอุตุนิยมวิทยาอธิบายว่า เป็นผลจากอิทธิพลการเคลื่อนตัวผ่านของแนวปะทะอากาศ ทำให้อากาศแปรปรวน มีฝนตกหนักฉับพลันและมีฟ้าผ่าฟ้าร้องทางพื้นที่ภาคเหนือ ตั้งแต่เหมียวลี่ขึ้นมา รวมถึงเกาะจินเหมิน
ฝนตกหนักและฟ้าผ่าตั้งแต่เช้ามืดวันเสาร์นี้ วันอาทิตย์ฝนเบาบางลง แต่มีลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่มาเยือน (ภาพจากกรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวัน : CWA)
อย่างไรก็ตาม หลังจากแนวปะทะอากาศเคลื่อนตัวผ่านไป มวลอากาศเย็นกำลังแรงระลอกใหม่กำลังเข้ามาแทนที่ตั้งแต่ค่ำวันเสาร์นี้ ส่งผลให้อุณหภูมิทั่วเกาะไต้หวันลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะคืนวันจันทร์-เช้าวันอังคารหน้า ภาคกลางและภาคเหนือ อุณหภูมิต่ำสุดมีเพียง 9-11°c พื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก 13-15°c ยังดีที่ความชื้นต่ำเป็นลมหนาวแบบแห้ง กลางวันมีแสงแดด ภาคเหนืออุณหภูมิสูงสุดประมาณ 15°c ส่วนภาคกลางและใต้ต่ำกว่า 20°c
ลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่ถึงคืนวันเสาร์นี้ หนาวลากยาวถึงพฤหัสบดีหน้า คืนวันจันทร์-เช้าอังคารหนาวสุด อุณหภูมิต่ำกว่า 10°c
กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า ลมหนาวลูกนี้ จะส่งผลให้อากาศหนาวลากยาวไปจนถึงวันพฤหัสบดีหน้า เตือนต้องระวังและดูแลสุขภาพ
2. เห็นด้วยไหม? ปีนี้หนาวเร็ว หนาวจัดและหนาวนานสุดในรอบ 14 ปี ลมหนาวกำลังแรงทำให้อุณหภูมิต่ำกว่า 14°c มีถึง 13 ลูกและยังจะมีอีก
ฤดูหนาวปีนี้ ทั้งหนาวจัด หนาวแฉะและหนาวเป็นเวลายาวนานกว่าทุกปีที่ผ่านมา ดร. หลินเต๋อเอิน ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศของไต้หวันกล่าวว่า ฤดูหนาวปีนี้ ทำลายสถิติถึง 3 รายการ กลายเป็นปีฤดูหนาวปีที่หนาวที่สุดในรอบ 14 ปี โดยมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ เช่น การแผ่กระจายของอุณหภูมิ การไหลเวียนของลมมรสุม การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนในบางพื้นที่ และการระบายความร้อนด้วยการแผ่รังสี นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ลานีญา ก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้
เมื่อ 14.04 น. 28 ม.ค. 2568 วันส่งท้ายปีเก่าช่วงตรุษจีน บนยอดเขาอวี้ซานมีอุณหภูมิ -14.5°c ต่ำสุดในรอบ 10 ปี (ในภาพเป็นหิมะเกาะตามต้นไม้บนยอดเขาอวี้ซานจากกรมอุตุฯ ไต้หวัน)
ดร. หลินเต๋อเอินกล่าวว่า ฤดูหนาวปีนี้ได้ทำลายสถิติ 3 รายการ ได้แก่ หนาวเร็ว หนาวนาน และหนาวจัด หากดูจากข้อมูลสถิติสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา คลื่นอากาศเย็นจากจีนแผ่นดินใหญ่ครั้งแรกของฤดูหนาวนี้ ซึ่งหมายถึงคลื่นลมหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 14 องศา เกิดขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคลื่นลมหนาวมาถึงเร็วขึ้น
ฤดูหนาวปีนี้ได้ทำลายสถิติ 3 รายการ ได้แก่ หนาวเร็ว หนาวนาน และหนาวจัด (ภาพจาก udn.com)
จากการวิเคราะห์สถิติระหว่างปี 2559 ถึง 2568 โดยนับจำนวนวันที่อุณหภูมิต่ำสุดในแต่ละเดือนที่สถานีตรวจวัดอากาศไทเปในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ รวมถึงเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว จำนวนวันที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 14°c ในฤดูหนาวปีนี้สูงถึง 38 วัน ซึ่งมากกว่าปีอื่น ๆ อย่างชัดเจน กล่าวได้ว่านี่คือปีที่หนาวนานที่สุดในรอบ 10 ปี จากสถิติของกรมอุตุนิยมวิทยา ฤดูหนาวปีนี้มีคลื่นลมหนาวจากจีนแผ่นดินใหญ่เคลื่อนตัวลงใต้ปกคลุมเกาะไต้หวันต่ำกว่า 14°c บ่อยสุดถึง 13 ครั้ง ทำให้รู้สึกหนาวเย็นอย่างชัดเจน นับเป็นฤดูหนาวที่หนาวที่สุดในรอบ 14 ปี กล่าวได้ว่า ฤดูหนาวปีนี้โคตรหนาวเลยทีเดียว
จำนวนวันที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 14°c ในฤดูหนาวปีนี้สูงถึง 38 วัน ซึ่งมากกว่าปีอื่น ๆ อย่างชัดเจน (ภาพจาก udn.com)
ดร. หลินเต๋อเอินกล่าวเพิ่มเติมว่า ปรากฏการณ์ลานีญาส่งผลกระทบต่อไต้หวันในสองประการ ประการแรกคือ มีพายุไต้ฝุ่นก่อตัวในฤดูใบไม้ร่วงจำนวนมาก โดยฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา มีพายุไต้ฝุ่นก่อตัวถึง 15 ลูกคิดเป็น 57.7% ของพายุไต้ฝุ่นทั้งหมดที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งตะวันออกของไต้หวันหรือนอกชายฝั่งตะวันออกของฟิลิปปินส์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงผิดปกติในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ปรากฏการณ์ลานีญายังนำมาซึ่งฤดูหนาวที่หนาวหนาวเหน็บ นอกจากนี้ ผลจากปรากฏการณ์ลานีญา มักจะมีกระแสลมไหลวนแบบไซโคลนอยู่บริเวณนอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของไต้หวันหรือนอกชายฝั่งตะวันออกของฟิลิปปินส์ ไม่เพียงแต่เพิ่มความแรงของลมทางทิศเหนือเท่านั้น แต่ยังช่วยนำลมหนาวเย็นจากทางเหนือลงมามากขึ้น ส่งผลให้อากาศหนาวยาวนานกว่าปกติ ดังนั้น หน้าหนาวปีนี้ ยังไม่หมด แนะนำว่าเสื้อกันหนาวอย่าเพิ่งเก็บ
หน้าหนาวปีนี้ ยังไม่หมด แนะนำว่าอย่าเพิ่งเก็บเสื้อกันหนาว
3. รู้ไหม? ปี 2567 ไต้หวันมีฟ้าผ่ากว่า 15 ล้านครั้ง หนานโถวครองแชมป์ 3.8 แสนครั้ง เจียอี้แชมป์ฟ้าผ่าหนาแน่น ทำคน 2 เมืองนี้ไม่ค่อยกล้าสาบาน
WeatherRisk Explore Inc. บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงด้านลมฟ้าอากาศของไต้หวันเผยแพร่ รายงานฟ้าผ่าประจำปี 2567 ของไต้หวันระบุว่า จำนวนฟ้าแลบฟ้าผ่าในไต้หวันและพื้นที่ทะเลโดยรอบในปี 2567 ที่ผ่านมา มีมากกว่า 15 ล้านครั้ง ทำลายสถิติในรอบ 6 ปี เฉพาะในเกาะไต้หวันก็เกิดขึ้นเกิน 2.43 ล้านครั้ง โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนของเดือนเมษายนและพฤษภาคม และพายุฝนฟ้าคะนองในช่วงบ่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน ครองสัดส่วนร้อยละ 80 ของฟ้าผ่าตลอดทั้งปี โดยเมืองหนานโถวครองแชมป์ด้วยจำนวนฟ้าผ่า 380,000 ครั้ง แต่ถ้าดูจากความหนาแน่นของฟ้าผ่า โดยเทียบจากขนาดพื้นที่แล้ว เมืองเจียอี้ มีความหนาแน่นมากที่สุด มีฟ้าผ่าแทบจะทุกวัน ทั้งสองเมืองจัดเป็นพื้นที่ที่ ธอร์ เทพแห่งสายฟ้าโปรดปรานมากสุด จนมีการพูดกันว่า คนสองเมืองนี้ โดยเฉพาะพวกนักการเมือง ไม่ค่อยกล้าสาบานกันมั่ว เพราะในคำสาบานภาษาจีน ส่วนใหญ่จะลงท้ายด้วยคำว่า หากไม่จริงหรือไม่ทำตาม ขอให้ถูกฟ้าผ่าตาย
ฟ้าผ่ายอดตึกไทเป 101 ภาพถ่ายเมื่อ 24 มิ.ย. 2565 (ภาพจาก FB : Ming-Dean Cheng อดีต อธิบดีกรมอุตุฯ ไต้หวัน)
WeatherRisk Explore Inc. กล่าวในรายงานว่า ฟ้าผ่าในไต้หวันส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณเขตพื้นที่ติดต่อกันระหว่างพื้นที่ราบและภูเขาในภาคตะวันตก ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างมากกับการไหลเวียนของอากาศร้อนในช่วงบ่าย หากดูจากจำนวนครั้งของฟ้าแลบฟ้าผ่า 3 อันดับแรกคือ เมืองหนานโถว 380,000 ครั้ง นครไถหนาน 320,000 ครั้ง และเมืองเจียอี้ 250,000 ครั้ง แต่ถ้าดูจากความหนาแน่นของฟ้าแลบฟ้าผ่า โดยเทียบจากขนาดพื้นที่แล้ว เมืองเจียอี้ มีความหนาแน่นมากที่สุด คนในเมืองนี้ มีประสบการณ์สัมผัสกับฟ้าผ่าแทบทุกวัน ตามมาด้วยเมืองหยุนหลินและกรุงไทเป ซึ่งมีฟ้าผ่าบ่อยช่วงบ่ายมากที่สุดอันดับเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
สายฟ้าสีม่วงผ่าลงกลางบ้านเรือนของชาวบ้านในเมืองหนานโถว จนเกิดไฟไหม้ (ภาพจาก udn.com)
WeatherRisk Explore Inc. ชี้ว่า เมืองที่มีจำนวนฟ้าแลบฟ้าผ่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้คือกรุงไทเป เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของทุกปีที่ผ่านมา ในขณะที่เมืองที่ลดลงมากที่สุดคือซินจู๋ ลดลงเกือบ 65% จากค่าเฉลี่ยปกติ สาเหตุหลักคือซินจู๋อยู่ใกล้ทะเล ทำให้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการไหลเวียนอากาศร้อนในช่วงบ่าย
ฟ้าผ่าในตัวเมืองจางฮั่วเมื่อปี 2567
เมื่อปรากฏฟ้าแลบฟ้าผ่า ซึ่งค่อนข้างอันตราย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำสำหรับการป้องกันอันตรายจากการถูกฟ้าผ่าดังนี้ :
1. หลีกเลี่ยงอยู่กลางแจ้ง ในขณะฝนตกฟ้าคะนอง หากจำเป็นควรนั่งยอง ย่อตัวให้ต่ำและชิดกับพื้นให้มากที่สุด แต่ไม่ควรนอนราบกับพื้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ต้นไม้สูง เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา เพราะฟ้าผ่าลงที่สูง
2. ห้ามกางร่มหรือถือวัตถุที่ทำมาจากโลหะ รีบหลบเข้าไปอยู่ในอาคารที่ติดตั้งสายล่อฟ้า จะช่วยป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าได้
3. เมื่ออยูในอาคาร หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เพราะกระแสไฟจากฟ้าผ่าอาจไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสื่อไฟฟ้าต่างๆ ทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ เช่น เล่นมือถือ เปิดคอมพิวเตอร์ เล่นอินเทอร์เน็ต ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรืออยู่ใกล้ประตู หน้าต่างที่มีส่วนประกอบเป็นโลหะในขณะฟ้าร้องฟ้าผ่า
เจียอี้เป็นอีกเมืองที่มีปรากฏการณ์ฟ้าแลบฟ้าผ่าหนาแน่นที่สุดในไต้หวัน ภาพถ่ายจากบนภูเขาอาลีซานที่เจียอี้ (ภาพจาก https://www.facebook.com/alishan.fans)
4. กล้วยหอมแพงเป็นประวัติการณ์ ล่อใจขโมยแอบตัดกล้วยยามวิกาล ชาวสวนต้องขอกำลังตำรวจคุ้มกันกล้วย
กล้วยหอมแพง ขโมยชุกชุม ชาวสวนกล้วยหวาดผวา ขอให้ตำรวจช่วยลาดตระเวนอารักขากล้วยยามค่ำคืน (ภาพจาก OwlNews)
เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวชาวสวนกล้วยหอมในเขตฉีซาน นครเกาสง รวมตัวกันร้องขอให้ทางการช่วยส่งกำลังตำรวจมาช่วยอารักขากล้วยหอมที่กำลังออกผล เพราะช่วงนี้ราคากล้วยหอมที่ตลาดค้าส่งผักผลไม้ไทเปทะยานขึ้นถึง กิโลกรัมละ 166 เหรียญไต้หวัน สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ล่อใจขโมยให้ย่องมาตัดกล้วยหอมในยามวิกาลแล้วขนไปขาย บางรายเจอขโมยตัดไปเกือบหมดสวน ความเสียหายคิดเป็นมูลค่าร่วมห้าแสนเหรียญไต้หวัน ชาวสวนกล้วยหอมต่างหวาดผวาไปตามๆกัน หลายรายยกครอบครัวไปนอนเฝ้าและออกลาดตระเวนในสวนกล้วยหอมกันทั้งวันทั้งคืนแทบไม่ได้หลับได้นอน จึงรวมตัวกันขอให้ทางการช่วยเหลือ
กล้วยหอมราคาแพงจนแผงขายผลไม้เปลี่ยนกลยุทธ์การขายมาเป็นแบ่งขายเป็นลูก ราคาลูกละ 20-25 เหรียญไต้หวัน (ภาพจาก LTN)
สืบเนื่องจากเมื่อปีที่แล้วพายุไต้ฝุ่นหลายลูกพัดกระหน่ำพื้นที่เพาะปลูกกล้วยหอมทางภาคกลางและภาคใต้ โดยเฉพาะที่เมืองผิงตงและหนานโถว ทำให้ต้นกล้วยล้มระเนระนาดและเน่าตายไปเป็นจำนวนมาก ชาวสวนกล้วยหอมต้องปลูกต้นกล้วยใหม่ ซึ่งปกติต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 เดือนจึงจะตกปลีและผลกล้วยแก่พอที่จะตัดจำหน่ายได้ แต่เนื่องจากฤดูหนาวที่ผ่านมาไต้หวันเผชิญกับสภาพอากาศที่หนาวจัดต่อเนื่องกันยาวนานกว่าทุกปี ส่งผลให้กล้วยหอมเติบโตและออกปลีช้ากว่าปกติ เดิมคาดการณ์ว่าช่วงเทศกาลหยวนเซียวจะเก็บเกี่ยวผลผลิตป้อนตลาดได้ แต่จากสาเหตุดังกล่าวทำให้ต้องเลื่อนเวลาเก็บเกี่ยวออกไปเป็นช่วงหลังเดือนเมษายนหรืออาจช้ากว่านั้น
ปีนี้อากาศไต้หวันหนาวกว่าทุกปีส่งผลให้กล้วยหอมออกปลีและออกผลช้ากว่าปกติทำให้ผลผลิตออกสู่ท้องตลาดล่าช้าราคาจึงแพงขึ้น (ภาพจาก house-food.com.tw)
กองการเกษตร เมืองหยุนหลิน เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเป็นต้นมา ปริมาณผลผลิตกล้วยหอมลดลงประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณผลผลิตเฉลี่ยของทุกปี และต่อมาลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของทุกปี ส่งผลให้ราคากล้วยหอมทะยานขึ้นจากกิโลกรัมละ 50-60 เหรียญไต้หวันในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วและพุ่งขึ้นสูงกว่ากิโลกรัมละ 100 เหรียญไต้หวันในช่วงต้นปีและขณะนี้ตกกิโลกรัมละ 166 เหรียญไต้หวัน จากการที่ราคากล้วยหอมแพงส่งผลให้บรรดาหัวขโมยออกปฏิบัติการแอบตัดกล้วยหอมในยามวิกาล ทำเอาชาวสวนกล้วยหอมหวาดผวาไปตามๆกัน สุดท้ายต้องขอความช่วยเหลือจากทางการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยอารักขากล้วยหอมด้วยการเพิ่มการลาดตระเวนและสอดส่อง ทางการตำรวจยังได้ใช้วิธีประชาสัมพันธ์ให้พ่อค้าคนกลางอย่ารับซื้อกล้วยที่ไม่ระบุแหล่งที่มาหรือหากพบเบาะแสต้องสงสัยให้รีบแจ้งความทันที นอกจากนี้ยังแนะให้ชาวสวนกล้วยหอมติดตั้งไฟส่องสว่างและกล้องวงจรปิดรอบสวน และจัดตั้งทีมอาสาสมัครอารักขากล้วยออกลาดตระเวนสวนกล้วยร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่
ปัจจุบันแหล่งเพาะปลูกกล้วยหอมที่สำคัญและใหญ่ที่สุดอยู่ทางภาคใต้ได้แก่ ผิงตง เกาสงและเจียอี้ (ภาพจาก Taiwan Banana Research Institute)
จากข้อมูลในปี 2566 ไต้หวันมีพื้นที่เพาะปลูกกล้วยหอม 14,866.14 เฮกตาร์หรือ 92,913.375 ไร่ มีผลผลิตออกสู่ท้องตลาดตลอดทั้งปี แต่ผลผลิตที่มีคุณภาพที่สุดจะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายน จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรไต้หวันระบุว่า กล้วยหอมซึ่งเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบเชิงเขาหิมาลัยในประเทศอินเดีย มีการนำหน่อพันธุ์กล้วยหอมจากมณฑลฮกเกี้ยนของจีนเข้ามาปลูกในไต้หวันตั้งแต่ยุคราชวงศ์ชิง รัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงหรือเมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว แต่ในขณะนั้นมีพื้นที่เพาะปลูกไม่มากนัก
บรรยากาศการซื้อขายกล้วยหอมที่ตลาดกล้วยไทจงในยุคทศวรรษ 1920 หรือเมื่อประมาณ 105 ปีที่แล้ว (ภาพจาก agriharvest.tw)
ภาพการลำเลียงกล้วยหอมจากไต้หวันไปยังญี่ปุ่นในยุคที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น (ภาพจาก agriharvest.tw)
จนกระทั่งยุคญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน (พ.ศ. 2438-2488 หรือ ค.ศ. 1895-1945) เนื่องจากคนญี่ปุ่นนิยมรับประทานกล้วยหอม จึงมีการส่งเสริมให้ไต้หวันปลูกกล้วยหอมมากขึ้น โดยในไต้หวันสามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ แต่พื้นที่ทางภาคกลางและภาคใต้จะให้ผลผลิตมากและคุณภาพดีกว่าที่อื่น โดยเฉพาะที่เขตอู้ฟง นครไทจง สามารถปลูกกล้วยหอมคุณภาพเยี่ยมที่สุดและถูกส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ในยุคนั้นกล้วยหอมจากไทจงครองสัดส่วน 90% ของผลผลิตทั่วเกาะไต้หวันและส่วนใหญ่ส่งออกไปยังญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันแหล่งเพาะปลูกกล้วยหอมที่สำคัญและใหญ่ที่สุดอยู่ทางภาคใต้ได้แก่ ผิงตง เกาสงและเจียอี้
-
1. สื่อนอกรายงานฟ้าผ่าลงยอดตึกไทเป 101 แต่ปลอดภัยไร้ปัญหาใด ๆ เพราะทั้งตึกติดตั้งสายล่อฟ้า 120 จุด ชั้นที่ 90 ลงมา หุ้มไว้ด้วยระบบป้องกัน ระบายกระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าลงดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อวันพุธที่ 5 มีนาคม 2568 ตรงกับวันจิงเจ๋อ (驚蟄) 1 ใน 24 ฤดูกาล ซึ่งเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศตามภูมิปัญญาโบราณของจีน เป็นช่วงฤดูกาลที่มีฟ้าผ่าเสียงดัง เรียกให้บรรดาสัตว์และแมลงตื่นจากการจำศีล เข้าสู่ฤดูเพาะปลูก นับจากนี้ไป อากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้น แม้ว่าปัจจุบัน สภาพแวดล้อมของโลกแปรเปลี่ยนไป ฤดูหนาวอาจยื้อยาวออกไป แต่โดยรวมแล้ว การแบ่งช่วงเวลาของปีออกเป็น 24 ช่วงหรือ 24 ฤดูกาลของจีน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาโบราณนับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้ว ก็ยังค่อนข้างแม่นยำ และถูกยึดถือเป็นปฏิทินหลักในการประกอบเกษตรกรรมมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อคืนวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมาถึงกับนอนไม่หลับ เพราะเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ฝนตกหนักและลูกเห็บตกส่งเสียงดังทั้งคืนจนไม่สามารถเข้านอนได้ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก (ภาพจาก udn.com)
โดยปกติ ในวันจิงเจ๋อหรือหลังจากนั้น จึงจะปรากฏฟ้าแลบฟ้าผ่า ซึ่งมากับพายุฝน แต่ปีนี้มาก่อน 2 วัน และมาพร้อมกับลูกเห็บขนาดใหญ่ ทำเอาคนที่อาศัยอยู่ในกรุงไทเป ซี่จื่อและเมืองจีหลง เมื่อคืนวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมาถึงกับนอนไม่หลับ เพราะเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ฝนตกหนักและลูกเห็บตกส่งเสียงดังทั้งคืนจนไม่สามารถเข้านอนได้ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก แรก ๆ ชาวบ้านนึกว่า บ้านตนถูกคนขว้างปาด้วยก้อนหิน บางคนเพ้อเจ้อโพสต์ในโซเชียลถามว่า จีนบุกหรือไง ที่แท้เป็นพายุฝนคะนองปนฟ้าผ่าฟ้าแลบ ลูกเห็บขนาดใหญ่ตกใส่หน้าต่างและหลังคาบ้านส่งเสียงดังไปทั่ว ขนาดสื่อนอกอย่าง ABC News สื่อทีวีอเมริกา ยังรายงานภาพฟ้าผ่าลงยอดตึกไทเป 101 แต่ปลอดภัยไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะทั้งตึกติดตั้งสายล่อฟ้า 120 จุด และตั้งแต่ชั้นที่ 90 ลงมา ยังหุ้มไว้ด้วยระบบป้องกันความปลอดภัย สามารถระบายกระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าลงดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตึกไทเป 101 ติดตั้งสายล่อฟ้า 120 จุด และตั้งแต่ชั้นที่ 90 ลงมา ยังหุ้มไว้ด้วยระบบป้องกันความปลอดภัย สามารถระบายกระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าลงดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ภาพจาก 204- FB : Ming-Dean Cheng อดีต อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา)
WeatherRisk Explore Inc. บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงด้านลมฟ้าอากาศของไต้หวันกล่าวว่า ปรากฏการณ์สายฟ้าแลบและฝนตกก่อนวันจิงเจ๋อข้างต้น แสดงว่าหน้าหนาวกำลังจะจากไปและกำลังจะเข้าสู่ฤดูที่มีฝนตก เป็นหน้าเพาะปลูกกันแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังต้องดูแลสุขภาพต่อไป เพราะยังคงมีลมหนาวจากจีนแผ่นดินใหญ่แผ่ลงมาปกคลุมไต้หวัน อย่างปลายสัปดาห์หน้า จะมีลมหนาวกำลังรุนแรงลูกใหม่มาเยือน จนกว่าจะผ่านพ้นเดือนเมษายนไปแล้ว ลมหนาวจึงค่อย ๆ หมดไปเข้าสู่หน้าร้อนต่อไป
คืนวันจันทร์ที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา ไทเปและจีหลงมีฝนฟ้าคะนอง เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าและลูกเห็บตก ส่งเสียงดังทั้งคืนจนไม่สามารถเข้านอนได้ ในภาพเป็นลูกเห็บที่ตกลงบนถนน (ภาพจาก cmmedia.com.tw)
2. หนุ่มไต้หวันรักชาติ บริจาคเงินให้ประเทศทุกเดือนติดต่อกัน 13 ปี!...รู้ไหม? ทำไมคนไต้หวันหย่อนใบเสร็จลงตู้รับบริจาคในร้านสะดวกซื้อ
นอกจากต้องเสียภาษีให้รัฐแล้ว มีใครเคยคิดอยากบริจาคเงินเข้าท้องพระคลังเพื่อให้รัฐนำไปใช้จ่ายบ้างหรือไม่? ท่านทราบไหมว่าในแต่ละปีมีคนไต้หวันจำนวนไม่น้อยบริจาคเงินเข้าคลังเพื่อสมทบกับรายรับประจำปีของรัฐบาล กระทรวงการคลังของไต้หวันเปิดเผยว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา มีคนบริจาคเงินเข้าคลัง 83 รายการ รวมเป็นเงิน 1,194,401 เหรียญไต้หวัน โดยรายการบริจาคที่มากที่สุดคือ 250,000 เหรียญไต้หวัน ในขณะที่ปี 2566 มีคนบริจาค 82 รายการ รวมเป็นเงิน 2,380,000 เหรียญไต้หวัน รายการบริจาคที่มากที่สุดคือ 1,000,000 เหรียญไต้หวัน และในปี 2563 เป็นปีที่มีคนบริจาคเงินเข้าคลังของรัฐมากที่สุดคือ 5,230,000 เหรียญไต้หวัน ที่น่าสนใจคือมีชายคนหนึ่งบริจาคเงินเข้าคลังทุกเดือนต่อเนื่องกันจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 13 ปีแล้ว แม้เงินบริจาคสะสมตลอด 13 ปี ยอดเงินบริจาคสะสมแม้จะไม่มากนักคือ 780,000 เหรียญไต้หวัน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความรักชาติของเขาที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง
กระทรวงการคลังไต้หวันเผย ปี 2567 มีคนบริจาคเงินเข้าคลัง 83 รายการ รวมเป็นเงิน 1,194,401 เหรียญไต้หวัน (ภาพจาก Chinatimes)
หลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อได้รับเงินบริจาคแล้วรัฐบาลเอาเงินไปใช้ทำอะไรบ้าง คำตอบคือ หากผู้บริจาคมีการระบุว่าจะบริจาคเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในด้านใดเป็นการเฉพาะ อาทิ เพื่อการศึกษา หรือสวัสดิการสังคม เป็นต้น ซึ่งก็จะนำส่งต่อให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป แต่หากไม่มีการระบุก็จะส่งเข้าคลังเพื่อสมทบเข้ากับรายรับประจำปีของรัฐบาล โดยข้อดีประการหนึ่งของการบริจาคเงินให้รัฐบาลคือสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ด้วย
องค์กรการกุศลที่ได้รับเงินบริจาคมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ได้แก่ องค์การสงเคราะห์เด็ก (ภาพจาก Chinatimes)
ในความเป็นจริงแล้ว มีคนไต้หวันจำนวนมากที่ใจบุญและชอบบริจาคเงินช่วยเหลือองค์กรการกุศล จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ ปีที่แล้วยอดเงินบริจาคให้แก่องค์กรการกุศลในไต้หวัน มีมูลค่ามากกว่า 6,000 ล้านเหรียญไต้หวัน โดยองค์กรการกุศลที่ได้รับเงินบริจาคมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ได้แก่ องค์กรสงเคราะห์เด็ก อันดับ 2 องค์กรสงเคราะห์ผู้พิการ อันดับ 3 องค์กรสงเคราะห์ผู้ประสบภัยพิบัติ อันดับ 4 องค์กรสงเคราะห์คนชรา อันดับ 5 องค์กรสงเคราะห์สุนัขและแมวจรจัด ตามลำดับ
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้การบริจาคเพื่อสุนัขและแมวจรจัดเพิ่มขึ้น ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 (ภาพจาก Chinatimes)
นอกจากนี้ยังมีการบริจาคให้แก่องค์กรการกุศลเพื่อศิลปวัฒนธรรม การกีฬา การศึกษาวิจัย สุขภาพจิต ความเสมอภาคทางเพศ การกลับคืนสู่สังคมหลังพ้นโทษของผู้ต้องขังและการอนุรักษ์สภาพแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งยอดเงินบริจาคจะลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ ที่น่าสนใจคือแม้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากผู้คนในสังคมเป็นอย่างมาก แต่องค์กรเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลับได้รับเงินบริจาคเงินน้อยที่สุด ในขณะที่การบริจาคเพื่อสุนัขและแมวจรจัดกลับเพิ่มขึ้น ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 แสดงให้เห็นว่าคนไต้หวันนอกจากมีจิตกุศลและมีความเมตตาต่อกลุ่มผู้เปราะบางแล้ว ยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์ด้วย
คนไต้หวันจำนวนไม่น้อยนิยมบริจาคใบเสร็จกำกับภาษีให้องค์กรการกุศลนำไปตรวจรางวัล ตามร้านสะดวกซื้อจะมีกล่องรับบริจาคตั้งไว้ทุกแห่ง เพื่อนำใบเสร็จไปตรวจรางวัล (ภาพจาก Chinatimes)
ผลการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขฯ พบว่า กว่า 80% ของคนไต้หวัน ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาเคยบริจาคเงิน บริจาคใบเสร็จกำกับภาษี ซื้อสินค้าที่ผลิตจากองค์กรการกุศลหรือแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้องค์กรการกุศล บริจาคสิ่งของ หรือร่วมกิจกรรมการกุศล และในช่วงไม่กี่ปีมานี้ยอดเงินบริจาคเพื่อการกุศลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยปี 2564 เพิ่มขึ้น 44% ปี 2565 เพิ่มขึ้น 50.6% และ 2567 เพิ่มขึ้น 53.4%
ปัจจุบัน รัฐบาลส่งเสริมให้คนไต้หวันหันมาใช้ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ รูปแบบการบริจาคใบเสร็จแปรเปลี่ยนไปเป็นสแกนบาร์โค้ดเลขบัญชีองค์กรการกุศล เมื่อถูกรางวัล เงินรางวัลจะโอนเข้าบัญชีอง์กรการกุศลโดยตรง (ภาพจาก Chinatimes)
3. เคยไปหรือยัง ย่านชิงผู่ จุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ ครองแชมป์ยอดจำนวนนักท่องเที่ยวมากสุดในเถาหยวน
นครเถาหยวน ไม่เพียงแต่เป็นเมืองอุตสาหกรรม แหล่งรวมโรงงานอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ เป็นเมืองที่ประชากรมีอายุเฉลี่ยน้อยสุด ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวด้วย จุดท่องเที่ยวในเถาหยวนมีมากมายหลายแห่ง แต่ที่กำลังมาแรงแซงโค้งและมีจำนวนคนไปเยือนมากที่สุดในช่วงหยุดยาวตรุษจีนหรือ 2 เดือนแรกของปี 2568 ด้วยตัวเลขร่วม 2 ล้านคน ได้แก่ ย่านชิงผู่ (青埔) ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่มีการจัดรูปที่ดินใหม่ กลายเป็นเมืองใหม่ของนครเถาหยวนไปแล้ว บนพื้นที่กว้างถึง 490 เฮกตาร์หรือ 3,062 ไร่ แบ่งออกเป็น 3 พื้นที่ ได้แก่ A17, สถานีรถไฟฟ้า A18 และศูนย์การกีฬาเถาหยวน A19 ตามชื่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่วิ่งจากไทเปผ่านสนามบินเถาหยวน ไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวนและเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟจงลี่ เรียกโดยรวมเป็นย่านศูนย์การค้าชิงผู่ ที่นับวันขยายเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ เต็มไปด้วยห้างใหญ่ ชอปปิงมอลล์ ร้านอาหารดัง ๆ การเดินทางสะดวก ไปด้วยรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูงหรือรถโดยสารประจำทางก็ได้ ภายในบริเวณมีที่เที่ยว ชอปปิงและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจมากมายหลายแห่ง
ย่านชิงผู่ (青埔) พื้นที่จัดรูปที่ดินใหม่ในเขตจงลี่ กลายเป็นเมืองใหม่ของนครเถาหยวนไปแล้ว (ภาพจาก LTN)
ย่านชิงผู่ บนพื้นที่กว้างถึง 490 เฮกตาร์หรือ 3,062 ไร่ แบ่งออกเป็น 3 พื้นที่ ได้แก่ A17, สถานีรถไฟฟ้า A18 และศูนย์การกีฬาเถาหยวน A19 ตามชื่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง
นอกจากชอปปิงมอลล์นับสิบแห่งแล้ว ยังมี Xpark พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและสวนสนุกขนาดใหญ่และสวยงามระดับโลก คล้ายกับโยโกฮาม่า ฮักเคจิมะ ซีพาราไดซ์ของญี่ปุ่น เดินจากสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน 8-9 นาที ภายในมีโซนฟอร์โมซา โซนปะการังทะเลลึก โซนผจญภัยในป่าดิบร้อนชื้น และโซนแมงกะพรุน มีพืชและสัตว์น้ำที่หาดูได้ยาก 420 ชนิด รวม 48,000 ชีวิต และจะได้เห็นสภาพท้องทะเลและก้นทะเลที่น่าพิศวง หากได้ไปชมแล้ว จะทำให้รู้จักโลกของเราใบนี้ดียิ่งขึ้น เป็นสถานที่น่าท่องเที่ยวแห่งใหม่
มีสวนสาธารณะและระบบนิเวศที่ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับอยู่อาศัย
มีชอปปิงมอลล์และศูนย์การค้าขนาดใหญ่มากมาย ในภาพเป็นกลอเรีย เอาท์เล็ท (Gloria Outlets) หนึ่งในสวรรค์ของนักชอปแบรนด์เนม อยู่ติดกับสถานีรถไฟความเร็วสูง (ภาพจาก FB : Gloria Outlets)
ใครที่ชอบซื้อของ ที่นี่จะมีห้างต่าง ๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ หรือห้างหลักตั้งอยู่ที่นี่มากมาย เช่น ร้านอิเกีย (IKEA) ตราสินค้าเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่งบ้านจากประเทศสวีเดน ร้านเฉวียนเหลียนหรือ PXMart ที่ใหญ่ที่สุด Shin Kong Cinemas มีโรงหนัง 5 โรง ร้านอาหารเครื่องดื่มหลายสิบร้าน และกลอเรีย เอาท์เล็ท (Gloria Outlets) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่อยู่ติดกับสถานีรถไฟความเร็วสูง ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสวรรค์ของนักชอปแบรนด์เนม และเป็นเอาท์เล็ทแห่งแรกที่มี PRADA OUTLET อีกด้วย ใครที่เป็นสายแบรนด์เนมไม่อยากบินไปชอปไกลถึงยุโรปไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะที่ Gloria Outlet ได้รวบรวมไฮเอนด์แบรนด์ดังจากทั่วทุกมุมโลกมากมาย
Shin Kong Cinemas โรงภาพยนต์ IMAX
Xpark พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและสวนสนุกขนาดใหญ่และสวยงามระดับโลก คล้ายกับโยโกฮาม่า ฮักเคจิมะ ซีพาราไดซ์ของญี่ปุ่น อยู่ติดกับโรงหนัง Shin Kong Cinemas เดินจากสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน 8-9 นาที (ภาพจาก Xpark)
การเดินทาง : นั่งรถไฟความเร็วสูง ลงสถานีเถาหยวน ถ้านั่งรถไฟฟ้าสายสนามบิน ลงสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน แต่ถ้านั่งรถโดยสารประจำทาง ลงสถานีรถไฟความเร็วสูง
-
1. อย่าเพิ่งเก็บเสื้อกันหนาว วันอังคารหน้าลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่มาเยือน อุณหภูมิลดฮวบกว่า 15°c
ช่วงนี้อากาศอบอุ่นถึงขั้นร้อนนิด ๆ อากาศดีเช่นนี้อย่าเพิ่งเก็บเสื้อกันหนาว วันอังคารที่ 4 มีนาคม มีลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่มาเยือน อากาศแปรปรวน ทำคนติดไข้หวัดใหญ่เต็มห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล เตียงผู้ป่วยไม่เพียงพอ ผู้ป่วยออกันเต็มไปหมด จนพยาบาลจำนวนหนึ่งรับงานหนักไม่ไหวต้องลาออก กลายเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่กำลังประสบปัญหาในขณะนี้
ช่วงวันหยุดอากาศอบอุ่น แต่วันอังคารหน้ามีลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่มาเยือน
2. ที่มาของวันรำลึกสันติภาพ 28 กุมภาพันธ์ ปีนี้คนทำงานในไต้หวันได้หยุดยาว 3 วัน
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์นี้เป็นวันครบรอบ 78 ปีของเหตุโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ ถือเป็นวันหยุดราชการ ทำให้ในปีนี้มีวันหยุดติดต่อกัน 3 วัน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้หยุดงาน 1 วันเพื่อนผู้ฟังที่ทำงานอยู่ในโรงงานหรือไซต์งานก่อสร้างในไต้หวันก็จะได้หยุดกันด้วย หากนายจ้างให้เข้าทำงานก็จะได้รับเงินค่าจ้างล่วงเวลาหรือโอทีให้ สำหรับผู้ผู้อนุบาลในครัวเรือนเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
ในวันสันติภาพจะมีการทำพิธีรำลึกเหตุโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ ที่อนุสาวรีย์สันติภาพในสวนสาธารณะสันติภาพ ข้างทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงไทเป (ภาพจาก https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=50625218)
ตามธรรมเนียมปฏิบัติในวันนี้หน่วยงานภาครัฐในหลายเมืองจะมีการจัดพิธีรำลึกเหตุโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ อย่างในกรุงไทเปจะจัดกิจกรรมรำลึกที่สวนสาธารณะสันติภาพ 28 กุมภาพันธ์
เมืองต่าง ๆ มีการจัดกิจกรรมรำลึกวันสันติภาพ ในภาพเป็นนายโหวโหย่วอี๋ ผู้ว่าการนิวไทเป เป็นประธานในพิธีจัดงานปีที่แล้ว
ทั้งนี้ เหตุการณ์โศกนาฏกรรม 28 ก.พ. เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1947 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งเพิ่งจะเข้ามารับการถ่ายโอนอำนาจบริหารไต้หวันจากรัฐบาลญี่ปุ่นที่แพ้สงครามโลก ชนวนเหตุเกิดจากแม่ค้าขายบุหรี่ผิดกฎหมายขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ทำให้เกิดการต่อสู้กันมีผู้เสียชีวิต 1 ราย นำไปสู่การลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจการปกครองรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งในหลายเมือง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,200 คน (สถิติของกองบัญชาการตำรวจไต้หวัน)
อนุสาวรีย์รำลึกเหตุโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ในสวนสาธารณะสันติภาพ ข้างทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงไทเป (ภาพจาก LTN)
3. รู้ไหม? ไต้หวันเป็นเกาะแห่งภูเขาสูง ยอดเขาที่มีความสูงกว่า 3,000 เมตร มีมากถึง 284 ลูก เสน่ห์ดึงดูดนักปีนเขาชาวต่างชาติ แรงงานไทยเคยพิชิตยอดเขาสูงสุดมาแล้ว
ไต้หวันเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขาสูง บนพื้นที่ 36,000 ตร. กม. พื้นที่ราบที่เหมาะการเพาะปลูกและอยู่อาศัยมีเพียง 9489.9 ตร. กม. หรือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น นอกนั้นหรือ 2 ใน 3 ของพื้นที่เป็นภูเขา ภูเขาในไต้หวันตั้งอยู่ใน 5 เทือกเขาที่ทอดยาวจากเหนือถึงใต้หรือจากตะวันออกมายังฝั่งตะวันตก ได้แก่เทือกเขากลาง ตามด้วยเทือกเขาเสวี่ยซาน เทือกเขาอวี้ซาน เทือกเขาอาลีซานและเทือกเขาชายฝั่ง ในจำนวนนี้ ภูเขาที่สูงมียอดเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000 เมตรขึ้นไปมีมาก 284 ลูก และยอดเขาสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ยอดเขาอวี้ซาน มีความสูง 3,952 เมตร จัดเป็นพื้นที่ที่มียอดเขาสูงหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่กว่าไต้หวัน 10 เท่า แต่มียอดเขาสูงกว่า 3,000 เมตรเพียง 10 กว่าแห่ง นิวซีแลนด์ที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าไต้หวัน 20 เท่าแต่มีเพียง 20 กว่าแห่ง
ไต้หวันเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขาสูง พื้นที่ราบที่เหมาะการเพาะปลูกและอยู่อาศัยมีเพียง 9489.9 ตร. กม. หรือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น (ภาพจาก https://zh.wikipedia.org/wiki/User:Tiouraren)
นี่เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ดึงดูดนักเดินเขาชาวต่างชาติเดินทางมาเพื่อพิชิตยอดเขาในไต้หวัน อีกประการหนึ่งไต้หวันเดินทางสะดวก ใช้เวลาเดินทางขึ้นเขาลงห้วยและไปยังชายทะเลได้ภายในครึ่งวัน แม้แต่แรงงานไทยที่มาทำงานในไต้หวันจำนวนหนึ่งก็หลงใหลในการเดินป่าปีนเขา ในจำนวนนี้มีรายหนึ่ง เคยพิชิตยอดเขาอวี้ซานและยอดเขาสูงในไต้หวันมาแล้วมากกว่า 30 ลูก
ยอดเขาอวี้ซาน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,952 เมตร สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าบูนัน (Bunan) และเผ่าโจว (Tsou) (ภาพจาก taiwan.net.tw)
การที่ไต้หวันมีภูเขาสูงมากมาย รัฐบาลมีการสำรวจและทำบัญชีรายชื่อยอดเขาสูงอย่างละเอียด โดยเฉพาะรายชื่อยอดเขาที่สูงกว่า 3,000 เมตรขึ้นไปซึ่งมีมากถึง 284 ลูก คัดเลือกยอดเขาที่สูงกว่า 3,000 เมตรและมีชื่ออยู่ในแผนที่ออกมา 100 ลูก เรียกว่าไป่เยว่ (百岳) หรือเขาสูง 100 ยอดในไต้หวัน กระจายอยู่ในเทือกเขากลาง 69 ลูก เทือกเขาเสวี่ยซาน 20 ลูก เทือกเขาอวี้ซาน 11 ลูก ส่วนเทือกเขาอาลีซานและเทือกเขาชายฝั่ง ไม่มียอดเขาสูงติดอันดับ 100 ยอดเขา การเดินป่าปีนเขาในไต้หวันมีกฎระเบียบและเงื่อนไขอย่างชัดเจนละเอียด ส่งผลให้การเดินป่าปีนเขา กลายเป็น 1 ในกิจกรรมยอดฮิตของชาวไต้หวันไปแล้ว
ไต้หวันมียอดเขาที่สูงกว่า 3,000 เมตรขึ้นไปมากถึง 284 ลูก (ภาพจาก LTN)
ยอดเขาอวี้ซาน ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ติดต่อกันระหว่าง 3 เมือง ได้แก่ตำบลอาลีซานในเมืองเจียอี้ ตำบลซินอี้ในเมืองหนานโถวและเขตเถาหยวนในนครเกาสง เพื่อที่จะอนุรักษ์ ดูแลและบริหารระบบนิเวศและธรรมชาติอันล้ำค่าของภูเขา ไต้หวันได้ก่อตั้งอุทยานแห่งชาติอวี้ซานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 ภายในเทือกเขาอวี้ซาน มียอดเขาที่สูงกว่า 3,000 เมตรและถูกจัดอยู่ใน 100 ยอดเขาถึง 11 ลูก รองจากเทือกเขากลางและเทือกเขาเสวี่ยซาน ยอดเขาสูงสุดในไต้หวันอยู่ในเทือกเขาอวี้ซาน เรียกชื่อทับศัพท์เป็นยอดเขาอวี้ซาน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,952 เมตร สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าบูนัน (Bunan) และเผ่าโจว (Tsou) และเป็นสัญลักษณ์หรือแลนด์มาร์คของไต้หวัน มีการกล่าวกันว่า ในชีวิตของคนไต้หวัน โดยเฉพาะผู้ชายไต้หวัน จะต้องทำ 3 สิ่งนี้ให้ได้ 1. ปั่นจักรยานรอบเกาะ 2. ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบสุริยันจันทราและ 3. ต้องพิชิตยอดเขาอวี้ซานให้ได้ จะเห็นได้ว่า การปีนยอดเขาอวี้ซานน่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ท่านใดสนใจอยากพิชิตยอดเขาอวี้ซาน ซึ่งต้องสมัครก่อน ดูรายละเอียดจากในเว็บสำนักงานบริหารอุทยานแห่งชาติอวี้ซาน (Yushan National Park) https://www.ysnp.gov.tw/En
อวี้ซานในช่วงหน้าหนาว อุณหภูมิ -10°c บนยอดเขาถูกหิมะปกคลุมขาวโพลน (ภาพจาก taiwan.net.tw)
ส่วนยอดเขาที่สูงเป็นอันดับที่ 2 ของไต้หวันคือเสวี่ยซาน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจากทัศนียภาพที่เป็นธารน้ำแข็งวงแหวน โดยในแนวเทือกเขาเดียวกันยังรวมถึงภูเขาต้าเสวี่ยซาน ซึ่งเป็นแหล่งชมนกที่ขึ้นชื่อและยังมีหุบเขาทาโรโกะที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นหุบเขาหินอ่อนสีขาว 1 ใน 2 แห่งของโลก (อีกแห่งหนึ่งอยู่ในประเทศอิตาลี) มีความลึกถึง 800 เมตร ถือเป็นเอกลักษณ์ที่มีความพิเศษเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
คุณณรงค์ฤทธิ์ แรงงานไทยจากปทุมธานี ทำงานอยู่ที่ไทจง เคยพิชิตยอดเขาสูงกว่า 3,000 เมตรในไต้หวันมาแล้วมากกว่า 30 ลูก ในภาพถ่ายบนยอดเขาอวี้ซาน (ภาพจาก คุณณรงค์ฤทธิ์)
คนงานไทยที่ทำงานอยู่ในไต้หวัน มีจำนวนหนึ่งที่ชื่นชอบเดินป่าปีนเขา ในจำนวนนี้มีคนหนึ่ง นายณรงค์ฤทธิ์ แซ่ย่าง หรือที่คนไต้หวันรู้จักในนามอาลี่ เดินทางมาจากจังหวัดปทุมธานี มาทำงานในโรงงานที่นครไทจงเป็นเวลากว่า 8 ปีที่แล้ว ปัจจุบันได้รับการยกรับเป็นแรงงานกึ่งฝีมือ คุณณรงค์ฤทธิ์ชื่นชอบเดินป่าปีนเขาเป็นอย่างมาก เมื่อว่างเว้นจากหน้าที่การงานจะไปปีนเขา นอกจากจะเคยพิชิตภูเขาอวี้ซานแล้ว เขายังมีประสบการณ์ปีนยอดเขาที่มีความสูงกว่า 3,000 เมตรของไต้หวันมากกว่า 30 ลูก ทำไมคุณณรงค์ฤทธิ์ถึงรักการปีนเขา มันมีเสน่ห์ตรงไหน และการปีนเขาต้องระวังในเรื่องอะไร เคยให้สัมภาษณ์รายการบันทึกชีวิตในไต้หวัน อ่านรายละเอียดได้ที่ : https://th.rti.org.tw/radio/programMessageView/programId/1305/id/109927 หรือฟังรายการออนไลน์ได้ที่ : https://th.rti.org.tw/radio/programMessagePlayer/programId/1305/id/109927
คุณณรงค์ฤทธิ์ แรงงานไทยผู้ชื่นชอบเดินป่าปีนเขา ยามว่างเว้นจากหน้าที่การงานจะไปปีนเขา นอกจากจะเคยพิชิตภูเขาอวี้ซานแล้ว ยังมีประสบการณ์ปีนยอดเขาที่มีความสูงกว่า 3,000 เมตรของไต้หวันมากกว่า 30 ลูก (ภาพจาก คุณณรงค์ฤทธิ์)
4 มีนาคมนี้เป็นต้นไป ไทเปเปลี่ยนอัตราค่าจอดรถจักรยานยนต์ใหม่จากเดิมคิดเป็นรายครั้งเปลี่ยนเป็นรายชั่วโมง สูงสุดวันละ 50 เหรียญไต้หวัน
แม้ระบบขนส่งมวลชนของไต้หวัน อาทิ รถไฟฟ้า รถไฟธรรมดา รถไฟความเร็วสูงหรือรถโดยสารสาธารณะ จัดว่าครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้ชาวไต้หวันสามารถเดินทางสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม ในเขตชนบทหรือเมืองรองทางภาคกลาง ภาคใต้และภาคตะวันออก ระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้ายังไปไม่ถึง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงนิยมใช้ยานพาหนะส่วนบุคคล โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ เนื่องจากราคาไม่แพงและสะดวกสบาย เข้าถึงตรอกซอกซอยเล็กๆได้ อีกทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่จอดรถยากและค่าจอดรถที่คิดเป็นรายครั้ง ครั้งละประมาณ 20 เหรียญไต้หวัน เหมือนรถยนต์ทั่วไปซึ่งต้องจอดในที่จอดรถที่กำหนด ด้วยเหตุนี้เองทำให้แม้แต่ในเขตเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ จักรยานยนต์ยังคงได้รับความนิยมจากผู้คนที่เบื่อหน่ายกับเรื่องหาที่จอดรถยาก
คนไต้หวันนิยมขับขี่มอเตอร์ไซค์ ในภาพเป็นฝูงมอเตอร์ไซค์ที่กำลังลงจากสะพานไทเป ซึ่งมาจากเขตซานฉงในนครนิวไทเป (ภาพจาก carstuff.com.tw)
ที่ผ่านมาอัตราค่าจอดรถจักรยานยนต์ในที่จอดรถของรัฐหรือของเอกชนไม่ถือว่าแพง เพราะคิดเป็นรายครั้งจะจอดกี่ชั่วโมงก็ได้ แต่ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าจอดรถจักรยานยนต์แล้ว โดยช่วงแรกจะเริ่มจากเมืองหลวงคือกรุงไทเปก่อน
3 มีนาคมนี้เป็นต้นไป ไทเปเปลี่ยนอัตราค่าจอดรถจักรยานยนต์ใหม่จากเดิมคิดเป็นรายครั้งเปลี่ยนเป็นรายชั่วโมง สูงสุดวันละ 50 เหรียญไต้หวัน (ภาพจากสำนักงานบริหารที่จอดรถ กรุงไทเป)
กองคมนาคม กรุงไทเป ประกาศว่า เพื่อป้องกันผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์จอดรถไว้หลายชั่วโมงหรือข้ามวันข้ามคืน ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคมนี้เป็นต้นไป จะมีการเปลี่ยนวิธีการคิดคำนวณและปรับอัตราค่าจอดรถใหม่ จากเดิมคิดเป็นรายครั้ง ครั้งละ 20 เหรียญไต้หวัน อนุญาตให้จอดกี่ชั่วโมงก็ได้ เปลี่ยนเป็นคิดค่าจอดรถในชั่วโมงแรก 10 เหรียญไต้หวัน และชั่วโมงถัดไปเพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 5 เหรียญไต้หวัน สูงสุดไม่เกิน 50 เหรียญไต้หวันต่อวัน โดยขั้นตอนแรกจะเริ่มใช้อัตราค่าจอดรถใหม่ในย่านที่มีผู้คนเนืองแน่น อย่างบริเวณรอบสถานีรถไฟไทเป
3 มีนาคมนี้เป็นต้นไป ไทเปเปลี่ยนอัตราค่าจอดรถจักรยานยนต์ใหม่จากเดิมคิดเป็นรายครั้งเปลี่ยนเป็นรายชั่วโมง สูงสุดวันละ 50 เหรียญไต้หวัน (ภาพจาก CTWANT)
ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2567 ไต้หวันมีรถจักรยานยนต์ 14.654 ล้านคัน ในจำนวนนี้เป็นบิ๊กไบค์หรือจักรยานยนต์ที่มีขนาดความจุ 250~550 ซีซี 268,000 คัน ครองสัดส่วน 1.82% ซึ่งเพิ่มจาก ปีที่แล้ว 143 เท่า
-
1. เตือนภาคเหนือเตรียมรับมืออากาศหนาวแฉะ ลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่แผ่ลงมาถึงค่ำนี้ วันอาทิตย์หนาวสุด วันอังคารหน้าอากาศอบอุ่นขึ้น
กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า มวลอากาศเย็นกำลังแรงระลอกใหม่ แผ่ลงมาปกคลุมเกาะไต้หวันค่ำวันเสาร์นี้ (22 ก.พ.) ภาคเหนือและภาคตะวันออกได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากอากาศหนาวแล้ว ยังมาพร้อมกับฝนตก ช่วงที่อุณหภูมิต่ำสุดคือคืนนี้ถึงวันจันทร์ โดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ. วันอังคารหน้าลมหนาวอ่อนกำลังลง อากาศอบอุ่นขึ้น
ส่วนภาคกลางและใต้ อากาศเย็นสบายและไม่มีฝนตก นอกจากนี้ ช่วงวันหยุดเนื่องในวันสันติภาพศุกร์ที่ 28 ก.พ. อากาศอบอุ่น
2. เคยไปหรือยัง? ชวนไปสัมผัสวิถีชีวิตแบบเนิบช้าที่อี๋หลาน เมืองรองธรรมชาติแสนสวย มีที่ราบ แม่น้ำ ทะเลและขุนเขา
หลายคนคงเคยไปเที่ยวอี๋หลาน หรืออย่างน้อยคงเคยได้ยินชื่อมาแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสไปเที่ยว หากท่านว่างเว้นจากหน้าที่การงานในโรงงาน แม้เพียงวันเดียว อยากไปเที่ยวหรือพักผ่อน แต่ไม่รู้ว่าไปไหนดี? แนะนำว่า วางแผนไปเที่ยวเมืองอี๋หลานเถิด ไปง่าย เที่ยวสะดวก ที่สำคัญจะนำพาท่านเพลิดเพลินและมีความสุขไปกับธรรมชาติที่แปลกใหม่จากเมืองอื่น ๆ เพราะที่นี่ จะมีแต่ไร่นาสีเขียว แม่น้ำและธรรมชาติ ผู้คนใช้ชีวิตอย่างไม่เร่งรีบหรือที่เรียกกันว่าสโลว์ไลฟ์ ต่างจากในเมืองอื่น ๆ ที่เต็มไปด้วยโรงงานและการหมกมุ่นกับการทำงาน
น้ำพุร้อนในสวนสาธารณะทังเหว่ยโกว (湯圍溝溫泉公園) ในตำบลเจียวซี ค่าบริการคนละ 80 เหรียญโดยไม่จำกัดเวลา (ภาพจาก taiwan.net.tw)
ก่อนอื่นแนะนำอี๋หลานตั้งอยู่ที่ใด แล้วจะไปกันอย่างไร? อี๋หลานเป็นเมืองทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะไต้หวัน ฝั่งตะวันออกติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันตกมีเขตแดนติดกับนิวไทเป เถาหยวน ซินจู๋ ไทจง ทิศใต้ติดฮัวเหลียน โดยมีภูเขากั้นไว้ ทำให้การเดินทางในอดีตค่อนข้างลำบาก ขับรถต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ปัจจุบัน มีการตัดทางด่วนเจาะอุโมงค์ผ่านภูเขาเสวี่ยซาน ทำให้การเดินทางสะดวก จากไทเปนั่งรถบัสโดยสารประมาณ 30-40 นาทีก็ถึง ดังนั้นในวันหยุดจะมีคนในเมืองอื่น ๆ ไปเที่ยวกันค่อนข้างเยอะ จนทำให้รถติดยาว หากไปเที่ยวแนะนำโดยสารรถไฟจะสะดวกกว่า รถไม่ติด แถมได้ชมทิวทัศน์สวยงามของภูเขาและมหาสมุทรแปซิฟิก
น้ำพุร้อนในสวนสาธารณะทังเหว่ยโกว (湯圍溝溫泉公園) ในตำบลเจียวซี ค่าบริการคนละ 80 เหรียญโดยไม่จำกัดเวลา (ภาพจาก myplus.com.tw)
อี๋หลานเป็นเมืองที่ด้านตะวันออกเป็นมหาสมุทรแปซิฟิก อีก 3 ด้าน ได้แก่ทิศเหนือ ตะวันตกและทิศใต้ ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขา ทั้งภูเขาไท่ผิงซานและภูเขาหลีซานเป็นต้น ในตัวเมืองมีที่ราบหลานหยางอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุและมีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย เหมาะแก่การเพาะปลูก จัดเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไต้หวันเลยทีเดียว ขนาดพื้นที่ทั้งหมด 2,144 ตร. กิโลเมตร กว้างเป็นอันดับ 8 ของไต้หวัน มี 1 เทศบาลและ 11 ตำบล ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 มีประชากร 449,232 คน ถูกจัดอยู่อันดับ 15 ของไต้หวัน เนื่องจากมีภูเขาโอบล้อมไว้ 3 ด้าน อีกด้านหนึ่งหันไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก ดังนั้น จึงมีฝนตกเป็นประจำตลอดปี แต่ฝนที่นี่ มาไหวไปไหว หลังฝนตก อากาศเย็นสบายและสดชื่น ประกอบกับไม่ค่อยมีโรงงาน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เพาะปลูกและสถานที่ท่องเที่ยว อากาศในเมืองนี้ จึงสดชื่นไม่มีฝุ่นละอองหรือ PM2.5 ในไต้หวันมีคำเรียกที่แสดงลักษณะทางภูมิอากาศอยู่คำหนึ่งว่า 竹風蘭雨อ่านว่า จู๋ฟงหลานอวี่ แปลว่าลมซินจู๋ ฝนอี๋หลาน
ตำบลเจียวซี ในอี๋หลาน อู่ข้าวอู่น้ำของไต้หวัน (ภาพจาก jiaosi.e-land.gov.tw)
จุดท่องเที่ยวในอีหลานมีมากมาย ใครที่ชอบดูความสวยและความน่าทึ่งของโขดหินดินทะเล หรือใครที่ชอบเดินเทรล สำรวจป่า ในอี๋หลานมีป่าที่เงียบสงบที่สุดในโลก ได้ยินเพียงเสียงธรรมชาติอย่างเดียว แต่การไปเที่ยวยังป่า โอกาสหน้าค่อยแนะนำ เพราะอาจไปยากกันสักหน่อย คงต้องมีรถนำเที่ยว หากเราจะไปกันเอง โดยนั่งรถไฟแบบง่าย ๆ เริ่มจากไทเปไปลงสถานีเจียวซี (礁溪鄉) ซึ่งเป็น 1 ในตำบลของเมืองอี๋หลาน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถ 160-190 เหรียญ ขึ้นอยู่กับรถไฟขบวนอะไร? ลงที่สถานีเจียวซี เดินไปในตัวเมือง จะมีร้านอาหาร ร้านขายขนมที่เป็นเอกลักษณ์ของอี๋หลานเต็ม 2 ข้างทาง อย่าง คุกกี้หรือบิสกิตลิ้นวัว ที่มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนกับลิ้นวัว เค้กโรลเผือก โรตีต้นหอมหรือชงโหยวปิ่งและส้มจี๊ดเชื่อม เพราะที่เจียวซีเป็นแหล่งปลูกส้มจี๊ด เปลือกส้มจี๊ดมีรสเปรี้ยวนำและรสหวานตามธรรมชาติ มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารและบรรเทาอาการเจ็บคอ รวมถึงเป็นของว่างและเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวไต้หวันอีกด้วย
จากไทเปไปลงสถานีเจียวซี (礁溪鄉) ซึ่งเป็น 1 ในตำบลของเมืองอี๋หลาน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถ 160-190 เหรียญ ขึ้นอยู่กับรถไฟขบวนอะไร? ในภาพเป็นสถานีเจียวซี (ภาพจาก Wtor2805 commons.wikimedia.orgwindex.phpcurid=87368342)
นอกจากอาหารแล้ว ที่ขึ้นชื่อลือชาในตำบลเจียวซีก็คือ น้ำพุ ซึ่งมีทั้งเย็นและร้อน ชาวไต้หวันจำนวนมากนิยมไปพักผ่อนหย่อนใจโดยอาบหรือแช่ออนเซ็น ซึ่งน้ำพุร้อนที่เจียวซี มีทั้งในสวนสาธารณะแบบไม่ต้องเสียเงิน นั่งและหย่อนขาลงไปแช่คลายเมื่อย และแบบที่ต้องเสียเงินในร้านหรือตามโรงแรม น้ำพุร้อนที่นี่อุดมไปด้วยแร่ธาตุทั้งโซเดียม แมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียม และไอออนคาร์บอเนต ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพให้แข็งแรงได้
โรตีต้นหอมหรือชงโหยวปิ่ง 1 ในของว่างที่อร่อยของเมืองอี๋หลาน (ภาพจาก myplus.com.tw)
คุกกี้หรือบิสกิตลิ้นวัว ที่มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนกับลิ้นวัว (ภาพจาก stancylife.com)
เค้กโรลเผือกนมสดที่ขึ้นชื่อลือชาอร่อยมาก อร่อยมาก มีโอกาสไปอย่างพลาด...
วันนี้นำสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองรองอย่างอี๋หลานมาเล่าให้ฟังแบบคร่าว ๆ ใครว่างและอยากจะเที่ยวในลักษณะทริปวันเดียว หรือจะพักค้างสัก 1 คืน มาเล่าให้ฟัง หวังว่าจะเป็นแนวทางหรือข้อมูลประกอบการพิจารณาสำหรับท่านที่อยากเที่ยวแบบง่าย ๆ
3. หยุนหลินเผชิญวิกฤตขาดแคลนเลือด งัดกลยุทธ์บริจาคเลือด 250 ซีซี รับฟรีล็อบสเตอร์ตัวเบิ้ม ๆ
ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา เนื่องจากอากาศหนาวเย็นและคนไต้หวันไม่นิยมบริจาคเลือดในช่วงตรุษจีน เพราะถือว่าหากเลือดตกยางออกช่วงต้นปีเป็นลางไม่ดี ส่งผลให้ไต้หวันเผชิญกับปัญหาขาดแคลนเลือด โดยเฉพาะเขตภาคกลางและภาคใต้ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยึดถือความเชื่อดั้งเดิมนี้ ศูนย์บริจาคโลหิตไทจง ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 สาขาของมูลนิธิบริการโลหิตไต้หวัน (Taiwan Blood Services Foundation : 台灣血液基金會) ในเขตภาคกลางจัดกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนบริจาคโลหิตในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีนแต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากประชาชนเท่าไหร่นัก
ตรุษจีนปีนี้อากาศหนาวเหน็บบวกกับคนไต้หวันไม่นิยมบริจาคเลือดช่วงตรุษจีนเพราะถือว่าเป็นลางไม่ดี ส่งผลให้ไต้หวันเผชิญกับปัญหาขาดแคลนเลือด (ภาพจาก ttvc.com.tw)
ต่อมามูลนิธิฯ ได้ร่วมมือกับศาลเจ้าก่วงฝูกง ตำบลซีหลัว ในเมืองหยุนหลิน จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต 1 ถุง ปริมาตร 250 ซีซี รับกุ้งมังกรฟรีทันที สำหรับ 400 คนแรก โดยกุ้งมังกรหรือล็อบสเตอร์จากบอสตันและออสเตรเลีย ที่มีคนใจบุญบริจาคสำหรับกิจกรรมนี้โดยเฉพาะ ผลปรากฏว่า ประชาชนแห่บริจาคโลหิตกันมืดฟ้ามัวดิน เพียง 30 นาที หลังเริ่มกิจกรรมก็แจกเกลี้ยง สำหรับคนที่มาเข้าคิวบริจาคโลหิตตั้งแต่คิวที่ 401 เป็นต้นไป ก็ได้รับของแจกฟรีอย่างอื่นรวม 12 รายการ ประกอบด้วยกะหล่ำปลีหัวใหญ่สด ๆ จากสวน ขนมเค้ก หมูสวรรค์ ไข่เค็มและเห็ดหูหนูขาวกระป๋องพร้อมดื่ม เป็นต้น ส่วนกิจกรรมบริจาคโลหิตรับคูปองส่วนลด 50% ของร้าน TASTy ซึ่งเป็นร้านสเต๊กชื่อดัง ที่สถานีรถไฟโต่วลิ่ว เมืองหยุนหลิน ไทจง จางฮั่ง และหนานโถว ดึงดูดผู้คนไปบริจาคเลือดกันอย่างเนืองแน่น ส่งผลให้ปริมาณโลหิตสำรองเพิ่มเป็น 7 วัน จากก่อนหน้านี้ที่เหลือเพียง 5.2 วัน
หยุนหลินเผชิญวิกฤตขาดแคลนเลือด งัดกลยุทธ์บริจาคเลือด 250 ซีซี รับฟรีล็อบสเตอร์ตัวเบิ้มๆ (ภาพจาก udn.com)
คนที่มาไม่ทันรับล็อบสเตอร์จะได้รับของแจกฟรีอย่างอื่น อาทิ กะหล่ำปลีหัวใหญ่ ๆ สด ๆ ขนมเค้ก หมูสวรรค์ ไข่เค็มและอื่น ๆ รวม 12 รายการ (ภาพจาก udn.com)
มูลนิธิบริการโลหิตไต้หวันซึ่งรับผิดชอบการรับบริจาคและการจัดสรรโลหิตให้แก่สถานพยาบาลทั่วไต้หวัน เปิดเผยว่า สำหรับชาวต่างชาติในไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานต่างชาติ นักเรียนต่างชาติ นักธุรกิจ พนักงานระดับบริหาร หรือนักการทูต สามารถบริจาคเลือดได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่เข้ามาพำนักอาศัยในไต้หวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี หรือเป็นผู้ที่พำนักอาศัยในไต้หวันครบ 3 ปีแล้วเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลาสั้น ๆ หลังกลับเข้าสู่ไต้หวันต้องรอเวลา 1 ปีขึ้นไปจึงจะบริจาคเลือดได้
รถรับบริจาคโลหิตของมูลนิธิบริการโลหิตไต้หวัน (ภาพจาก Taichung Blood Center ,TBSF)
ทั้งนี้มูลนิธิบริการโลหิตไต้หวันมีศูนย์บริการรับบริจาคโลหิต 4 แห่งได้แก่ ไทเป ซินจู๋ ไทจง และเกาสง อย่างไรก็ดี นอกจากศูนย์บริจาคโลหิตแล้ว ยังมีรถรับบริจาคโลหิตกระจายกันออกไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วไต้หวันอีกจำนวนมาก
-
1. เตรียมรับมือลมหนาวกำลังแรงอีก 2 ลูก วันอาทิตย์นี้อากาศเปลี่ยน หนาวถึงวันอังคาร ศุกร์หน้าลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่มาเยือน
วันเสาร์ที่ 15 ก.พ. นี้ อากาศดี ทั่วไต้หวันอบอุ่น อุณหภูมิสูงอยู่ระหว่าง 21-30°c แต่วันอาทิตย์นี้อากาศเปลี่ยน ลมหนาวลูกใหม่มาเยือน อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วแตะ 10°c แม้ช่วงกลางวันอุณหภูมิ0tสูงขึ้น แต่กลางคืนและรุ่งเช้าอากาศหนาวจนถึงวันอังคาร จากนั้นสุดสัปดาห์หน้าจะมีลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่มาเยือน อุณหภูมิลดต่ำลงพอ ๆ กับลมหนาวกำลังแรงลูกที่แล้ว เตือนดูแลสุขภาพและอย่าเพิ่งเก็บเสื้อกันหนาว
เสาร์นี้อบอุ่น แต่วันอาทิตย์อากาศเปลี่ยน อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วถึงวันอังคาร ศุกร์หน้าลมหนาวกำลังแรงมาเยือนอีก (ภาพจาก ctitv.com.tw)
2. ไต้หวันปรับขึ้นค่าตั๋วรถไฟ 26.8% หลังไม่ได้ขึ้นราคามานานกว่า 30 ปี
หลังการรถไฟไต้หวันปรับโครงสร้างเป็นบริษัทเมื่อปีที่แล้ว ก็ขาดทุน 13,700 ล้านเหรียญไต้หวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยหนึ่งในปัจจัยหลักมาจากค่าโดยสารที่ไม่เคยปรับขึ้นมานานกว่า 30 ปี เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ประชุมกรรมการบริหารผ่านแผนการปรับขึ้นค่าโดยสาร คาดปรับขึ้นเฉลี่ยประมาณ 26.8%
รถไฟเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญในการเดินทางของคนไต้หวัน จะปรับขึ้นค่าตั๋วรถไฟ 26.8% หลังไม่มีการปรับมานานกว่า 30 ปี (ภาพจาก CNA)
รถไฟเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญในการเดินทางของประชาชนในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม เร็ว ๆ นี้จะมีการปรับขึ้นค่าโดยสาร เนื่องจากในปีแรกหลังการรถไฟไต้หวันปรับโครงสร้างเป็นบริษัท ขาดทุนสุทธิ 13,700 ล้านเหรียญไต้หวัน ตามรายงานผลประกอบการของการรถไฟไต้หวัน ปีงบประมาณ 2567 เดิมคาดรายได้จากค่าโดยสารจะอยู่ที่ 18,500 ล้านเหรียญไต้หวัน แต่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่ฮัวเหลียน ทำให้ลดลงเหลือ 17,400 ล้านเหรียญไต้หวัน นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการพนักงานครั้งแรกหลังปรับโครงสร้างเป็นบริษัท ค่าธรรมเนียมโอนสินทรัพย์และต้นทุนบุคลากรที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าโดยสารที่ตรึงราคานานกว่า 30 ปี ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การขาดทุนเพิ่มขึ้น
รถไฟระหว่างเมืองที่ "จอดทุกสถานี" ปรับจาก 1.46 เป็น 1.98 เหรียญ/กม. เฉลี่ย 35.6% ปรับขึ้นมากที่สุด (ภาพจาก บ. รถไฟไต้หวัน)
แผนการปรับขึ้นราคาค่าโดยสารครั้งนี้จะปรับขึ้นทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นขบวนรถไฟระหว่างเมืองหรือรถไฟด่วน โดยรถไฟระหว่างเมืองที่ "จอดทุกสถานี" ปรับจาก 1.46 เป็น 1.98 เหรียญไต้หวันต่อกิโลเมตร หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 35.6% โดยเส้นทางระยะสั้นจะปรับขึ้นมากที่สุด ส่วนรถไฟด่วนที่วิ่งระยะไกลปรับขึ้นไม่มาก ยกตัวอย่างรถไฟด่วนขบวนจื้อเฉียง (自強號 ) ไทเป-เกาสง จากเดิมราคา 824 เหรียญไต้หวัน ปรับขึ้นเป็น 975 เหรียญไต้หวัน ไทเป-ไทจง 375 เหรียญไต้หวัน ปรับขึ้นเป็น 501 เหรียญไต้หวัน ไทเป-ฮัวเหลียน 440 เหรียญไต้หวัน ปรับขึ้นเป็น 583 เหรียญไต้หวัน เป็นต้น
รถไฟโบราณใช้หัวรถจักรไอน้ำที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ที่การรถไฟไต้หวันนำเข้ามาใช้เป็นรุ่นแรก (ภาพจาก Epochtimes)
สำหรับการรถไฟไต้หวัน (Taiwan Railways Administration ,TRA) ซึ่งปัจจุบันแปรรูปมาเป็น บริษัทรถไฟไต้หวัน จำกัด (Taiwan Railway Corporation,Ltd) เมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นหนึ่งในระบบขนส่งมวลชนที่คนไต้หวันนิยมใช้บริการกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว ราคาไม่แพง และตรงเวลา แม้ในระยะหลังไต้หวันมีรถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้า ซึ่งดึงดูดผู้โดยสารส่วนหนึ่งของการรถไฟไต้หวันไป แต่การรถไฟไต้หวันก็ยังคงเป็นระบบขนส่งมวลชนที่สำคัญของไต้หวันไม่เสื่อมคลาย
สถานีรถไฟไทเป เป็นชุมทางรถไฟที่มีผู้คนไปใช้บริการมากมาย ในภาพผู้โดยสารต่อแถวซื้อตั๋วจากตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ (ภาพจาก Epochtimes)
การรถไฟไต้หวันก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1887 หรือเมื่อ 138 ปีก่อน ซึ่งอยู่ในยุคราชวงศ์ชิง โดยวางแผนสร้างเส้นทางรถไฟสายแรกในไต้หวัน ระหว่างท่าเรือเมืองจีหลงซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะไต้หวันผ่านไทเป ซินจู๋ลงไปถึงไถหนานซึ่งเป็นเมืองเอกของไต้หวันในยุคนั้น และเปิดเดินรถในปี ค.ศ.1891 โดยในช่วงแรกเปิดใช้เฉพาะช่วงระหว่างจีหลงถึงต้าเต้าเฉิง(ท่าเรือริมแม่น้ำต้านสุ่ย)ในกรุงไทเป มีรถไฟทั้งหมด 4 ขบวน ตู้โดยสาร 14 ตู้ และอีก 2 ปีต่อมาได้ขยายไปจนถึงเมืองซินจู๋
ขบวนรถด่วน Puyuma Express จัดเป็นขบวนรถที่เร็วและดีที่สุดของการรถไฟไต้หวัน (ภาพจาก Epochtimes)
ต่อมาในช่วงปี 1895- 1945 ซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเข้ามาปกครองไต้หวัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้ขยายเส้นทางรถไฟบนเกาะไต้หวัน มากมายหลายเส้นทาง ทั้งเส้นทางสายหลัก จากจีหลงลงไปถึงผิงตง ซึ่งเป็นเส้นทางในฝั่งตะวันตก โดยเพิ่มเส้นทางไปยังฝั่งตะวันออกด้วย โดยรัฐบาลญี่ปุ่นต้องการใช้เส้นทางรถไฟในการลำเลียงทรัพยากรต่างๆ อาทิ ไม้ น้ำตาลและแร่ชนิดต่างๆ รวมถึง ทองคำ จากพื้นที่ใจกลางเกาะไปยังท่าเรือต่างๆเพื่อส่งไปญี่ปุ่น โดยในขณะนั้นการรถไฟไต้หวันมีรถไฟมากถึง 497 ขบวน
"Future" รถไฟท่องเที่ยวที่มอบสัมปทานให้เอกชนรับดำเนินการ ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก (ภาพจาก Epochtimes)
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการรถไฟไต้หวันเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1945) ญี่ปุ่นแพ้สงครามจึงต้องส่งมอบไต้หวันคืนให้แก่จีน แต่ไฟสงครามสร้างความเสียหายให้แก่ทางรถไฟและขบวนรถไฟอย่างรุนแรง เพื่อรื้อฟื้นการให้บริการ รัฐบาลสาธารณรัฐจีนได้สั่งซื้อขบวนรถดีเซลรางจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มาใช้แทนหัวรถจักรไอน้ำที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง และเริ่มเดินรถอย่างเปิดทางการในปี 1960 นับเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่ของการรถไฟไต้หวัน
สถานีรถไฟโต่วเหลียงในเมืองไถตง ตั้งอยู่ติดชายทะเล ได้ชื่อว่าเป็นสถานีรถไฟที่สวยงามที่สุดในไต้หวัน (ภาพจาก Shutterstock)
ตามมาด้วยปี 1990 การเริ่มใช้รถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยเริ่มจากรถไฟที่วิ่งระยะสั้นระหว่างเมืองและปัจจุบันขยายสู่เส้นทางรอบเกาะ ปัจจุบันการรถไฟไต้หวันซึ่งใช้ขนาดความกว้างราง 1.067 เมตร (3 ฟุต 6 นิ้ว) มีทั้งสิ้น13 เส้นทางแบ่งเป็น 3 เส้นทางหลัก กับ 10 เส้นทางย่อย มีทั้งอยู่บนดิน บนสะพานสูง มุดอุโมงค์และใต้ดิน รวมระยะทาง 1114.5 กม. มี 240 สถานี (ค.ศ.2018)
3. ดัชนีการรับรู้ทุจริต 2567 ไต้หวันได้ 67 คะแนน ถูกจัดอยู่ในอันดับ 25 ของโลก เพิ่มขึ้น 3 อันดับจากปี 2566 และทุจริตน้อยกว่า 86% ของประเทศที่รับการสำรวจทั่วโลก 180 ประเทศ
สำนักงานต่อต้านคอร์รัปชัน กระทรวงยุติธรรมของไต้หวันแถลงข้อมูลดัชนีการรับรู้ทุจริต 2567 จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ซึ่งได้เผยแพร่ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) จากจำนวน 180 ประเทศและพื้นที่ทั่วโลกประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมาว่า ไต้หวันมีคะแนนดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน 67 คะแนน ถูกจัดอยู่ในประเทศที่มีการทุจริตคอร์รัปชันน้อยสุดอันดับ 25 ของโลก น้อยกว่า 86% ของประเทศที่เข้ารับการสำรวจ 180 ประเทศ และอยู่ในอันดับที่ 7 ของ 31 ประเทศและพื้นที่ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เป็นรองเพียงสิงคโปร์ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ฮ่องกง ภูฐานและญี่ปุ่น สูงกว่าเกาหลีใต้ ไล่ตามหลังญี่ปุ่นและฮ่องกงมาติด ๆ คะแนนดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันของไต้หวันที่ได้ 67 คะแนน พอ ๆ กับปี 2566 แต่ที่เลื่อนขึ้น 3 อันดับ มาจากคะแนนภาพลักษณ์คอร์รัปชันของออสเตรีย ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาลดน้อยลง
ไต้หวัน ถูกจัดอยู่ในอันดับ 25 ได้ 67 คะแนนของการสำรวจดัชนีการรับรู้ทุจริต 2567 ทุจริตน้อยกว่า 86% ของประเทศที่รับการสำรวจทั่วโลก 180 ประเทศ (ภาพจาก เว็บ Transparency International)
ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริตจาก 180 ประเทศและพื้นที่ทั่วโลก ประจำปี 2567 พบว่า
อันดับ 1 คือ ประเทศเดนมาร์กได้คะแนนสูงที่สุด 90 คะแนน
อันดับ 2 คือ ประเทศฟินแลนด์ได้ 88 คะแนน
อันดับ 3 คือ ประเทศสิงคโปร์ได้ 84 คะแนน
อันดับ 4 คือนิวซีแลนด์ได้ 83 คะแนน
อันดับ 5 ได้แก่ลักเซมเบิร์ก นอร์เวย์และสวิตเซอร์แลนด์ ได้คะแนนเท่ากัน 81 คะแนน
ไต้หวันถูกจัดอยู่อันดับ 25 ได้ 67 คะแนน
เกาหลีใต้ ถูกจัดอยู่อันดับ 30 ได้ 64 คะแนน จีนแผ่นดินใหญ่อันดับ 76 ได้ 43 คะแนน ขณะที่ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลกได้ 34 คะแนน
ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 107 ได้ 34 คะแนน ของการสำรวจดัชนีการรับรู้ทุจริต 2567 (ภาพจาก เว็บ Transparency International)
สำนักงานต่อต้านคอร์รัปชันแถลงว่า การที่ไต้หวันได้รับการจัดอันดับ 25 ของประเทศและพื้นที่ที่มีคอร์รัปชันน้อยและความโปร่งใสมาก แม้จะมีคะแนนเท่ากับปีก่อน แต่เป็นอันดับที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็นผลมาจากรัฐบาลการกวดขันในด้านความโปร่งใสและปราบปรามการทุจริตอย่างไม่หยุดหย่อน โดยปฏิบัติการตามมาตรการต่อต้านการคอร์รัปชัน 7 ข้อได้แก่ ดำเนินมาตรการความโปร่งใสโดยใช้มาตรฐานของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ผลักดันและส่งเสริมให้มีความโปร่งใสและสุจริตในหน่วยงานภาครัฐ โดยมีการจัดรางวัลความโปร่งใสเป็นประจำทุกปี จัดตั้งแพลตฟอร์มการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐที่โปร่งใสและปราศจากการทุจริต ให้ทุกหน่วยงานใช้ร่วมกันและประชาชนสามารถสอดส่องและตรวจสอบได้ มีการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่มีความเสี่ยงสูงของการทุจริตด้วยระบบ AI และใช้เทคโนโลยีตรวจหาหลักฐานการทุจริตคอร์รัปชัน สำนักงานต่อต้านคอร์รัปชันกล่าวเน้นว่า การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันเป็นปฏิบัติการที่ไม่มีวันสิ้นสุดและทุกขั้นตอนต้องการความร่วมมือจากภาคเอกชน
ไต้หวันได้ 67 คะแนน ถูกจัดอยู่ในอันดับ 25 ของการสำรวจดัชนีการรับรู้ทุจริต 2567 ทุจริตน้อยกว่า 86% ของประเทศที่รับการสำรวจทั่วโลก 180 ประเทศ (ภาพจาก cw.com.tw)
ดัชนีการรับรู้การทุจริต เป็นดัชนีที่สะท้อนภาพลักษณ์การทุจริตของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่มีความสำคัญต่อนักลงทุนหรือนักธุรกิจในการประเมินความเสี่ยงหรือใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนในแต่ละประเทศ ซึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1993 มีสถานะเป็นองค์กรภาคประชาสังคมระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานด้านการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน
ย่านซีเหมินติงในกรุงไทเป
-
1. หน้าหนาวปีนี้ ไต้หวันหนาวมากและหนาวนานสุดในรอบ 10 ปี เสาร์นี้ถึงเช้าวันจันทร์ ทั่วไต้หวันอุณหภูมิมีโอกาสต่ำกว่า 6°c
กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันประกาศเตือนภัยหนาวทั่วไต้หวัน เนื่องจากอิทธิพลของมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากจีนแผ่นดินใหญ่ แผ่ลงมาปกคลุมเกาะไต้หวันตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ ส่งผลให้ทั่วไต้หวันอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว พื้นที่ราบโล่งตั้งแต่ภาคกลางถึงภาคเหนือ ช่วงกลางคืนและเช้าอุณหภูมิต่ำกว่า 10°c โดยเฉพาะนครนิวไทเป ซินจู๋และเหมียวลี่ อาจต่ำกว่า 6°c
เสาร์ที่ 8-10 ก.พ. พื้นที่ราบโล่งในภาคกลางและเหนือของไต้หวัน อุณหภูมิมีโอกาสต่ำกว่า 6°c (chinatimes.com)
ดร. หลินเต๋อเอิน ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศจากคณะวิทยาศาสตร์บรรยากาศ มหาวิทยาลัยไต้หวันหรือไถต้ากล่าวว่า เฉพาะเดือนมกราคม 2568 มีวันที่อากาศหนาวจัดมากถึง 26 วัน จัดเป็นปีที่อากาศหนาวจัดและหนาวยาวนานที่สุดในรอบ 10 ปี และคลื่นลมหนาวระลอกนี้ เช้าวันเสาร์-อาทิตย์ (8-9 ก.พ.) เป็นช่วงที่อุณหภูมิต่ำสุด พื้นที่ภาคกลางและเหนือ บางแห่งอาจต่ำกว่า 6°c และจะหนาวไปถึงเช้าวันจันทร์ที่ 10 ก.พ. จากนั้นอากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้นตามการอ่อนกำลังลงของลมหนาว
วันเสาร์ที่ 8 ก.พ. บนเขาไท่ผิงซานในเมืองอี๋หลานปรากฎเกล็ดหิมะจับตามกิ่งไม้ (ภาพจาก udn.com)
กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า วันเสาร์และอาทิตย์นี้ ยอดเขาสูง 2,000 เมตรขึ้นไป อย่างอวี้ซานในเมืองหนานโถว-เจียอี้ เหอฮวนซานในเมืองหนานโถว-ฮัวเหลียน ไท่ผิงซานในอี๋หลาน และยอดเขาลาลาซานในเถาหยวน มีโอกาสเห็นหิมะตก เตือนต้องระวังภัยหนาว สวมใส่เสื้อผ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย หากมีอาการไม่สบาย ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาทันที อย่าชะล่าใจเด็ดขาด
วันเสาร์ที่ 8 ก.พ. บนเขาไท่ผิงซานในเมืองอี๋หลานปรากฎเกล็ดหิมะจับตามกิ่งไม้ (ภาพจาก udn.com)
2. ชาวไต้หวันแห่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลังดาราดังเสียชีวิตกะทันหันขณะเที่ยวญี่ปุ่น แพทย์เตือนวิกฤตไข้หวัดใหญ่ญี่ปุ่นลามสู่ไต้หวัน
หลังจากข่าวการเสียชีวิตกะทันหันของสวี่ซีหยวน หรือ ต้าเอส วัย 48 ปี นักแสดงดังของไต้หวันซึ่งคนไทยรู้จักเธอในบทบาท "ซานไช่" จากซีรีส์ดัง F4 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ขณะเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้ชาวไต้หวันจำนวนมากหันมาตระหนักเรื่องไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดหนักทั้งในไต้หวันและญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นไข้หวันใหญ่ระบาดหนักเข้าขั้นวิกฤต ยอดผู้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่กว่า 10 ล้านคน (ภาพจาก stheadline.com)
เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในไต้หวันรุนแรงกว่าทุกปีที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวันรณรงค์ให้ผู้สูงอายุไปรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 และเปิดให้ประชาชนทุกช่วงอายุรับการฉีดวัคซีนฟรีตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 แถมยังแจกของใช้จำพวกหน้ากากอนามัยและทิชชู ฯลฯ แก่ผู้ไปรับวัคซีน แต่ผลไม่ดีเท่าที่ควร จนกระทั่งข่าวการเสียชีวิตกะทันหันที่ญี่ปุ่นของดาราดังจากไต้หวัน ที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่และมีภาวะปอดอักเสบ ทำให้ชาวไต้หวันตื่นตระหนก ไม่ว่าคนหนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุ ทั้งที่มีแผนการจะไปเที่ยวญี่ปุ่น หรืออยู่ในไต้หวันไม่ได้ไปเที่ยวไหน ต่างก็ผวา แห่กันไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จนปริมาณสำรองวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในคลินิกและสถานพยาบาลหลายแห่งหมดเกลี้ยง มีชาวไต้หวันจำนวนมากต้องค้นหาสถานพยาบาลที่ยังพอมีวัคซีนหลงเหลืออยู่ แม้จะข้ามเมือง ก็เดินทางไปต่อแถวรับการฉีดวัคซีนกันอย่างกระตือรือร้น ผิดจากก่อนหน้านี้ ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจกันเท่าไหร่
ชาวไต้หวันแห่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลังดาราดังเสียชีวิตกะทันหันขณะเที่ยวญี่ปุ่น (ภาพจาก udn.com)
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการแถลงว่า ผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ เฉลี่ยสามารถแพร่เชื้อให้กับคนรอบข้าง 1.3 คน เพื่อป้องกันการระบาด รัฐบาลได้เตรียมวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ให้ประชาชนรับวัคซีนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีคนสนใจกันเท่าไหร่ ต่อเมื่อข่าวดาราดังเสียชีวิตที่ญี่ปุ่นจากไข้หวัดใหญ่ ผู้คนโดยเฉพาะวัยฉกรรจ์ตื่นตัวรีบไปรับวัคซีนกันขนานใหญ่ จนวัคซีนที่สำรองไว้ประมาณ 100,000 โดสหมดเกลี้ยงใน 2-3 วัน ทำให้กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการต้องจัดซื้อเพิ่มอย่างเร่งด่วน 100,000 โดส อย่างไรก็ตาม นอกจากวัคซีนที่รัฐจัดให้ฉีดฟรี ยังมีวัคซีนที่ต้องเสียเงินอีกจำนวนมาก ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก สามารถไปรับการฉีดวัคซีนได้ และจนถึงขณะนี้ อัตราการครอบคลุมของผู้มีภูมิต้านทาน จากที่เคยป่วยแล้วหายมีภูมิต้านทานและที่รับการฉีดวัคซีน ทั้งวัคซีนฟรีจากภาครัฐและวัคซีนที่ต้องเสียเงินเอง รวมแล้วมากกว่า 30% สถานการณ์การระบาดน่าจะควบคุมได้
ภาพชาวไต้หวันที่ไทจงแห่ต่อแถวรอฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลังดาราดังเสียชีวิตกะทันหันขณะเที่ยวญี่ปุ่น (ภาพจาก udn.com)
ปีนี้ ไข้หวัดใหญ่ไม่เพียงแต่ระบาดหนักในไต้หวัน ที่ญี่ปุ่นก็รุนแรงเข้าขั้นวิกฤต มีชาวญี่ปุ่นที่ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่กว่า 10 ล้านคน และญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของคนไต้หวัน ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นระบุว่า 11 เดือนแรกของปี 2567 มีชาวต่างชาติเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว 33.37 ล้านคน/ครั้ง ในจำนวนนี้ เป็นนักท่องเที่ยวจากไต้หวันสูงถึง 5.55 ล้านคน/ครั้ง หรือนักท่องเที่ยวต่างชาติทุก 6 คน เป็นชาวไต้หวัน 1 คน รองจากเกาหลีใต้และจีนแผ่นดินใหญ่ อยู่อันดับ 3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ญี่ปุ่นเกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่รุนแรงมาก จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมร่วม 10 ล้านคน ทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 26 ปี
ภาพชาวไต้หวันที่ไทจงแห่ต่อแถวรอฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลังดาราดังเสียชีวิตกะทันหันขณะเที่ยวญี่ปุ่น (ภาพจาก udn.com)
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ เตือนผู้มีแผนเดินทางไปญี่ปุ่นต้องระวัง ต้องเตรียมยาป้องกันไข้หวัดใหญ่ติดตัวไปด้วย ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือ เพราะแพทย์ญี่ปุ่นไม่ค่อยอยากรักษาผู้ป่วยชาวต่างชาติเท่าไหร่นัก แถมค่ารักษาแพงมาก แม้แต่ชาวญี่ปุ่นเองหากป่วย แพทย์จะจ่ายยาแล้วให้ไปพักผ่อนฟื้นฟูกันที่บ้าน แตกต่างจากระบบของไต้หวัน จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาลและหากอาการรุนแรง จะมีระบบส่งต่อไปผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษาต่อไป
เพื่อนผู้ฟังในไต้หวัน อย่าประมาท หาโอกาสไปรับวัคซีนและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคด้วยการใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือและหลีกเลี่ยงไปยังสถานที่แออัดและอากาศไม่ถ่ายเท
3. เที่ยวที่ไหนดี? มัดรวมสถานที่ชมโคมไฟช่วงเทศกาลหยวนเซียวในไต้หวัน
วันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีนผ่านพ้นไปแล้ว แต่เทศกาลตรุษจีนยังไม่ผ่านพ้นไปจนกว่าจะผ่านเทศกาลหยวนเซียว (元宵節) หรือเทศกาลโคมไฟ ซึ่งตรงกับวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ในปีนี้ปฏิทินสากลตรงกับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เทศกาลหยวนเซียวซึ่งเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกของปี ตามประเพณีวันนี้ชาวไต้หวันจะกินขนมบัวลอย (元宵 หรือขนมบัวลอยแบบมีไส้) เป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์และดีพร้อม มีความหมายว่าครอบครัวสมบูรณ์พูนสุข และในช่วงกลางคืนก็จะออกไปชมโคมไฟกัน
ตามประเพณีในเทศกาลหยวนเซียว ชาวไต้หวันจะกินขนมบัวลอย สื่อความหมายถึงครอบครัวสมบูรณ์พูนสุข (ภาพจาก epochtimes)
ช่วงเทศกาลหยวนเซียวทุกเมืองในไต้หวันจะมีการจัดงานแสดงโคมไฟกัน แต่งานแสดงโคมไฟที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดคืองานเทศกาลโคมไฟไต้หวัน (Taiwan Lantern Festival) ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการท่องเที่ยวไต้หวัน ซึ่งแต่ละปีจะสลับไปจัดในเมืองต่างๆ อย่างปีนี้ถึงคิวของนครเถาหยวน ซึ่งงานจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 -23 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สถานี THSR Taoyuan Station (A18) และสถานี Taoyuan Sports Park Station (A19)
โคมไฟปีมะเส็งหรือคนไต้หวันนิยมเรียกว่า มังกรเล็ก ในงานเทศกาลโคมไฟไต้หวันที่นครเถาหยวน (ภาพจากเว็บไซต์เทศกาลโคมไฟไต้หวัน)
นอกจากนี้ยังมีงานเทศกาลโคมลอยผิงซี (Pingxi Sky Lantern Festival) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 กุมภาพันธ์ ที่สนามกีฬาโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นผิงซี (平溪國中) กับลานสือเฟิน (十分廣場) เขตผิงซี นครนิวไทเป ซึ่งเหมาะสำหรับหนุ่มสาวที่ชอบบรรยากาศโรแมนติกเพราะสถานที่จัดงานอยู่กลางหุบเขา อากาศค่อนข้างหนาวเย็น สามารถเดินทางโดยรถไฟ TRA ลงที่สถานีผิงซีหรือสถานีสือเฟินได้เลย
งานเทศกาลโคมลอยผิงซี จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 กุมภาพันธ์ 2568 (ภาพจาก walkerland)
สถานที่จัดงานเทศกาลโคมลอยผิงซีอยู่กลางหุบเขาในนครนิวไทเป ยามปกติในช่วงกลางวันก็สามารถไปปล่อยโคมลอยกันได้ (ภาพจาก walkerland)
4. เคยไปหรือยัง? ตะลุยงานประทัดรังผึ้งที่เหยียนสุ่ย ไถหนาน ในคืนเทศกาลโคมไฟ 11-12 ก.พ. 68
ส่วนท่านที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจต้องไปเที่ยวงานเทศกาลประทัดรังผึ้งที่เขตเหยียนสุ่ย นครไถหนาน ปีนี้งานจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ โดยจะเป็นการแห่เทพเจ้า จากนั้นในคืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเทศกาลหยวนเซียวจะมีการจุดประทัดรังผึ้ง 250 ชุดใหญ่ คาดว่าจะดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมืองเลยทีเดียว ผู้ร่วมงานสามารถเดินฝ่าเข้าไปในบริเวณที่กำลังมีการจุดประทัด โดยต้องสวมชุดและอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย ทั้งนี้เชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าเภทภัยทั้งหลายทั้งปวง
ผู้ร่วมงานสามารถเดินฝ่าเข้าไปในบริเวณที่มีการจุดประทัด โดยต้องสวมชุดและอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย เชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าเภทภัยทั้งหลายทั้งปวง (ภาพจาก Rti)
สำหรับตำนานที่มาของเทศกาลประทัดรังผึ้ง วัดเหยียนสุ่ยอู่เหมี่ยว (鹽水武廟) ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลประทัดรังผึ้งเปิดเผยว่า ในอดีตเขตเหยียนสุ่ยเคยเกิดโรคระบาด ชาวบ้านจึงได้มาบนบานต่อเทพกวนอูประจำวัดเหยียนสุ่ยอู่เหมี่ยว ซึ่งเทพกวนอูได้ให้นิมิตว่า ในคืนวันหยวนเซียวซึ่งพระจันทร์เต็มดวงให้จัดพิธีแห่องค์เทพกวนอูไปรอบๆหมู่บ้านพร้อมกับจุดประทัดตลอดทางเพื่อขับไล่โรคระบาดให้หมดสิ้นไป และต่อมาได้กลายเป็นประเพณีพื้นบ้านของเขตเหยียนสุ่ยที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน และถือเป็นหนึ่งในประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของไต้หวันด้วย
เทศกาลประทัดรังผึ้งที่เขตเหยียนสุ่ยในปีนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ โดยจะเป็นการแห่เทพเจ้าและจุดประทัดไปตลอดทาง (ภาพจากเว็บไซต์งานเทศกาลประทัดรังผึ้ง)
อย่างไรก็ตามเนื่องจากประทัดที่จุดมีจำนวนมหาศาล อีกทั้งเมื่อประทัดถูกจัดแล้วไม่สามารถควบคุมได้ว่าประกายไฟจะกระจายตัวออกไปในทิศทางใดบ้าง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย กองดับเพลิง นครไถหนานเตือนผู้ที่ไปร่วมงาน อย่าสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นเส้นใยสังเคราะห์ เสื้อกันหนาวขนนก หรือเสื้อกันฝน เพราะเป็นวัสดุที่ติดไฟง่าย ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นผ้าฝ้ายจะปลอดภัยกว่า และต้องอยู่ห่างจากบริเวณที่จุดประทัดอย่างน้อย 5 เมตรขึ้นไป
-
1. อย่าเพิ่งเก็บเสื้อกันหนาว! วันจันทร์หน้ามีลมหนาวกำลังแรงมาเยือน อุณหภูมิพื้นที่ราบโล่งเฉลี่ยลดเหลือ 8°c
ตั้งแต่เทศกาลตรุษจีนเป็นต้นมา ช่วงเช้าอากาศหนาว กลางวันอบอุ่นถึงร้อน อุณหภูมิแตกต่างกันมากกว่า 15°c กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันประกาศเตือนภัยหนาวยังไม่หมด มวลอากาศเย็นกำลังแรงจะพัดลงปกคลุมเกาะไต้หวันอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า
ปีนี้ไต้หวันอากาศหนาวจัดกว่าปีก่อน ๆ (ภาพจาก udn.com)
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ เป็นวันเปิดทำการเป็นวันแรกหลังเทศกาลตรุษจีน และเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ หรือลี่ชุน (立春) ซึ่งเป็น 1 ใน 24 ฤดูกาลตามปฏิทินจันทรคติของจีน กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันพยากรณ์ว่า วันจันทร์ที่ 3 ก.พ. จะมีลมหนาวกำลังแรงไม่แพ้ช่วงตรุษจีน พร้อมความชื้นสูงแผ่ลงมาปกคลุมไต้หวัน ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง พื้นที่ราบโล่งเฉลี่ย 9°c วันอังคารที่ 4-5 กุมภาพันธ์ อากาศเปลี่ยนจากหนาวแฉะเป็นหนาวแบบแห้ง ๆ อุณหภูมิช่วงเช้าและกลางคืนแตะ 8°c
วันจันทร์ที่ 3 ก.พ. จะมีลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่มาเยือน พื้นที่ราบโล่งอุณหภูมิเฉลี่ย 9°c วันที่ 4-5 ก.พ. เปลี่ยนจากหนาวแฉะเป็นหนาวแบบแห้ง ๆ อุณหภูมิช่วงเช้าและกลางคืนแตะ 8°c (ภาพจาก udn.com)
เตือนเพื่อนชาวไทยในไต้หวัน ยังคงต้องระวังภัยหนาวที่กำลังจะมาอีก คงต้องรอจนถึงต้นเดือนเมษายน ลมหนาวจะค่อย ๆ หมดไป จากนั้นจะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน
2. ประเพณีแข่งปักธูปดอกแรกของปีในวันตรุษจีน
ศาลเจ้าชื่อดังหลายแห่งจัดการแข่งขันปักธูปดอกแรกของปี มีคนเข้าร่วมอย่างคึกคัก (ภาพจาก Owl News)
วันตรุษจีน (29 มกราคม 2568) ผ่านพ้นไปแล้ว วันจันทร์หน้าจะเริ่มเปิดทำงาน ช่วงวันหยุดตรุษจีนเพื่อนผู้ฟังที่มาทำงานหรือพำนักอาศัยอยู่ในไต้หวัน ไปเที่ยวไหนกันบ้าง สำหรับชาวไต้หวันในวันตรุษจีน ผู้คนจำนวนมากแห่ไปไหว้พระขอพรกัน ศาลเจ้าและวัดวาอารามเนืองแน่นไปด้วยผู้ศรัทธา ศาลเจ้าดังๆหลายแห่งมีการจัดพิธีแข่งปักธูปดอกแรกของปี พิธีนี้จัดขึ้นในวันตรุษจีน ผู้ศรัทธาที่มีธูปอยู่ในมือจะไปออกันที่หน้าศาลเจ้าตั้งแต่หัวค่ำของวันส่งท้ายปีเก่าหรือวันฉูซี พอถึงเวลา 00.00 น. ศาลเจ้าจะเปิดประตูให้ผู้คนวิ่งเข้าไปปักธูปที่กระถางธูปใหญ่ประจำศาลเจ้า ใครปักเป็นคนแรกถือเป็นผู้ชนะจะมีของรางวัลให้ ซึ่งจะเป็นอะไร มูลค่ามากหรือน้อย แตกต่างกันไป
ผู้ศรัทธาที่มีธูปอยู่ในมือจะไปออกันที่หน้าศาลเจ้าตั้งแต่หัวค่ำของวันส่งท้ายปีเก่าหรือวันฉูซีเพื่อร่วมแข่งปักธูปดอกแรกของปี (ภาพจาก Owl News)
อย่างศาลเจ้าเจิ้นหลานกง (鎮瀾宮) ที่เขตต้าเจี่ย นครไทจง ซึ่งเป็นศาลเจ้าแม่มาจู่ที่มีชื่อเสียง ปีนี้มอบเทวรูปของเจ้าแม่มาจู่ที่ทำจากทองคำให้แก่ผู้ชนะ ซึ่งเป็นช่างเทคนิคของ บ. GIANT ผู้ผลิตจักรยานแบรนด์ดัง ซึ่งคว้าแชมป์ติดต่อกันมา 2 ปีแล้ว ส่วนศาลเจ้าเฟิ่งเทียนกง (奉天宮) ตำบลซินกั่ง ในเมืองเจียอี้ ผู้ชนะเป็นหนุ่มเจียอี้วัย 20 ปี มาร่วมแข่ง 3 ปีแล้วเพิ่งจะคว้าแชมป์เป็นครั้งแรก
ตัวแทนศาลเจ้าเจิ้นหลานกงมอบองค์เจ้าแม่มาจู่ทองคำให้แก่แชมป์ปักธูปดอกของปีช่างเทคนิคของ บ. GIANT ผู้ผลิตจักรยานแบรนด์ดัง ( ภาพจาก ettoday.net)
ส่วนศาลเจ้าฝูซิงกง (福興宮) ซึ่งเป็นศาลเจ้าแม่มาจู่ที่เก่าแก่อายุสามร้อยกว่าปี ตั้งอยู่ที่ตำบลซีหลัวในเมืองหยุนหลิน มีการจัดแข่งขันปักธูปดอกแรกของปีเป็นประจำ ปีนี้ผู้ชนะเป็นชายหนุ่มวัย 31 ปีจากตำบลหลินเน่ยที่อยู่ใกล้ๆกับซีหลัว ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อปีที่แล้ว พี่ชายของเขาอยากได้ลูกชายที่เกิดปีมังกร จึงมาขอบนจากเจ้าแม่มาจู่ที่ศาลเจ้าฝูซิงและเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งปรากฏว่าสามารถคว้าแชมป์มาครอง อีกทั้งสิ่งที่บนบานไว้กลายเป็นจริง ภรรยาให้กำเนิดลูกมังกรสมใจ ตนเองทำงานเป็นเซลส์แมนจึงมาอยากมาลองวัดดวงดูบ้างและบนบานกับเจ้ามาจู่ว่าขอให้การงานก้าวหน้า ซึ่งสามารถคว้าชัยชนะมาครองพร้อมเงินรางวัล 8,888 เหรียญไต้หวัน
เซลส์แมนหนุ่มร่วมแข่งปักธูปดอกแรกของปีที่ศาลเจ้าฝูซิงกงคว้าชัยชนะ นอกจากเงินรางวัล 8,888 เหรียญยังได้รับรูปปั้นเจ้าแม่มาจู่องค์จิ๋วด้วย (ภาพจาก ettoday.net)
3. ไม่ติดหนี้ข้ามปี! คนไต้หวันนับแสนแห่ต่อแถวขอรับเงินขวัญถุงที่ศาลเจ้าจื่อหนานกง หนานโถว เผยปี 67 แจกแล้ว 400 ล้าน ส่งคืนกว่า 700 ล้าน
วันตรุษจีนที่ผ่านมา คนไต้หวันส่วนหนึ่งไปไหว้พระขอพรตามวัดและศาลเจ้า ซึ่งจากข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ทั่วไต้หวันมีวัดและศาลเจ้าที่จดทะเบียนมากถึง 14,000 แห่ง ในจำนวนนี้ มีศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ทุกปีจะมีคนนับแสนไปต่อแถวตั้งแต่รุ่งเช้าวันตรุษจีน รอรับเงินขวัญถุงจากศาลเจ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล
วันตรุษจีนที่ผ่านมา คนไต้หวันนับแสนแห่ขอรับเงินขวัญถุงที่ศาลเจ้าจื่อหนานกง เมืองหนานโถว (ภาพจาก udn.com)
ศาลเจ้าแห่งนี้ได้แก่ จื่อหนานกง (紫南宮) ที่ตำบลจู๋ซาน เมืองหนานโถว ในช่วงตรุษจีนมีธรรมเนียมแจกเงินขวัญถุง (錢母) มูลค่า 100-600 เหรียญไต้หวัน ตามแต่ผลการโยนไม้เสี่ยงทาย ซึ่งเชื่อกันว่าใครได้รับเงินขวัญถุงแล้ว เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ จะช่วยให้ทำมาค้าขึ้น กระเป๋าจะตุงและหน้าที่การงานก้าวหน้าราบรื่น เฮงทุกอย่งลางว่างั้นเถอะ
วันตรุษจีนที่ผ่านมา คนไต้หวันนับแสนแห่ขอรับเงินขวัญถุงที่ศาลเจ้าจื่อหนานกง เมืองหนานโถว (ภาพจาก udn.com)
สำหรับการขอรับหรือขอยืมเงินขวัญถุง ศาลเจ้าจื่อหนานกงไม่ได้กำหนดว่าจะต้องคืนหรือไม่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ ไม่ส่งคืนก็ไม่มีใครทวง ขึ้นอยู่กับจิตศรัทธาและความเชื่อของแต่ละคน และคนที่ได้รับเงินขวัญไปแล้ว เมื่อกิจการดีขึ้น ได้กำไร หรือหน้าที่การงานราบรื่น มักจะมาส่งคืนเงินภายในวันส่งท้ายปีเก่า เพราะถือเคล็ดติดหนี้ไม่ข้ามปี จะเป็นผลดีต่อธุรกิจและหน้าที่การงาน และส่วนใหญ่จะส่งคืนในวงเงินมากกว่าที่รับมาหลายเท่าหรือหลายสิบเท่า
บรรยากาศการขอรับเงินขวัญถุงที่ศาลเจ้าจื่อหนานกง หนานโถว (ภาพจาก tw.nextapple.com)
กรรมการศาลเจ้าจื่อหนานกงเปิดเผยข้อมูล ตั้งแต่ปีใหม่ 2568 จนถึงวันตรุษจีนผ่านมา มีผู้คนไปขอรับเงินขวัญถุงแล้วกว่า 60 ล้านเหรียญ เฉพาะวันตรุษจีน คือวันพุธที่ 29 ม.ค. เพียงวันเดียว มีชาวไต้หวันแห่ไปยังศาลเจ้าจื่อหนานกงกว่า 100,000 คน และตลอดปี 2567 พบว่า มูลค่าเงินขวัญถุงที่ผู้คนไปขอรับมีจำนวน 400 ล้านเหรียญไต้หวัน แต่ยอดคืนเงินมากกว่า 700 ล้านเหรียญ ส่วนใหญ่ขอยืม 100-600 เหรียญ แต่ส่งคืน 1,000 เหรียญ ในจำนวนนี้ มีผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่ง ขอยืมเงินขวัญถุงช่วงตรุษจีนปีที่แล้วจำนวน 600 เหรียญ นำเงินมาคืนสองครั้ง รวม 3,200,000 เหรียญ
บรรยากาศการขอรับเงินขวัญถุงที่ศาลเจ้าจื่อหนานกง หนานโถว (ภาพจาก udn.com)
4. สวนกระแส!! ปีที่แล้วยอดจำหน่ายรถเบนซ์ในไต้หวันพุ่งขึ้น 7.6% สวนกระแสโลกหดตัว 4%
เพื่อนผู้ฟังที่พำนักอยู่ในไต้หวันมาสักระยะหนึ่งแล้ว จะสังเกตเห็นว่า คนไต้หวันนิยมใช้รถยนต์หรูจากต่างประเทศ โดยเฉพาะยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ พบเห็นได้ทั่วไป จากข้อมูลของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไต้หวันระบุว่า ปี 2567 ยอดจำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลก มีจำนวนทั้งสิ้น 2.389 ล้านคัน เทียบกับปี 2566 ลดลง 4% แต่ยอดจำหน่ายในไต้หวันกลับสวนกระแส ชาวไต้หวันซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่นำเข้ามาจำหน่าย 31 รุ่น รวมทั้งสิ้น 26,296 คัน หรือเพิ่มขึ้น 7.6% โดยเฉพาะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือรุ่น GLC มียอดจำหน่ายกว่า 8,000 คัน เพิ่มขึ้น 27% รองลงมาคือ E-Class มียอดจำหน่ายกว่า 2,000 คัน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในโลกสำหรับรถรุ่นนี้
ปีที่แล้วยอดขายรถเบนซ์ในไต้หวันพุ่งขึ้น 7.6% สวนกระแสโลก โดยเฉพาะรุ่น GLC มียอดขายกว่า 8,000 คัน เพิ่มขึ้น 27% (ภาพจาก TVBS)
จากสถิติของกองทะเบียนยานยนต์ไต้หวัน พบว่า ปี 2567 รถยนต์ใหม่ที่ยื่นขอป้ายทะเบียนมีจำนวนทั้งสิ้น 457,830 คัน ในจำนวนนี้รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า (Toyota) 125,003 คัน ครองสัดส่วนสูงที่สุดคือ 27.3 % รองลงมาคือมิตซูบิชิ (Mitsubishi) 35,602 คัน เลกซัส (Lexus) 28,523 คัน ฮอนด้า (Honda) 26,791 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes benz) 26,296 คัน ฮุนได (Hyundai) 22,691 คัน บีเอ็มดับเบิลยู (BMW) 20,332 คัน นิสสัน (Nissan) 19,068 เอ็มจี (MG) 15,622 คัน และเทสลา (Tesla) 15,276 คัน
ปีที่แล้วโตโยต้ายังคงครองแชมป์รถยนต์ขายดีที่สุดในไต้หวัน โดยมียอดขาย 125,003 คัน ครองสัดส่วนตลาดรถยนต์ไต้หวัน 27.3 % (ภาพจาก udn.com)
-
1. เตือนรับมือภัยหนาว! ตรุษจีนปีนี้อาจหนาวกว่าทุกปี ลมหนาวกำลังแรงทำทั่วไต้หวันหนาวจัด 4 วันติดต่อกัน ภาคเหนืออาจต่ำกว่า 5°c
ใกล้ถึงวันตรุษจีนแล้ว ปีนี้อากาศอาจหนาวกว่าทุกปีที่ผ่านมา มีการพยากรณ์ว่า ตั้งแต่คืนก่อนวันส่งท้ายปีเก่า หรือวันจันทร์ที่ 27 มกราคมเป็นต้นไป ลมหนาวลูกที่มีกำลังแรงสุดในหน้าหนาวปีนี้พัดมาเยือน ทำให้อุณหภูมิทั่วไต้หวันลดลงอย่างรวดเร็ว ช่วงตรุษจีน พื้นที่ราบโล่งในภาคกลางและภาคเหนืออาจต่ำกว่า 5°c
ตรุษจีนปีนี้ อากาศจะหนาวจัดทำลายสถิติในรอบหลายปี (ภาพจาก LTN)
รองศาสตราจารย์อู๋เต๋อหรง (吳德榮) แห่งคณะวิทยาศาสตร์บรรยากาศ มหาวิทยาลัยแห่งชาติจงยัง (NCU) อดีต ผอ. กองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันกล่าวเตือนว่า มวลอากาศเย็นกำลังแรงพร้อมความชื้นสูงระลอกใหม่จะแผ่ลงมาปกคลุมเกาะไต้หวันตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคมนี้ ส่งผลให้วันจันทร์ที่ 27 ซึ่งเป็นวันก่อนวันส่งท้ายปีเก่าตามปฏิทินจีน หรือที่เรียกกันว่า เสี่ยวเหนียนเยี่ย (小年夜) อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งค่ำยิ่งหนาว ภาคเหนือลดเหลือต่ำกว่า 10°c วันอังคารที่ 28 เป็นวันส่งท้ายปีเก่า หรือคืนก่อนตรุษจีน ภาษาจีนเรียกว่า ฉูซี (除夕) พื้นที่ราบโล่งทางภาคเหนืออาจลดลงต่ำกว่า 5°c พื้นที่อื่น ๆ อากาศหนาวจัด แต่ยังดีเป็นความหนาวแบบแห้งไม่ชื้นแฉะ สภาพการณ์อากาศเช่นนี้ จะดำเนินไปจนถึงวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของปีใหม่ตรุษจีน ดังนั้น ปีนี้ จึงน่าจะเป็นตรุษจีนที่หนาวที่สุดในรอบหลายปี ต้องเตรียมการรับมือความหนาวเย็นแต่เนิ่น ๆ
ตรุษจีนปีนี้ พื้นที่ราบโล่งภาคกลาง-เหนือ อุณหภูมิอาจต่ำกว่า 5°c (ภาพจาก udn.com)
2. อวยพรให้ท่านจงมีความสุข หน้าที่การงานราบรื่นลื่นไหลเหมือนงูเลื้อยตลอดปีมะเส็ง
ปีนักษัตรไทยตรงกับของจีน ปีนี้เป็นปีมะเส็งหรือปีงูเล็ก พูดถึงเรืองู ไม่ว่าจะคนไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่หรือคนไทย รวมทั้งในภูมิภาคเอเชีย จะรู้จักงูและพิษสงอันร้ายกาจของมันมาแต่โบราณ ในบรรดาสัตว์มีพิษที่รู้จักกันทั่วไป งูนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่มีพิษรุนแรงและอันตรายที่สุด มากกว่าแมงมุม ตะขาบ แมงป่อง ฯลฯ ด้วยอานุภาพของน้ำพิษจากปลายเขี้ยวและขนาดที่ใหญ่กว่าสัตว์มีพิษชนิดอื่น และด้วยพิษร้ายที่สามารถฆ่าคนหรือศัตรูให้ถึงแก่ความตายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้งูในสายตาของผู้คน เป็นสัตว์ที่มีฤทธิ์อำนาจอยู่ในตัวมัน
ตามตลาดขายของกินของใช้ช่วงตรุษจีนเต็มไปด้วยผู้คน (ภาพจาก chinatimes.com)
แม้จะเป็นสัตว์พิษสงร้ายกาจและทำให้ผู้คนเกรงกลัว อีกทั้งสำนวนสุภาษิตเกี่ยวกับงู ไม่ว่าจะของไทยหรือจีน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นสิริมงคลเท่าไหร่ อย่างของไทย หมองูตายเพราะงู หมายถึงแม้จะเชี่ยวชาญก็อาจพลาดพลั้งได้ ขว้างงูไม่พ้นคอ หมายถึงปัดเรื่องร้ายออกไปไม่พ้นตัว หรือทำอะไรแล้วผลร้ายย้อนกลับมาสู่ตนเองได้ ความรู้งู ๆ ปลา ๆ รู้นิดเดียว รู้ไม่จริง ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงปีงู ก็ต้องอวยพรในสิ่งที่เป็นมงคล ในไต้หวันจะนิยมเรียกเป็นปีงูทอง และนำเอาคำว่า เสอ หรืองู แทนที่คำที่มีเสียงคล้ายคลึงกัน อย่าง สำนวนที่นิยมนำมาเป็นคำอวยพร 時來運轉 แปลว่า เมื่อโอกาสมาถึง โชคชะตาจะเปลี่ยนเป็นดีขึ้น เป็น 蛇來運轉 เมื่องูมาถึง ดวงชะตาของเราจะเปลี่ยนเป็นดีตาม หรืออย่าง 好事成雙 ห่าว ซื่อเฉิงซวง ที่แปลว่า ความโชคดีมักมาเป็นคู่ ในปีนี้ จะนิยมพูดว่า 好蛇成雙 ห่าวเสอเฉิงซวง งูมงคลนำโชคสองชั้น อะไรทำนองนี้ อีกคำที่คนรุ่นใหม่ในไต้หวันนิยมนำมาเรียกคนที่ประสบความล้มเหลว ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ คือหลู่เสอ 魯蛇 ซึ่งเป็นคำทับเสียงภาษาอังกฤษ Loser แต่ปีนี้ จะพลิกมาเป็นคำอวยพร หลู่เสอฟานเซิน 魯蛇 (Loser) 翻身 มีความหมายคนที่ไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ปีงูนี้ จะพลิกกลับมาเป็นทำอะไรก็ดูดีไปหมด ฯลฯ
หยุดยาวช่วงตรุษจีนเริ่ม ทางด่วนสายต่าง ๆ เริ่มแน่นไปด้วยรถยนต์ (ภาพจาก CNA)
ก็ขออวยพรให้ทุกท่าน ในปีงูทองนี้ จงมีสุขภาพแข็งแรง หน้าที่การงานและทุกสิ่งทุกอย่าง ราบรื่นลื่นไหลเหมือนงูเลื้อยตลอดปีมะเส็ง
3. รู้หรือยัง? ประเพณีตรุษจีนในไต้หวัน วันตรุษจีนห้ามทำงาน ตรุษจีนต้องกินๆ เที่ยวๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน (วันตรุษจีนตรงกับวันที่ 29 มกราคม 2568) ปีนี้หยุด 9 วัน เพิ่มจากปกติ 1 วัน ซึ่งต้องทำงานชดเชยในวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ โดยวันตรุษจีนหรือวันปีใหม่ของชนชาติจีน ในภาษาจีนเรียกว่า ชุนเจี๋ย (春節) แปลว่า "เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ" เพราะหลังตรุษจีนไปแล้วจะถือว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ถือเป็น เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง ตามธรรมเนียมในวันนี้ผู้คนจะไม่ทำงานกันเลย แม้แต่งานบ้านก็ไม่หยิบจับ เพราะเชื่อว่าจะเป็นลางไม่ดีทำให้ต้องทำงานเหนื่อยยากตลอดปี ธรรมเนียมและประเพณีตรุษจีนในไต้หวันคล้ายคลึงกับในหลายประเทศที่คนส่วนใหญ่เป็นชนชาติจีน ไม่ว่าจะเป็นจีน ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ หรือแม้แต่ในชุมชนชาวจีนบางประเทศที่ยังคงสืบทอดประเพณีดั้งเดิมของบรรพบุรุษอาทิ เวียดนาม มาเลเซีย และไทย
เทศกาลตรุษจีนปีนี้ไต้หวันมีวันหยุดยาวถึง 9 วัน ผู้คนแห่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ สนามบินเนืองแน่นไปด้วยผู้คน (ภาพจาก UDN)
เทศกาลตรุษจีนของชาวไต้หวันจะเริ่มตั้งแต่วันส่งท้ายปีเก่าหรือวันฉูซี่ (除夕) หรือที่ชาวไทยเชื้อสายจีนเรียกกันว่า วันไหว้ ในวันนี้จะมีการทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้า สมาชิกในครอบครัวจะกลับบ้านมาร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว อาหารมื้อค่ำในคืนวันส่งท้ายปีเก่า (年夜飯) ก็จะเป็นอาหารสิริมงคลหรือมีความหมายที่เป็นมงคลทั้งสิ้น ที่ขาดไม่ได้เลยคือ ปลา ภาษาจีนคือ 魚 (ออกเสียงว่า yú หรือㄩˊ ) เสียงไปพ้องกับคำว่า 餘 ซึ่งแปลว่า เหลือ หรือมากเกิน เมนูปลาในมื้อค่ำของวันส่งท้ายปีเก่า จึงเป็นการถือเคล็ดว่า ให้มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ และเมนูปลาจานนี้ส่วนใหญ่ไม่รับประทานแต่จะตั้งไว้บนโต๊ะอาหารจนถึงวันตรุษจีน นอกจากนี้ก็ยังมีสาหร่ายหรือ ฝ่าไช่ (髮菜) มีความหมายว่า ร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีถั่วงอก เพราะรูปร่างของถั่วงอกเหมือนกับคทาหรูอี้ (如意 ) หรือคทารูปทรงแป้นๆ งอๆ คล้ายกับรูปลักษณ์ตรงส่วนหัวของเห็ดหลินจือที่เชื่อว่า มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ คทานี้เป็นเครื่องยศชั้นสูงสำหรับขุนนางและพระจีนชั้นผู้ใหญ่ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม คทาหรูอี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสมปรารถนา มีทั้งที่ทำด้วยงาช้าง หยก หิน ไม้ไผ่หรือโลหะมีค่าเช่น ทองคำ เป็นต้น และก็ยังมีเมนูอาหารที่ใส่ผักกาดเขียวหรือภาษาจีนเรียกว่าฉางเหนียนไช่ (長年菜) หมายถึง ผักอายุยืนยาว เป็นต้น
อาหารมงคลในคืนวันส่งท้ายปีเก่าที่สมาชิกในครอบครัวทุกคนต้องกลับมารับประทานร่วมกันที่ขาดไม่ได้คือปลา (ภาพจาก i-news)
หลังทานอาหารมื้อค่ำแล้วก็จะเป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ รอคอย นั่นก็คือการส่งมอบอั่งเปากัน โดยตามธรรมเนียม ลูก ๆ ที่เติบโตมีงานทำหรือแต่งงานแล้วจะต้องให้อั่งเปาแก่พ่อแม่ ส่วนเด็ก ๆ หรือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็จะได้รับอั่งเปาจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือลุงป้าน้าอา โดยทั่วไปอาหารมื้อค่ำจะใช้เวลารับประทานกันยาวนานเป็นพิเศษ ทานอาหารไปพูดคุยสนทนาถามสารทุกข์สุกดิบกันไปและตามธรรมเนียมจะต้องรอจนเที่ยงคืนแล้วจะมีการจุดประทัดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปนอน ซึ่งธรรมเนียมการอยู่รอให้ผ่านช่วงเที่ยงคืนของวันส่งท้ายปีเก่าจึงเข้านอนนี้ เรียกกันว่าการเฝ้าปี (守歲) วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันตรุษจีน ตามธรรมเนียมตื่นเช้ามาก็จะกล่าวทักทายกันด้วยคำว่ากงสี่กงสี่ (恭喜恭喜) แปลว่า ขอแสดงความยินดีด้วย ในวันตรุษจีนจะมีธรรมเนียมไปเยี่ยมญาติมิตรและไปเซ่นไหว้ที่ศาลเจ้า ซึ่งเรียกกันว่าโจ่วชุน (走春)
วันตรุษจีนคนไต้หวันนิยมไปเซ่นไหว้ขอพรที่วัดหรือศาลเจ้ากัน ในภาพเป็นวัดหลงซานซื่อ (ภาพจาก CTWANT)
ด้วยความเชื่อที่ว่าวันตรุษจีนเป็นวันสิริมงคล ผู้คนนิยมไปเซ่นไหว้ขอพรหรือจุดตะเกียงน้ำมันเพื่อสะเดาะเคราะห์ เสริมดวงให้โชคดีและราบรื่นปลอดภัยตลอดปี ทำให้ศาลเจ้าทั่วไปเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่เซ่นไหว้ขอพร โดยเฉพาะศาลเจ้าดังๆจะมีผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดกันจนต้องมีการจัดระเบียบ จัดเจ้าหน้าที่มาคอยรักษาความปลอดภัยกันอย่างเอิกเกริกเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม หลายปีมานี้ศาลเจ้าดัง ๆ หลายแห่ง อย่างศาลเจ้าเจิ้นหลานกง (鎮瀾宮) เปิดตัวเว็บไซต์ทางการ (bobibobi.tw) และมีฟังก์ชันให้เซ่นไหว้ขอพรทางออนไลน์ได้ตั้งแต่ปี 2564 ไม่ต้องมาเบียดเสียดเซ่นไหว้กันในสถานที่จริง จากข้อมูลระบุว่า แม้การเซ่นไหว้ขอพรทางออนไลน์จะเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก อย่างไรก็ตามสถานการณ์พลิกผันในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด -19 เนื่องจากกลัวติดเชื้อไม่กล้ายังสถานที่ที่มีผู้คนแออัด ประชาชนจึงหันมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้นรวมถึงการเซ่นไหว้ขอพรและจุดตะเกียงน้ำมันสะเดาะเคราะห์ ข้อมูลระบุว่า ผู้ที่นิยมใช้วิธีเซ่นไหว้ขอพรผ่านทางออนไลน์นั้นร้อยละกว่า 60 เป็นผู้ที่อายุระหว่าง 30-55 ปี และร้อยละ 20 เป็นผู้ที่อายุ 20-30 ปี แสดงให้เห็นว่า หนุ่มสาวไต้หวันร่วมกิจกรรมทางศาสนาด้วยวิธีการที่ต่างจากคนรุ่นก่อน ข้อมูลยังระบุว่า ผู้ที่วิธีเซ่นไหว้ทางออนไลน์ อัตราส่วนระหว่างเพศหญิงและเพศชาย อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แต่ที่ต่างกันคือเพศหญิงนิยมจุดตะเกียงสะเดาะเคราะห์ (平安燈) ขอให้ชีวิตราบรื่นผาสุก เพศชายนิยมจุดตะเกียงเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยหรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ (財神燈) ขอให้มีโชคลาภและตะเกียงรุ่งโรจน์ (光明燈) ขอให้หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้าและอนาคตรุ่งเรือง
ศาลเจ้าเจิ้นหลานกง นครไทจง ศาลเจ้าแม่มาจู่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เปิดให้เซ่นไหว้ขอพรและจุดตะเกียงเสริมดวงทางออนไลน์ (bobibobi.tw)
นอกจากนี้ เนื่องจากในปัจจุบันคนไต้หวันไม่ค่อยนิยมมีบุตรแต่นิยมเลี้ยงสัตว์หน้าขนอย่างสุนัขหรือแมวเป็นบุตรแทน ทำให้มีศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่ตำบลโต่วหลิ่ว เมืองหยุนหลิน ทางภาคใต้ของไต้หวัน มองเห็นความต้องการของคนกลุ่มนี้ เปิดให้จุดตะเกียงสะเดาะเคราะห์สำหรับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อว่า อู่ลู่ไฉเสินเหมียว (五路財神廟) ซึ่งเป็นศาลเจ้าเพียงแห่งเดียวในไต้หวันที่เปิดให้จุดตะเกียงขอพรสะเดาะเคราะห์ให้แก่สัตว์เลี้ยงตัวโปรด
ศาลเจ้าที่เมืองหยุนหลินเปิดให้จุดตะเกียงขอพรและสะเดาะเคราะห์ให้แก่สัตว์เลี้ยงตัวโปรดเป็นแห่งแรกในไต้หวัน (ภาพจากศาลเจ้าอู่ลู่ไฉเสิน)
-
1. หนาวต่อเนื่อง! สัปดาห์หน้าก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน มีลมหนาวมาเยือนไต้หวันอีก 2 ลูก
หน้าหนาวปีนี้อากาศหนาวจัด ลมหนาวพัดลงมาปกคลุมเกาะไต้หวันอย่างต่อเนื่อง วันจันทร์ที่ 20 มกราคมนี้ ตรงกับฤดูกาลสุดท้ายใน 24 ฤดูลักษณ์ตามปฏิทินจีน เรียกว่าต้าหาน (大寒) หรือวันที่อากาศหนาวจัดที่สุด
เช้าวันเสาร์ที่ 18 มกราคมนี้ พื้นที่อุณหภูมิต่ำสุดได้แก่ ตำบลซานวาน เมืองเหมียวลี่ มีเพียง 4.8°c (ภาพจากกรมอุตุนิยมวิทยา : CWA)
กรมอุตุนิยมวิทยาของไต้หวันพยากรณ์ว่า สัปดาห์หน้ามีลมหนาว 2 ระลอกแผ่ลงมาปกคลุมไต้หวัน ลูกแรกมาถึงช่วงวันจันทร์ 20-วันอังคารที่ 21 มกราคม แม้จะไม่ใช่เป็นลมหนาวกำลังรุนแรง แต่เช้าค่ำอุณหภูมิยังคงต่ำ วันศุกร์ที่ 25-26 มกราคม ยังจะมีลมหนาวกำลังแรงลูกที่สองมาเยือน ทำให้ช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนอากาศยังคงหนาวจัดต่อไป สิ่งที่ต้องระวังคือสุขภาพ โดยเฉพาะช่วงนี้ สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ยังคงระบาดต่อเนื่อง เตือนออกนอกบ้านควรป้องกันด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือ...
สัปดาห์หน้าก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน มีลมหนาวมาเยือนไต้หวันอีก 2 ลูก
2. น้ำใจเปี่ยมล้น! คนไต้หวันและคนไทยแห่บริจาคเสื้อผ้าแก่แรงงานไทยไซต์งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวกว่า 140 คน ที่ไฟไหมหอจนข้าวของส่วนตัววอดวายไปเกลี้ยง
เมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. วันที่ 12 มกราคม 2568 เกิดเหตุเพลิงไหม้หอพักแรงงานไทยของไซต์งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงปาเต๋อ-เถาหยวน ผู้รับเหมาก่อสร้างได้แก่ บริษัท Bes Engineering Corp. เปลวไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว แม้หน่วยดับเพลิงจะระดมกำลังเจ้าหน้าที่และรถดับเพลิง 27 คันรุดไปดับไฟและควบคุมเพลิงไว้ได้ ไม่ให้ลุกลามไปยังหอพักหลังอื่น ซึ่งมีทั้งหมด 4 หลัง แต่ชั้น 3 ของหอพักหลังที่ 1 ซึ่งเป็นที่พักของแรงงานไทย ข้าวของส่วนตัวถูกเผาจนเกลี้ยง โชคดีที่ขณะเกิดเหตุเป็นช่วงทำงาน ไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
เพลิงไหม้หอพักแรงงานไทยไซต์งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงปาเต๋อ-เถาหยวน เมื่อวลาประมาณ 16.30 น. วันที่ 12 มกราคม 2568 ทำให้เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของแรงงานถูกเผาวอดวาย แต่ยังโชคดีที่ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บหรือเสียชีวิต (ภาพจาก udn.com)
หอพักดังกล่าวมีแรงงานไทยพักอาศัย 144 คน ขณะเกิดเหตุไฟไหม้ ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่ไซต์งาน มี 19 คนที่หยุดงานเนื่องจากต้องไปรับการตรวจสุขภาพ แรงงานไทยกลุ่มนี้โชคดีหน่อยที่สามารถหอบข้าวของส่วนตัวออกมาได้บางส่วน คนอื่น ๆ หมดตัวเลยก็ว่าได้ ด้านพ่อบ้านชาวไต้หวันที่ดูแลหอพักเล่าว่า ขณะเกิดเหตุไฟไหม้ฝ่ายดูแลสามารถเอาหนังสือเดินทางของแรงงานไทยออกมาได้ทั้งหมด และในวันต่อมาทางบริษัทได้จ่ายเงินค่าทำขวัญให้แรงงานไทยคนละ 5,000 เหรียญ เพื่อนำไปซื้อหาเครื่องใช้ส่วนตัว
สมาคมห่วงใยผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ (桃園市新移民女性關懷協會) ซึ่งผู้บริหารส่วนใหญ่เป็นคนไทย รณรงค์รับบริจาคเสื้อผ้า มีชาวไต้หวันจำนวนมากขานรับขนเสื้อกันหนาวไปมอบให้ถึงที่ไซต์งาน ในภาพ สท. ทั้งพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคทีพีพี ในนครเถาหยวน และผู้บริหารสมาคมห่วงใยผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ขนเสื้อผ้าไปยังไซต์งานเพื่อให้แก่แรงงานไทย (ภาพจาก FB : TPP)
มูลนิธิพุทธฉือจี้ก็ไปส่งมอบเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ให้แก่แรงงานไทย (ภาพจากกองแรงงานนครเถาหยวน)
เนื่องจากช่วงนี้ ทั่วไต้หวันอากาศหนาวจัด พื้นที่เถาหยวนอุณหภูมิช่วงเช้าค่ำอยู่ที่ 10°c สมาคมห่วงใยผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ (桃園市新移民女性關懷協會) ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐรณรงค์รับบริจาคเสื้อกันหนาวเป็นภาษาจีนทางเฟซบุ๊ก ปรากฏว่าสื่อออนไลน์ในเถาหยวนช่วยกันส่งต่อ คนไต้หวันจำนวนมากทราบข่าว ต่างนำเสื้อกันหนาวไปบริจาคทั้งที่สมาคมฯ และส่งไปโดยตรงที่ไซต์งาน ด้านสำนักงานแรงงานไทยและกองแรงงานเถาหยวนก็ประสานกับมูลนิธิพุทธฉือจี้ นำเสื้อกันหนาวและข้าวของเครื่องใช้ไปบริจาค รวมถึงสมาชิกสภาเทศบาลเถาหยวน ก็นำข้าวของเครื่องใช้ไปบริจาคเช่นกัน จนถึงเที่ยงวันที่ 14 ทางไซต์งานต้องออกมาขอบคุณและปิดรับบริจาค เนื่องจากเสื้อผ้าและข้าวของกองเต็มห้อง ต้องจัดพนักงานหลายคนช่วยกันคัดและจัดเสื้อผ้าต่าง ๆ ที่ชาวไต้หวันและชาวไทยนำไปบริจาค จากนั้นแบ่งให้แรงงานไทย
นายหลี่เสียนเสียง (คนถือไมค์) ผอ. กองแรงงานเถาหยวน นำคณะเจ้าหน้าที่ไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแรงงานไทย
ด้านนายหลี่เสียนเสียง ผอ. กองแรงงานเถาหยวน นำคณะเจ้าหน้าที่ไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแรงงานไทย ซึ่งถูกจัดให้ไปพักอาศัยที่โมเต็ลใกล้ไซต์งาน 2 แห่ง จนถึงวันที่ 15 มกราคม แรงงานไทยกลับเข้าทำงานตามปกติแล้ว ก็ต้องขอแสดงความชื่นชมและปรบมือน้ำใจและมิตรไมตรีของคนไต้หวันที่ให้ความช่วยเหลือต่อแรงงานอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ขอเป็นกำลังใจให้แรงงานทุกคนต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค ผ่านความยากลำบากไปได้
เสื้อผ้าบางส่วนที่เพิ่งจัดเสร็จรอการแจกจ่ายให้แก่แรงงานไทย (ภาพจากฝ่ายดูแลหอพัก บ. Bes Engineering Corp.)
3. ตรุษจีนนี้ ไปอาบป่าที่อาลีซานกัน
ใกล้ถึงตรุษจีนแล้ว ไต้หวันได้หยุดนานถึง 9 วัน ไม่ทราบเพื่อนผู้ฟังในไต้หวันวางแผนไปเที่ยวไหนกันบ้างหรือเปล่า? วันนี้ขอแนะนำการท่องเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้คุณได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตในวิถีสโลว์ไลฟ์ หลุดพ้นจากจังหวะชีวิตที่เร่งรีบ หลอมรวมเข้ากับจังหวะชีวิตที่เนิบช้าและจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ให้ธรรมชาติกลางป่าช่วยเยียวยาร่างกายและจิตใจของคุณ แต่ไม่ใช่เที่ยวชมแบบผิวเผิน เราจะพาคุณๆไปสัมผัสประสบการณ์อาบป่าท่ามกลางแมกไม้บนภูเขาของไต้หวัน หรือที่เรียกกันชื่อว่า การบำบัดด้วยป่า ซึ่งกำลังเป็นกระแสนิยมในต่างประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี ต่างจัดให้การบำบัดด้วยป่าเป็นวิธีการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันหรือการแพทย์ทางเลือกที่ใช้เสริมการแพทย์แผนปัจจุบัน
ตรุษจีนปีนี้หาเวลาไปเดินป่าสักครา ให้ธรรมชาติกลางป่าช่วยเยียวยาร่างกายและจิตใจของคุณ (ภาพจากเขตทัศนียภาพแห่งชาติเม่าหลิน นครเกาสง)
การเดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติเป็นกิจกรรมที่ดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ผลงานวิจัยจากวารสาร International Journal of Biometeorology และ International Journal of Environmental Research and Public Health (IJERPH) เผยว่า การใช้เวลาในธรรมชาติสามารถลดความเหนื่อยล้าทางจิตใจ ความฉุนเฉียว ความเครียด ลงได้ ปัจจุบันนี้ มีเส้นทาง “ ป่าบำบัด ” ที่ผ่านการรับรองจากสมาคมธรรมชาติและป่าบำบัด (Association of Nature and Forest Therapy: ANFT) กว่า 24 แห่งทั่วโลก
เส้นทางเดินเท้าเพื่อการบำบัดสุ่ยซาน นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของป่าฮิโนกิที่อุดมสมบูรณ์ตลอดเส้นทาง (Cr.Travel king)
สำหรับไต้หวันซึ่งมีลักษณะภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่สูงและต่ำสลับกัน มีภูเขาสูงชันมากมายและประมาณร้อยละ 60 ของพื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยป่าไม้ สัดส่วนของพื้นที่ที่เป็นป่าไม้จัดว่าสูงเป็นอันดับที่ 7 ของทวีปเอเชีย นอกจากนี้ไต้หวันซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 36,000 ตารางกิโลเมตร มีภูเขาที่มีความสูงเกินกว่า 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มากถึง 268 ลูก ระดับความหนาแน่นที่สูงเช่นนี้ จัดว่าพบเห็นได้ยากในโลก ภูเขาและป่าไม้ในไต้หวันเป็นแหล่งกำเนิดระบบนิเวศของสัตว์และพืชที่หลากหลาย กรมป่าไม้ไต้หวันจึงได้จัดทำเส้นทางป่าบำบัดแห่งแรกของไต้หวันขึ้นในอุทยานแห่งชาติอาลีซาน ให้ชื่อว่า เส้นทางเดินเท้าเพื่อการบำบัดสุ่ยซาน มีความยาว 863 เมตร ทอดยาวไปตามพื้นที่ที่ค่อนข้างราบเรียบ นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของป่าฮิโนกิที่อุดมสมบูรณ์ตลอดเส้นทาง จุดสิ้นสุดของเส้นทางเดินเท้าคือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อายุ 1,081 ปี ที่มีชื่อว่า “ต้นไม้ยักษ์แห่งสุ่ยซาน”นักท่องเที่ยวที่ได้มาเห็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้มักรู้สึกยินดีปรีดา และสามารถนั่งพักที่แท่นชมวิวที่อยู่รอบๆแล้วแหงนหน้าชมความยิ่งใหญ่อลังการของต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าต้นนี้
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาอาลีซานอายุ 1,081 ปีที่มีชื่อว่า "ต้นไม้ยักษ์แห่งสุ่ยซาน" (Cr. flysonic)
สาเหตุที่กรมป่าไม้ไต้หวันเลือกจัดทำเส้นทางป่าบำบัดขึ้นบนภูเขาอาลีซาน เนื่องจากอาลีซานมีข้อได้เปรียบในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ โดยในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ภูเขาอาลีซานที่อุดมไปด้วยป่าฮิโนกิ ภูเขาไท่ผิงซานและภูเขาปาเซียนซาน ได้รับการขนานนามว่า 3 แหล่งป่าไม้สำคัญของไต้หวัน ศาสตราจารย์หวังเซิงหยาง (王升陽) ประจำคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยจงซิง (National Chung Hsing University) กล่าวว่า ไม้ฮิโนกิ (หรือสนไซเปรส) เป็นพรรณพืชเก่าแก่ที่ตกทอดมาจากยุคน้ำแข็ง ส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่เป็นเขตอบอุ่น ทั่วโลกมีประมาณ 6-7 สายพันธุ์ ในไต้หวันมี 2 สายพันธุ์ได้แก่ ไซเปรสแดง (Chamaecyparis formosensis) และไซเปรสเหลือง (Chamaecyparis obtusa var. formosana) แม้ภูเขาอาลีซานจะตั้งอยู่ในเขตร้อน แต่มีความสูง 2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกตลอดทั้งปี เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไซเปรสแดงที่พบเพียงแห่งเดียวในโลก และต้นไซเปรสแดงจะปลดปล่อยสารโมโนเทอร์พีนไฟทอนไซด์ (monoterpene phytoncides) และไอออนลบมากกว่า 1,000 ตัวต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ประกอบกับมีการอนุรักษ์สภาพป่าเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ การพาตัวเองเข้าไปอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้จะช่วยลดความดันโลหิต ผ่อนคลายสมอง บรรเทาความเครียดและความวิตกกังวล เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการบำบัดด้วยป่าที่ดีที่สุด
รถไฟเล็กวิ่งกลางป่าบนภูเขาอาลีซาน 1 ใน“5 อเมซิ่ง”ของอุทยานแห่งชาติอาลีซาน (ภาพจากอุทยานแห่งชาติอาลีซาน)
เนื่องจากเป็นแหล่งไม้ฮิโนกิที่อุดมสมบูรณ์ ในยุคญี่ปุ่นปกครองไต้หวันจึงมีการสร้างเส้นทางรถไฟสายป่าอาลีซานขึ้น ในปัจจุบัน รถไฟเล็ก ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ทะเลหมอก พระอาทิตย์เบิกฟ้าและแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ กลายเป็น “5 อเมซิ่ง”ของอุทยานแห่งชาติอาลีซาน นอกจากนี้ต้นไม้ยักษ์ที่นี่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกและทำให้อุทยานแห่งชาติอาลีซานมีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับความนิยมและมีความคลาสสิกมากที่สุดในบรรดาอุทยานแห่งชาติในไต้หวันอีกด้วย จากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า ป่าไม้อุดมไปด้วยออกซิเจนและสารไฟทอนไซด์ (Phytoncide) ที่พืชปลดปล่อยออกมา รวมถึงไอออนลบที่เกิดจากหมอกหรือหยดน้ำเสียดสีกับอากาศ ช่วยเยียวยาร่างกายและจิตใจ โดยจะทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มสงบลงและบรรเทาอาการเหนื่อยล้าได้
นักพนาบำบัดกำลังนำผู้เข้ารับการฝึกอบรมไปเปิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้สัมผัสกับขุนเขาลำเนาไพร (Cr. Taiwan Panorama)
กรมป่าไม้ไต้หวันยังได้จัดตั้งศูนย์ป่าบำบัดขึ้นภายในสวนพฤกษศาสตร์อาลีซานซึ่งตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟจู้ซานและลานชมวิวบนภูเขาเสี่ยวลี่หยวนซาน ภายในสวนพฤกษศาสตร์อุดมไปด้วยพรรณพืชและสัตว์หลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีทางเดินที่เป็นบันไดหิน ลานชมวิวและอาคารที่สร้างด้วยไม้หลังหนึ่ง พื้นที่ภายในชั้นที่ 1 ของอาคารไม้คือห้องบำบัดที่สามารถฝึกโยคะ ล้อมวงชงชา และใช้เป็นห้องเรียนสำหรับการบำบัดด้วยป่า ส่วนชั้นที่ 2 เป็นห้องอาหาร ผู้ประกอบการได้เตรียม “อาหารพื้นถิ่น” ไว้บริการ ไม่ว่าจะจิบชาจากยอดเขาอาลีซานสักจอก ดื่มกาแฟทะเลหมอกอาลีซานสักแก้ว หรือจะลองชิมหมี่ซั่วคลุกน้ำมันเมล็ดชาอาลีซานสักจาน ล้วนเป็นการใช้ประสาทรับกลิ่นและรับรสมาสัมผัสกับอาหารพื้นถิ่นทั้งสิ้น
ผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมจากป่าอาลีซานภายใต้แบรนด์ "Alishan 2488m" (Cr.Outsider in Chiayi)
นอกจากนี้กรมป่าไม้ได้ทำการวิจัยและพัฒนาน้ำหอมจากป่าที่ใช้น้ำมันหอมระเหยของไม้ซีดาร์ธูปไต้หวัน (Calocedrus formosana) ซึ่งเป็น 1 ใน “5 พรรณไม้เฉพาะถิ่นของไต้หวัน” เป็นน้ำมันฐานจากนั้นผสมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นสมุนไพร ดอกไม้และไม้ รวม 3 กลิ่น นอกจากนี้กรมป่าไม้ยังเปิดร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมจากป่าอาลีซานภายใต้แบรนด์ “Alishan 2488m” ขึ้น นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมที่ผลิตจากไม้ล้ำค่าและกลิ่นอายของป่าในไต้หวันติดไม้ติดมือกลับไปได้
-
1. ลองกันหรือยัง? ลุ้นรางวัลหวยขูด กิจกรรมยอดฮิตช่วงตรุษจีน หวยขูดไต้หวันเตรียมมอบรางวัลสูงสุด 20 ล้านเหรียญ 10 รางวัล
เทศกาลตรุษจีนกำลังจะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ปีนี้วันตรุษจีนตรงกับวันที่ 29 มกราคม 2568 ในไต้หวันมีวันหยุดช่วงเทศกาลตรุษจีนยาวนานถึง 9 วัน เพิ่มจากปกติ 1 วัน ซึ่งต้องทำงานชดเชยในวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ ไม่ทราบว่าเพื่อนๆที่อยู่ในไต้หวันเตรียมวางแผนการใช้วันหยุดยาวถึง 9 วันนี้ทำอะไรกันบ้าง สำหรับชาวไต้หวันช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีน นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศหรือไปเยี่ยมเยือนญาติมิตรถือโอกาสท่องเที่ยวกันไปในตัว แต่ก็ต้องทนกับการเบียดเสียดยัดเยียดทั้งที่สนามบินและการจราจรบนท้องถนนที่แออัดกว่าช่วงวันปกติ ครั้นไม่ไปไหนจะกินๆนอนๆอยู่บ้านตลอดช่วงวันหยุดยาวก็น่าเบื่ออยู่เหมือนกัน ดังนั้นช่วงเทศกาลตรุษจีนมีคนจำนวนหนึ่งนิยมแก้เซ็งด้วยการเสี่ยงดวง ไม่ว่าจะเล่นไพ่นกกระจอกหรือเล่นหวยขูดหรือล็อตโต้ขูด
ลุ้นรางวัลหวยขูด กิจกรรมยอดฮิตช่วงตรุษจีน หวยขูดไต้หวันเตรียมมอบรางวัลสูงสุด 20 ล้านเหรียญ 10 รางวัล (ภาพจาก fnc.ebc.net.tw)
บริษัทไต้หวันล็อตโต้ (Taiwan Lottery) หรือเจ้ามือหวยล็อตโต้ ได้ตอบสนองความต้องการของประชาชนด้วยการออกล็อตโต้ขูดเวอร์ชันตรุษจีนให้นักเสี่ยงดวงได้ขูดกันจนสะใจทุกปีและแน่นอนในปีนี้ซึ่งเป็นปีมะเส็งหรือคนไต้หวันเรียกว่าปีมังกรเล็กก็เช่นกัน มีการออกหวยขูดหลายรุ่น มาให้ประชาชนได้วัดดวงกันตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม ก่อนจะจัดหนักในช่วงตรุษจีน ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ หวยขูดรุ่นซูเปอร์อั่งเปา 20 ล้าน (2,000萬超級紅包) ราคาจำหน่ายใบละ 2,000 เหรียญไต้หวัน มีการเพิ่มรางวัลที่ 1 คือเงินรางวัล 20 ล้านเหรียญไต้หวัน จากเดิม 7 รางวัลเป็น 10 รางวัล รางวัลที่ 2 เงินรางวัล 1 ล้านเหรียญไต้หวันอีก1,200 รางวัล นับว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ยังมีหวยขูดรุ่นอื่นๆ ที่ราคาต่ำลงมา ได้แก่ 500 ,300 ,200 และ 100 ซึ่งแต่ละรุ่นอัตราการถูกรางวัลมีตั้งแต่ 29-69% โดยเฉพาะรุ่นซูเปอร์อั่งเปา 20 ล้าน มีอัตราการถูกรางวัล ( รางวัลเล็กๆ -รางวัลที่ 1 ) สูงถึง 69.33%
บ. ไต้หวันล็อตโต้ ตอบสนองความต้องการของประชาชนด้วยการออกล็อตโต้ขูดเวอร์ชันตรุษจีนให้นักเสี่ยงดวงได้ขูดกันจนสะใจทุกปี (ภาพจาก money.udn.com)
พูดถึงการเล่นหวย ไม่เพียงเฉพาะคนไทยเท่านั้นที่ชื่นชอบ คนไต้หวันหรือชาติอื่นๆก็ชื่นชอบไม่แพ้กัน แต่คนไต้หวันส่วนใหญ่ซื้อล็อตโต้เพื่อความสนุกสนานและนิยมเล่นในช่วงเทศกาลสำคัญ โดยเฉพาะตรุษจีน คนจะซื้อกันเยอะ โดยคิดว่าถ้าได้ก็ถือว่าโชคดี หากไม่ได้ก็เป็นการทำบุญช่วยเหลือสังคม เพราะรายได้จากการขายล็อตโต้ในไต้หวัน หลังหักเงินรางวัล ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและค่าตอบแทนของผู้ขายล็อตโต้แล้ว กำไรที่ได้รัฐบาลจะจัดสรรให้หน่วยงานและมูลนิธิการกุศลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสังคมต่อไป
คนไต้หวันส่วนใหญ่ซื้อหวยขูดเสี่ยงดวงช่วงตรุษจีนเพื่อความสนุกสนาน ถ้าได้รางวัลก็ถือว่าโชคดี หากไม่ได้ก็เป็นการทำบุญช่วยเหลือสังคม (ภาพจาก TVBS)
ล็อตโต้ไต้หวัน จะเปิดให้ธนาคารหรือวิสาหกิจเข้าประมูลรับสัมปทานทุก 10 ปี ขณะนี้มีการประมูลไปแล้ว 5 ครั้ง ปัจจุบัน ธนาคารไชน่าทรัสต์ หรือ CTBC เป็นผู้ได้รับสัมปทานเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน นอกจากเงินรางวัล ค่าตอบแทนของผู้ขายและค่าใช้จ่ายบริหารจัดการแล้ว รายได้จะส่งคืนให้รัฐบาลเพื่อจัดสรรเป็นงบประมาณช่วยเหลือกองทุนเลี้ยงชีพ 45% เงินสำรองกองทุนเลี้ยงชีพ 5% อีก 50% จะจัดสรรให้รัฐบาลท้องถิ่นหรือเมืองต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในด้านสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือมูลนิธิการกุศลกว่า 200 แห่งและโครงการเพื่อการกุศล 1,415 โครงการ รวมถึงกลุ่มเปราะบางที่ได้รับความช่วยเหลือไปแล้วกว่า 7.7 ล้านคน
เจ้าของร้านขายล็อตโต้ในไต้หวันต้องเป็นผู้พิการจึงจะยื่นขอใบอนุญาตได้ (ภาพจาก TVBS)
สำหรับร้านขายล็อตโต้ ทั่วไต้หวันมี 58,000 แห่ง คุณสมบัติของผู้ยื่นขอใบอนุญาตเปิดร้านขายล็อตโต้ จะต้องเป็นผู้พิการจึงจะยื่นขอใบอนุญาตได้ โดยได้ค่าตอบแทนจากการขายลอตเตอรี่ออนไลน์ใบละ 8-10% ถ้าเป็นล็อตโต้ทั่วไปที่ขายเกมละ 50 เหรียญ จะได้ค่าตอบแทนใบละ 5 เหรียญ เวยลี่ไฉ่หรือ Super lotto ที่ขายเกมละ 100 เหรียญจะได้ค่าตอบแทนประมาณใบละ 10 เหรียญ เป็นการสร้างรายได้และสร้างงานให้แก่ผู้พิการมีรายได้และมีงานทำอีกทางหนึ่ง
แรงงานเวียดนามผู้โชคดีรายหนึ่ง ซื้อหวยขูดใบละพัน 1 ใบ ขูดถูก 1,000,000 เหรียญไต้หวัน ช่วงตรุษจีนปี 2567
2. เตือน! ลงขันซื้อล็อตโตควรทำสัญญาร่วมลงทุนก่อนซื้อ ชาวไต้หวันลงขันซื้อล็อตโตถูกรางวัลแจ็กพอต 631 ล้าน นอกจากเสียภาษีเงินรางวัล 20% ยังต้องเสียภาษีการให้อีก 40 ล้าน
ชาวไต้หวัน 2 คน ลงขันกันซื้อล็อตโต้ โชคดีถูกรางวัลแจ็กพอต ได้เงินรางวัล 631 ล้านเหรียญไต้หวัน เนื่องจากไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นการร่วมลงทุน ตามกฎหมายไต้หวัน นอกจากต้องเสียภาษีเงินรางวัล 20% ยังต้องเสียภาษีการรับให้อีก 40 ล้านเหรียญ ทั้งสองเจ็บใจรางวัลน้อยลงตั้งเยอะ
คนไต้หวันนิยมซื้อล็อตโต้เสี่ยงดวงช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยวิธีซื้อเอง บางคนร่วมลงขันกันซื้อ (ภาพจาก Rti)
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา หญิงไต้หวันคนหนึ่ง ทำงานในบริษัทมักจะโชคดีถูกรางวัลในงานเลี้ยงเหว่ยหยาเป็นประจำเกือบทุกปี ปีนี้ก็เช่นกัน เพื่อนจึงหวังพึ่งความโชคดี ชวนลงขันซื้อล็อตโต้ ปรากฏว่าถูกจริง ๆ ด้วย เป็นรางวัลแจ็กพอต 631 ล้าน แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าลงขันกันซื้อ นอกจากถูกหักภาษีตามกฎหมายของสรรพากรที่ถูกรางวัลเกิน 5,000 ต้องเสียภาษีเงินรางวัล 20% หรือ 126.2 ล้านแล้ว ยังต้องเสียภาษีการรับให้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาษีมรดกด้วย คิดคำนวณแล้วเสียเพิ่มอีกประมาณ 40 ล้านเหรียญ หลังหักภาษีแล้ว คนแรกได้รับ 279 ล้านเหรียญ อีกคนได้รับ 186 ล้านเหรียญ
หากเป็นการร่วมลงขันซื้อล็อตโต้ บ. ล็อตโต้ไต้หวันแนะควรทำสัญญาร่วมลงทุนก่อนซื้อ มิเช่นนั้น เมื่อโชคดีถูกรางวัล นอกจากภาษีเงิรางวัล 20% ยังต้องเสียภาษีการให้เพิ่มอีกหนึ่งรายการ
เรื่องนี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อน เพราะคนถูกรางวัลใหญ่น้อยมาก แต่หากมีการลงขันกันซื้อล็อตโต้ ทางบริษัทล็อตโต้ไต้หวันแนะว่า ต้องทำสัญญาร่วมลงทุน โดยมีรายชื่อ จำนวนเงินที่ลงทุน และถ่ายรูปใบล็อตโต้เก็บไว้เป็นหลักฐาน หากไม่มีหลักฐานเหล่านี้ จะเป็นข้อความในไลน์ที่ชวนกันซื้อล็อตโต้ก็ได้ เพื่อให้สรรพากรทราบว่าเป็นการร่วมลงทุนจริง ๆ มิเช่นนั้น จะต้องเสียภาษีการให้อย่างคนไต้หวันทั้งสองรายที่กล่าวมาข้างต้น ก็ดีเหมือนกัน เป็นการป้องกันสิทธิประโยชน์ของตนเอง ตอนซื้อไม่มีปัญหา แต่ตอนถูกอาจมีข้อพิพาทก็ได้
3. ไต้หวันเข้าสู่ยุคอยู่อย่างโดดเดี่ยว? ปี 2567 บ้านที่อยู่คนเดียวพุ่งขึ้นเป็น 2.184 ล้านหลัง ครองสัดส่วนบ้านในไต้หวันถึง 28.6%
สภาพสังคมและภาวะทางเศรษฐกิจ ทำให้ชาวไต้หวันอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ กระทรวงมหาดไทยของไต้หวันพบว่า บ้าน 1 หลัง 1 คนเพิ่มขึ้นจาก 1,621,000 หลังในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 2,184,000 หลัง ในปี 2567 ระยะเวลา 10 ปี เพิ่มขึ้น 563,000 หลัง อัตราส่วนต่อบ้านทั้งหมดเพิ่มจาก 23.9% เป็น 28.6% และในจำนวน 6 นครใหญ่ นิวไทเปมีบ้านที่อยู่คนเดียวมากที่สุด 4560,000 หลัง ตามด้วยเกาสง 287,000 หลัง อันดับ 3 กรุงไทเป 253,000 หลัง
ปี 2567 บ้านที่อยู่คนเดียวพุ่งขึ้นเป็น 2.184 ล้านหลัง ครองสัดส่วนบ้านในไต้หวันถึง 28.6% นิวไทเปมีบ้าน 1 หลัง 1 คนมากที่สุด 4560,000 หลัง ตามด้วยเกาสง 287,000 หลังและกรุงไทเป 253,000 หลัง (ภาพจาก merit.times.com)
Taiwan Realty Group กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไต้หวันวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่บ้าน 1 หลัง 1 คน เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1. โครงสร้างประชากรแปรเปลี่ยนไป หนุ่มสาวชาวไต้หวันในปัจจุบันแต่งงานช้าลง โสดมากขึ้นและมีลูกน้อยลง ปี 2567 อายุแรกสมรสของชาวไต้หวันอยู่ที่ 32.4 ปี และผู้หญิงที่แต่งงานลดลงเหลือ 48.37% หรือผู้หญิง 2 คน มี 1.17 คนเป็นโสด ส่งผลให้บ้านที่อยู่คนเดียวเพิ่มสูงขึ้น
โครงสร้างประชากรในไต้หวันแปรเปลี่ยนไป หนุ่มสาวแต่งงานช้าลง โสดมากขึ้นและมีลูกน้อยลง ส่งผลให้ความต้องการบ้านที่อยู่คนเดียวเพิ่มสูงขึ้น (ภาพจาก merit.times.com)
2. บ้านใหม่พื้นที่เล็กเพิ่มมากขึ้น บ้านเหล่านี้จะอยู่ในตัวเมือง ใกล้ที่ทำงานหรือใกล้สถานีรถไฟฟ้า เดินทางสะดวก ราคาจับต้องได้ เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยู่คนเดียว ความต้องการบ้านประเภทนี้เพิ่มมากขึ้น
3. มาตรการลดหย่อนทางภาษี ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่แยกตัวจากครอบครัวใหญ่ซื้อบ้านอยู่คนเดียวมากขึ้น ในไต้หวันมีการลดหย่อนภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือนของบ้านที่ใช้อยู่อาศัยเอง รวมถึงค่าน้ำค่าไฟก็ถูกลง แต่ลดหย่อนให้คนละ 1 หลังเท่านั้น หากคนเดียวบ้านหลายหลัง หลังที่ 2 ขึ้นไป ภาษีจะแพงขึ้นและใช้อัตราภาษีก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ลูกหลานส่วนใหญ่จะแยกไปซื้อบ้านอยู่คนเดียว ในบ้านเก่าเหลือแต่พ่อแม่ ทำให้จำนวนบ้าน 1 หลัง 1 คนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
บ้านใหม่พื้นที่เล็กเพิ่มมากขึ้น บ้านเหล่านี้จะอยู่ในตัวเมือง ใกล้ที่ทำงานหรือใกล้สถานีรถไฟฟ้า เดินทางสะดวก ราคาจับต้องได้ เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยู่คนเดียว (ภาพจาก ettoday.net)
สาเหตุที่นครนิวไทเปมากเป็นอันดับ 1 มาจากประชากรในนิวไทเปมีมากถึง 4 ล้านคน จำนวนบ้านที่อยู่คนเดียวจึงเพิ่มตามไปด้วย ส่วนที่เกาสง เนื่องจากราคาบ้านถูกกว่า นอกจากนี้ที่ซินจู๋ก็มีบ้านที่อยู่คนเดียวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นเพราะเหล่าวิศวกรหรือคนทำงานในโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีรายได้สูงซื้อบ้านที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่สำหรับพักอาศัยระหว่างทำงาน คุ้มกว่าเช่าบ้านอยู่ ซึ่งค่าเช่า กับค่าผ่อนส่งบ้านต่างกันไม่เท่าไหร่
บ้านใหม่พื้นที่เล็กเพิ่มมากขึ้น บ้านเหล่านี้จะอยู่ในตัวเมือง ใกล้ที่ทำงานหรือใกล้สถานีรถไฟฟ้า เดินทางสะดวก ราคาจับต้องได้ เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยู่คนเดียว (ภาพจาก designwant.com)
ด้วยสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน คาดว่าบ้าน 1 หลัง 1 คน ยังคงเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ในอนาคต สภาพการที่คนไต้หวัน “แก่อย่างเดียวดาย ตายอย่างโดดเดี่ยว” จะเป็นปัญหาใหญ่ไม่แพ้ปัญหาสังคมผู้สูงอายุ
- Laat meer zien