Afleveringen
-
“ยิธโร จึง กล่าว ว่า, “สรรเสริญพระ ยะ โฮ วา ผู้ ทรง ช่วย ท่าน ทั้ง หลาย ให้ รอด จาก เงื้อมมือ ชนชาติ อาย ฆุบ โต, และ จาก หัตถ์ ของ กษัตริย์ ฟา โร, คือ ผู้ ได้ ทรง ช่วย พล ไพร่ ให้ พ้น จาก เงื้อมมือ ชนชาติ อาย ฆุบ โต. บัดนี้ เรา ทราบ แล้ว ว่า พระ ยะ โฮ วา เป็น ใหญ่ กว่า พระ อื่น ทั้งปวง, ผู้ ได้ กระทำ ต่อ ชนชาติ ยิศ รา เอล อย่างทะนงตัว.”
โม เซ จึง ตอบ พ่อตา ว่า, “เพราะ พล ไพร่ มา หา ข้าพ เจ้า เพื่อ ขอ ให้ ทูลถาม พระเจ้า: เมื่อ เขา มี คดี ต่อ กัน, ก็ มา หา ข้าพ เจ้า; ’ ข้าพ เจ้า ก็ ตัดสิน ให้ เขา ทุกคน, สอน ให้ เขา รู้จัก ข้อปฏิบัติ และ ข้อกฎหมาย ของ พระเจ้า.” จง ฟัง คำ ซึ่ง เรา จะ เตือน ท่าน, และ ขอ ให้ พระเจ้า ทรง สถิต อยู่ กับ ท่าน: ท่าน จง เป็น คนกลาง ระหว่าง พล ไพร่ กับ พระเจ้า, คือ จง นำ ความ กราบ ทูล พระเจ้า: ท่าน จง สั่งสอน เขา ให้ รู้ ข้อปฏิบัติ และ ข้อกฎหมาย, และ แสดง ให้ เขา รู้จัก ทาง และ การ ประ พฤติ ที่ เรา ควร กระ ทำ.
อีก ประการ หนึ่ง ท่าน จง เลือก คน ที่ สามารถ จาก พล ไพร่ คือ คน ที่ เกรงกลัว พระเจ้า, ที่ เป็น คน ซื่อสัตย์, และ เป็น คน เกลียด สินบน; ตั้ง เขา ไว้ เป็น นาย พัน, นาย ร้อย, นาย ห้า สิบ, นาย สิบ: ให้ เขา เป็น ผู้พิพากษา ความ ของ พล ไพร่ เสมอ: เมื่อ เกิด ความ ใหญ่ ก็ ให้ เขา นำ ความ นั้น ทุกๆ เรื่อง มา แจ้ง ต่อ ท่าน, แต่ ความ เล็กน้อย จง ให้ เขา ตัดสิน เอง: ดังนี้ จะ ได้ ช่วยเหลือ ให้ กิจการ ของ ท่าน เบาบาง ลง.”
เอ็ก โซ โด 18:10-11, 15-16, 19-22
-
“เพราะเหตุนั้นบรรดาพลไพร่จึงได้บ่นติเตียนโมเซว่า, “จงให้น้ำพวกข้าพเจ้ากินเถิด.” โมเซจึงตอบว่า, “พวกเจ้าบ่นต่อว่าเราทำไม? เหตุไฉนพวกเจ้าจึงบังอาจลองดีพระยะโฮวา?” ไพร่พลก็กระหายน้ำที่ตำบลนั้น, จึงบ่นต่อโมเซว่า, “เหตุไรเล่าท่านจึงพาพวกข้าพเจ้า, ทั้งบุตรและฝูงสัตว์, ออกจากประเทศอายฆุบโตเพื่อจะให้อดน้ำตาย?” จงดูเถิด, เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าบนศิลาที่ภูเขาโฮเร็บ; จงตีศิลานั้น, แล้วน้ำจะไหลออกมาสำหรับพลไพร่จะได้ดื่ม.” โมเซก็ได้ทำดังนั้นต่อหน้าผู้เฒ่าของชนชาติยิศราเอล. โมเซได้เรียกชื่อตำบลนั้นว่ามาซาและมะรีบา, ด้วยเหตุชนชาติยิศราเอลได้บ่นติเตียนต่อว่าตน ณ ที่นั้น, และได้ชันสูตร (ลองดี, ยั่ว) พระยะโฮวาว่า, “พระองค์สถิตอยู่ท่ามกลางพวกข้าพเจ้าหรือไม่?”
พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “ข้อความนี้จงเขียนไวัเป็นหนังสือเล่มหนึ่งสำหรับเป็นที่ระลึก, ทั้งเล่าเน้นให้ยะโฮซูอะฟัง: คือว่าเราจะลบล้างชนชาติอะมาเลคไม่ให้ปรากฏชื่ออยู่ในความจำของประชาชนภายใต้ฟ้าเลย. โมเซจึงได้สร้างแท่นบูชาเรียกชื่อว่ายะโฮวานิซี; เพราะเหตุว่าพระยะโฮวาทรงปฏิญาณไว้ว่า, พระองค์จะทรงกระทำสงครามกับชนชาติอะมาเลคต่อเนื่องไปชั่วลูกชั่วหลาน”
เอ็กโซโด 17:2-3, 6-7, 14-16 TH1940
-
Zijn er afleveringen die ontbreken?
-
“ชนชาติยิศราเอลก็พากันบ่นต่อโมเซและอาโรนในป่านั้นว่า, “พวกข้าพเจ้าใคร่จะได้ตายเสียด้วยพระหัตถ์พระยะโฮวาในประเทศอายฆุบโต, ขณะเมื่ออยู่ใกล้หม้อเนื้ออันได้รับประทานอาหารอิ่มหนำ; แต่นี่ท่านทั้งสองกลับนำพวกข้าพเจ้าออกมาในป่ากันดารนี้, เพื่อจะให้อดอาหารตายเท่านั้น.” ครั้งนั้นพระยะโฮวาได้ตรัสแก่โมเซว่า, “นี่แน่ะ, เราจะบันดาลให้ขนมปังตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝนสำหรับให้เจ้าทั้งหลายกิน; ชนทั้งหลายจะได้ออกไปเก็บพอกินสำหรับฉะเพาะวันหนึ่งๆ, เพื่อเราจะลองใจเขาว่าเขาจะประพฤติตามกฎของเราหรือไม่. เมื่อถึงวันที่หกให้เขาเตรียมเก็บไว้สองเท่าของวันอื่น.” ในเวลาเช้าพวกเจ้าจะได้เห็นสง่าราศีแห่งพระเจ้าเพราะคำบ่นต่อว่าของพวกเจ้าต่อพระยะโฮวาทราบถึงพระองค์แล้ว: เราทั้งสองเป็นผู้ใดเล่า, พวกเจ้าจึงมาบ่นต่อว่าเรา?” โมเซได้กล่าวว่า, “ในเวลาเย็นพระยะโฮวาจะประทานเนื้อให้เจ้ากิน, ในเวลาเช้าพวกเจ้าจะมีขนมปังกินอิ่ม; เพราะพระยะโฮวาได้ทรงทราบคำบ่นซึ่งเจ้าได้บ่นต่อว่าพระองค์: เราทั้งสองนี้เป็นผู้ใด? พวกเจ้ามิได้บ่นต่อว่าเรา, แต่ได้บ่นต่อว่าพระยะโฮวาต่างหาก.”
อยู่มาเมื่อวันที่เจ็ดมีบางคนได้ออกไปเก็บ, แต่หาได้พบไม่. พระยะโฮวาตรัสแก่โมเซว่า, “พวกเจ้าจะขัดขืนข้อบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร?”
เอ็กโซโด 16:2-5, 7-8, 27-28
-
“พระเจ้าทรงยืนอยู่ในท่ามกลางชุมนุมชนของพระองค์; พระองค์ทรงพิพากษาท่ามกลางพระ (ผู้ตัดสิน). เจ้าทั้งหลายจะพิพากษาโดยอยุตติธรรม, และเห็นแก่หน้าเหล่าคนชั่วนานสักเท่าใด? จงให้ความยุติธรรมแก่ผู้มีกำลังน้อยของลูกกำพร้าพ่อ; คนมีทุกข์ยาก (ถูกกดขี่) และคนขัดสน. จงปลดปล่อยคนที่มีกำลังน้อยและคนขัดสน: ให้รอดพ้นจากมือคนชั่ว.
ข้าแต่พระเจ้า, ขอพระองค์ทรงเสด็จมาพิพากษาแผ่นดินโลก; เพราะพระองค์จะได้ชนประเทศทั้งปวงเป็นมฤดก”
บทเพลงสรรเสริญ 82:1-4, 8
-
บทเพลงของโมเซ
“ขณะนั้นโมเซกับชนชาติยิศราเอลได้ร้องเพลงบทนี้ถวายพระยะโฮวาว่า,
“ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา, เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชะนะอย่างสง่าผ่าเผย; พระองค์ได้ทรงผลักม้าและพลม้าลงในทะเล. พระยะโฮวาเป็นกำลังและเป็นกำเนิดบทเพลงสรรเสริญแห่งข้าพเจ้า, พระองค์เป็นผู้ช่วยให้ข้าพเจ้ารอด: พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า, และข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์; และพระองค์เป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษ, ข้าพเจ้าจะยกยอสรรเสริญพระองค์. พระยะโฮวาเป็นนักรบ: พระนามของพระองค์คือพระยะโฮวา. พระองค์ได้ทรงทิ้งพลรถและพลโยธาของกษัตริย์ฟาโรลงในทะเล; นายทหารรถรบที่แกล้วกล้าของกษัตริย์ฟาโรก็จมน้ำตายในทะเลแดง. น้ำลึกได้ท่วมเขาเสีย: เขาได้จมลงในน้ำลึกประดุจก้อนหิน. ข้าแต่พระยะโฮวา, พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ทรงอานุภาพอันสง่าผ่าเผย, พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ทรงทำลายศัตรูให้ป่นปี้ไป. ผู้ใดที่ลุกขึ้นต่อสู้พระองค์ๆ ทรงทำลายเสียด้วยเดชานุภาพใหญ่ยิ่ง: พระองค์ทรงพระพิโรธเผาผลาญเขาเสียเหมือนไฟเผาตอฟาง. โดยลมระบายจากพระนาสิกของพระองค์น้ำก็รวมเข้าเป็นกลุ่มท่วมสูงขึ้นไป; กองน้ำลึกในท้องทะเลก็ปรากฏเป็นกลุ่มก้อนเหมือนน้ำแข็ง. พวกข้าศึกได้กล่าวว่า, ‘เราจะติดตามจับให้ทัน, จะริบสิ่งของมาแบ่งปันกัน; เราจึงจะอิ่มใจดังประสงค์ที่จะทำกับพวกนั้น; เราจะชักดาบออกประหารเขาเสียด้วยฝีมือของเรา.’ พระองค์ทรงบันดาลลมของพระองค์ให้พัดมา, น้ำทะเลก็ท่วมมิดเขา: เขาได้จมลงในน้ำเล็กเหมือนตะกั่ว.
ข้าแต่พระยะโฮวา, ในบรรดาพระทั้งปวงองค์ไหนจะเป็นใหญ่เหมือนพระองค์เล่า? ใครจะเสมอกับพระองค์, ผู้ประกอบด้วยความบริสุทธิ์รุ่งเรือง, ทรงกระทำการอัศจรรย์นั้นเป็นที่น่ายำเกรงและน่าสรรเสริญหรือ? ก็พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออก, แผ่นดินก็ได้สูบกลืนเขาเสีย. พระองค์ได้ทรงพระกรุณานำหน้าพลไพร่ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้. พระองค์ได้ทรงพาเขามาถึงที่สถิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์โดยเดชานุภาพของพระองค์.
ชาวประเทศต่างๆ ได้ยินแล้วก็สะทกสะท้านด้วยความกลัว, เมืองฟะเลเซ็ธก็รู้สึกเสียวสยองยิ่งนัก. ครั้งนั้นพวกเจ้านายในเมืองอะโดมก็หวาดกลัวจนสิ้นสติ; ชายฉกรรจ์ในเมืองโมอาบก็สะทกสะท้านด้วยความกลัว: ชาวคะนาอันทั้งปวงก็แตกฉานซ่านเซ็นไป. ความตระหนกตกใจกลัวอุบัติขึ้นในใจของเขา; เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของพระองค์; เขานิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน, จนพลไพร่ของพระองค์เดินผ่านข้ามไป, โอ้พระยะโฮวา, จนพลไพร่ซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วเดินผ่านข้ามไป.
ข้าแต่พระยะโฮวา, พระองค์จะทรงนำพวกเขาเข้ามา, และจะทรงปลูกพวกเขาไว้บนภูเขาซึ่งเป็นมฤดกของพระองค์, คือสถานที่ของพระองค์ที่ทรงเตรียมไว้เพื่อจะได้สถิตอยู่, คือวิหารซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์ได้ทรงตั้งไว้. พระยะโฮวาจะทรงครอบครองอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์.””
เอ็กโซโด 15:1-18
-
ข้ามทะเลแดง (บัตติสมา)
“เมื่อกษัตริย์ประเทศอายฆุบโตทราบความว่าพลไพร่ยิศราเอลหนีไปแล้ว: พระทัยของฟาโรและใจของข้าราชการก็เปลี่ยนจากความตั้งใจเดิมที่มีต่อพลไพร่นั้นไปว่า, “ทำไมหนอเราจึงได้ทำเช่นนั้น? ไฉนเราจึงได้ปล่อยพวกยิศราเอลไปจากการปรนนิบัติเราเล่า?” ฝ่ายกษัตริย์ฟาโรก็ให้เตรียมราชรถและนำพลโยธาติดตามไป: ท่านได้เกณฑ์ราชรถรบอย่างดีหกร้อยคัน, กับรถรบหลวงทั้งหลายทั่วประเทศอายฆุบโต, มีนายทหารประจำอยู่ทุกคัน.
เมื่อกษัตริย์ฟาโรเข้ามาใกล้, ชาติยิศราเอลก็เงยหน้าแลดูเห็นชนชาติอายฆุบโตติดตามมา, ก็มีความกลัวยิ่งนัก: จึงได้ร้องทูลพระยะโฮวา. เขาได้เรียนโมเซว่า, “หลุมฝังศพในประเทศอายฆุบโตไม่มีหรือท่านจึงได้พาเราออกมาให้ตายในป่ากันดาร? ทำไมหนอท่านจึงได้พาเราออกมาจากประเทศอายฆุบโต? พวกเราได้บอกท่านแล้วแต่ในประเทศอายฆุบโตมิใช่หรือว่า, จงปล่อยให้พวกเราปรนนิบัติชนชาติอายฆุบโตเถิดเพราะการที่จะปรนนิบัติชนชาติอายฆุบโตนั้นก็ดีกว่าที่จะมาตายในป่ากันดาร? ’ ”
โมเซจึงเตือนพลไพร่นั้นว่า, อย่ากลัวเลย, จงยืนอยู่นิ่งๆ จะได้เห็นความรอดมาแต่พระยะโฮวา, ซึ่งพระองค์จะทรงประทานแก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้: ด้วยชาวอายฆุบโตซึ่งเจ้าทั้งหลายได้เห็นในวันนี้, ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่ได้เห็นอีกเลย. พระยะโฮวาจะทรงรบแทนเจ้าทั้งหลาย; เจ้าทั้งหลายจงสงบอยู่เถิด.””
เอ็กโซโด 14:5-7, 10-14 TH1940
-
บุตรหัวปีต้องแยกบริสุทธิ์ออกมาเพื่อถวายแด่พระเจ้า
“พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง”
โคโลสี 1:15 KJV
“เจ้าจงทูลกษัตริย์ฟาโรว่า, ‘พระยะโฮวาได้ตรัสดังนี้ว่า, “ชนชาติยิศราเอลนั้นเป็นบุตรหัวปีของเรา;”
เอ็กโซโด 4:22 TH1940
“และมาถึงคริสตจักรของบรรดาบุตรหัวปีผู้มีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว…”
ฮีบรู 12:23a THSV11
“และโมเซกล่าวแก่พลไพร่ว่า, “จงระลึกถึงวันนี้, ที่เจ้าทั้งหลายได้ออกไปจากอายฆุบโต, จากฐานะแห่งทาส: โดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ พระยะโฮวาได้ทรงนำเจ้าทั้งหลายออกจากที่นั่น; อย่ากินขนมปังที่มีเชื้อเลย. ครั้นพระยะโฮวาจะทรงนำพวกเจ้ามาถึงประเทศคะนาอัน, ถึงชาติเฮธ, ชาติอะโมรี, ชาติฮีวี, และชาติยะบูศ, ที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับรรพบุรุษว่า จะยกแผ่นดินที่บริบูรณ์ไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งให้พวกเจ้า, ขณะนั้นเจ้าทั้งหลายจงถือเทศกาลนี้ในเดือนนั้น. จงกินขนมปังไม่มีเชื้อให้ครบกำหนดเจ็ดวัน, และวันที่เจ็ด จงถือเป็นพิธีเลี้ยงถวายพระยะโฮวา; จงกินขนมปังไม่มีเชื้อให้ครบกำหนดเจ็ดวัน: อย่าให้เห็นมีขนมปังซึ่งมีเชื้อหรือเชื้อขนมปังในเขตต์ที่อาศัยของพวกเจ้า. ในวันนั้นจงบอกบุตรของเจ้าว่า, ‘ที่ได้ทำดังนี้ ก็เพราะเหตุการณ์ซึ่งพระยะโฮวาได้ทรงกระทำสำหรับข้าพเจ้า ขณะเมื่อข้าพเจ้าออกมาจากประเทศอายฆุบโต.’ เทศกาลนี้จะเป็นการณ์สำคัญดุจดังสิ่งที่ผูกอยู่ที่มือของเจ้า, และเป็นเครื่องระลึกจดจำห้อยไว้ระหว่างในตาของเจ้า. เพื่อพระบัญญัติของพระยะโฮวาจะได้อยู่ที่ปากของเจ้า; เพราะด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์: พระองค์ได้ทรงนำพวกเจ้าออกจากประเทศอายฆุบโต.”
เอ็กโซโด 13:3, 5-9
-
“เราได้เปลื้องภาระอันหนักออกจากบ่าของเขา: และมือของเขาให้พ้นจากกะบุง. เจ้าได้ร้องถึงเราขณะเมื่อมีความทุกข์ยาก, และเราได้ช่วยเจ้า; เราได้ตอบเจ้าด้วยฟ้าร้องจากที่กำบัง; เราได้ลองใจพวกเจ้าที่บ่อน้ำมะรีบา. ดูกร พลไพร่ของเรา, จงฟังเถิด, เราจะตักเตือนพวกเจ้า: แน่ะพวกยิศราเอลเอ๋ย, ถ้าเจ้าจะได้ฟังเรา! พระอื่นก็จะไม่ได้มีในท่ามกลางพวกเจ้า; หรือเจ้าก็จะไม่ได้ไหว้พระต่างประเทศเลย. เราคือพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเจ้า, ผู้ได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากประเทศอายฆุบโต: จงอ้าปากให้กว้าง, และเราจะป้อนให้เต็ม. แต่พลไพร่ของเรามิได้ฟังเสียงของเรา; พวกยิศราเอลไม่มีสักคนเดียวฟังเรา. เราจึงได้ปล่อยเขาไปตามใจดื้อด้านของเขา, เพื่อเขาจะได้ประพฤติตามความคิดเห็นของเขา, โอ ถ้าพลไพร่ของเราจะได้ฟังคำเรา, พวกยิศราเอลก็คงจะประพฤติตามทางของเราแล้ว! เราคงได้กระทำให้พวกศัตรูแห่งเขาอ่อนน้อมเสียในไม่ช้า, มือของเราคงได้กลับต่อสู้ผู้ข่มเหงเขาเสียแล้ว. คนที่เกลียดชังพระยะโฮวาจะแสร้งยอมจำนนตัวต่อพระองค์: แต่โทษของเขาจะได้ตั้งยั่งยืนอยู่เป็นนิจกาล.
แต่เจ้า พระองค์จะทรงเลี้ยงเจ้าไว้ด้วยข้าวสาลีอย่างดี; และจะให้เจ้าอิ่มหนำด้วยน้ำผึ้งซึ่งออกมาจากศิลา”
บทเพลงสรรเสริญ 81:6-16
-
“พระยะโฮวาได้ตรัสแก่โมเซและอาโรนว่า, “พิธีเทศกาลปัศกาเป็นดังนี้: คือคนต่างชาติ นอกจากชนชาติยิศราเอลอย่าให้กินเลย; แต่ฝ่ายทาสของผู้ใดซึ่งนายได้ไถ่มาด้วยเงิน, เมื่อให้ทาสนั้นรับพิธีสุนัดแล้ว, จึงให้เขากินได้.
ส่วนแขกเมืองหรือลูกจ้าง อย่าให้กินเลย. เมื่อมีแขกเมืองมาอาศัยอยู่กับเจ้า, ใคร่จะถือปัศคาถวายพระยะโฮวา, ก็ให้ชายพวกนั้นรับพิธีสุนัดทุกคน, แล้วจึงให้เขามาใกล้และถือเทศกาลนั้น; เขาจึงจะเป็นเหมือนคนเกิดในแผ่นดินนั้น:
แต่ผู้ใดยังมิได้รับพิธีสุนัด อย่าให้ร่วมกินเลี้ยงในเทศกาลปัศคานั้นเลย.
บัญญัติสำหรับคนเกิดในเมือง, และแขกเมืองซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันกับเจ้าทั้งหลาย, จะต้องเป็นอันเดียวกัน.””
เอ็กโซโด 12:43-45, 48-49
-
“พระองค์ได้ทรงนำเถาองุ่นออกมาจากประเทศอายฆุบโต: ได้ทรงขับไล่ชนต่างประเทศไปเสีย, แล้วทรงปลูกเถาองุ่นนั้นไว้. พระองค์ได้ทรงปราบที่ตรงหน้าเถาองุ่นนั้น, และเถานั้นก็ลงรากลึกแผ่ไปจนเต็มทั่วแผ่นดิน. ร่มเถาองุ่นนั้นได้ปกคลุมภูเขาไว้, และกิ่งก็เหมือนต้นสนอันสูงงดงาม.
ข้าแต่พระเจ้าแห่งพลโยธา, ข้าพเจ้าขอวิงวอนพระองค์, ขอพระองค์ทรงกลับพระทัย: ทอดพระเนตรจากสวรรค์พิจารณาดู, และโปรดเสด็จมาเยี่ยมเยียนเถาองุ่นนี้, ขอป้องกันเถาซึ่งพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ได้ทรงปลูกไว้, และขอทรงบำรุงเลี้ยงให้มีกำลังมากไว้สำหรับพระองค์.
ขอทรงโปรดให้พระหัตถ์ของพระองค์อยู่ฝ่ายบุรุษที่อยู่ข้างพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์, คืออยู่ฝ่ายบุตรมนุษย์นั้นที่พระองค์ได้ทรงบำรุงให้มีกำลังมากไว้สำหรับพระองค์. เพื่อพวกข้าพเจ้าจะไม่ถอยไปจากพระองค์: ขอทรงโปรดให้พวกข้าพเจ้าตื่นฟื้น(คืนชีพ) ขึ้น, พวกข้าพเจ้าจึงจะได้ร้องทูลออกพระนามของพระองค์. ข้าแต่พระยะโฮวาพระเจ้าแห่งพลโยธา, ขอทรงโปรด (ฟื้นฟู) ให้พวกข้าพเจ้ากลับคืนอีก; ขอให้พระพักตรของพระองค์ส่องแสงออกมา, พวกข้าพเจ้าจึงจะได้รอด”
บทเพลงสรรเสริญ 80:8-10, 14-15, 17-19
-
“ขออย่าทรงถือโทษพวกข้าพเจ้าเมื่อทรงระลึกถึงการอสัตย์อธรรมของบรรพบุรุษนั้น; ขอให้พระกรุณาอันอ่อนละมุนของพระองค์มาประสพพวกข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด; เพราะพวกข้าพเจ้าเสื่อมถอยน้อยลงไปมากแล้ว. ข้าแต่พระเจ้าผู้เป็นเหตุแห่งความรอด, ขอทรงโปรดช่วยข้าพเจ้า, เพราะเห็นแก่พระเกียรติยศแห่งพระนามของพระองค์; ทรงโปรดช่วยพวกข้าพเจ้าให้รอด, และลบล้างความผิดเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์.
ฝ่ายพวกข้าพเจ้าผู้เป็นพลไพร่ประดุจสัตว์เลี้ยงของพระองค์จะสนองพระเดชพระคุณเป็นนิตย์: จะกล่าวสรรเสริญพระองค์ทุกชั่วอายุต่อๆ ไป”
บทเพลงสรรเสริญ 79:8-9, 13 TH1940
-
วิวรณ์ 6-7, 12, 14:1-5
-
“ขณะนั้นพระยะโฮวาได้ตรัสแก่โมเซว่า, “จงไปหาฟาโรบอกว่า, ‘ยะโฮวา, พระเจ้าของชาติเฮ็บรายนั้น, ตรัสดังนี้ว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราไป, เพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติเรา. ถ้าท่านยังยึดเหนี่ยวเขาไว้ไม่ยอมปล่อยให้ไป, นี่แหละ หัตถ์ของยะโฮวาจะกระทำแก่ฝูงสัตว์ในทุ่งนา, ฝูงม้า, ฝูงลา, ฝูงอูฐ, ฝูงโคและฝูงแกะเป็นต้นให้เกิดเป็นโรคภัยอย่างร้ายขึ้น. ยะโฮวาจะแยกฝูงสัตว์ของชาติยิศราเอลจากฝูงสัตว์ของชาติอายฆุบโต; สัตว์ของชาติยิศราเอลจะไม่ตายเลยสักตัวเดียว.’ ” พระยะโฮวานี้ทรงกำหนดเวลาไว้ว่า, “พรุ่งนี้เราจะให้เหตุการณ์บังเกิดขึ้น ณ แผ่นดิน.” เมื่อรุ่งขึ้นพระยะโฮวาก็ได้ทรงกระทำดังนั้น; ฝูงสัตว์ทุกอย่างของชาติอายฆุบโตก็ตาย; แต่สัตว์ของชาติยิศราเอลไม่ตายสักตัวเดียว. พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซและอาโรนว่า, “เจ้าจงกำมูลเถ้าออกจากเตาสองกำมือ, แล้วให้โมเซซัดขึ้นไปบนอากาศต่อหน้าของฟาโร. มูลเถ้านั้นจะกลายเป็นผงคลีดินทั่วประเทศอายฆุบโต, ทำให้เกิดเป็นฝีแตกลามทั้งกายมนุษย์และสัตว์เดียรฉานตลอดประเทศ.” พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “จงตื่นแต่เช้า, ไปยืนต่อหน้าฟาโร, บอกว่า, ‘ยะโฮวาพระเจ้าของชาติเฮ็บรายตรัสดังนี้ว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราไปเพื่อให้ปรนนิบัติเรา. ด้วยว่าคราวนี้เราจะบันดาลให้เกิดสรรพโรคร้ายแก่ท่าน, และข้าราชการ, และแก่พลเมือง; เพื่อฟาโรจะได้รู้แน่ว่าทั่วโลกไม่มีผู้ใดจะเปรียบเสมอกับเราได้ น่าที่เราจะได้ยกหัตถ์ขึ้นประหารฟาโรและพลไพร่ด้วยโรคภัยให้ตายไปจากโลกเสียนานแล้ว; แต่เหตุที่เรายังให้ฟาโรดำรงชีวิตอยู่ ก็เพื่อจะให้ฟาโรเห็นฤทธานุภาพของเรา, และเพื่อนามของเราจะได้ลือกระฉ่อนไปทั่วโลก. ฟาโรยังจะมีมานะต่อสู้พลไพร่ของเรา, ไม่ยอมปล่อยเขาไปอีกหรือ? นี่แหละจงดูเถิด, พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้เราจะบันดาลให้ลูกเห็บตกมาทรมาน, อย่างที่ไม่เคยเห็นมีในประเทศอายฆุบโตตั้งแต่แรกเป็นประเทศมาจนถึงทุกวันนี้. เหตุฉะนั้นจงไปต้อนฝูงสัตว์และคนทั้งหลายที่อยู่ในทุ่งนาให้รีบเข้ามา; เพราะคนทุกคนและสัตว์ทุกตัวที่อยู่ในทุ่งนาที่มิได้เข้ามาอยู่ในบ้าน, ลูกเห็บจะตกถูกตายหมด.’ ” ฝ่ายข้าราชการของกษัตริย์ฟาโรทุกคนที่ได้เกรงกลัวพระดำรัสของพระยะโฮวา, ก็ให้บ่าวรีบออกไปไล่สัตว์ของตนกลับเข้าบ้าน: และผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระดำรัสของพระยะโฮวาก็ปล่อยให้บ่าวไพร่และสัตว์ของตนอยู่ที่ทุ่งนา พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “จงชูมือขึ้นในอากาศ, เพื่อจะได้ให้ลูกเห็บตกทั่วประเทศอายฆุบโต, บนมนุษย์, บนสัตว์, และบนผักหญ้าทุกอย่างซึ่งอยู่ในทุ่งนา, ตลอดในประเทศนั้น.” โมเซก็ชูไม้เท้าขึ้นในอากาศ: แล้วพระยะโฮวาได้ทรงบันดาลให้มีฟ้าร้อง, มีลูกเห็บและไฟฟ้าตกลงมาบนพื้นดิน; กับได้บันดาลให้ลูกเห็บตกทั่วประเทศอายฆุบโต. ลูกเห็บกับไฟฟ้าตกลงมาพร้อมกัน, เป็นที่ทรมานยิ่งนัก; การเช่นนี้ไม่เคยมีในประเทศอายฆุบโตแต่แรกตั้งเป็นประเทศมา. สิ่งสารพัตรที่อยู่ในทุ่งนาทั่วอาณาเขตต์ประเทศอายฆุบโตลูกเห็บก็ได้ทำลายเสียสิ้น; ทั้งมนุษย์และสัตว์, กับต้นผักและต้นไม้ทุกอย่างก็หักโค่นล้มลง. เว้นไว้แต่เมืองโฆเซ็น, ที่ชาติยิศราเอลอยู่นั้น, หามีลูกเห็บไม่ กษัตริย์ฟาโรจึงรับสั่งให้โมเซและอาโรนมาเฝ้า, แล้วว่า, “ในครั้งนี้เราก็ได้ผิดแล้ว: พระยะโฮวาเป็นผู้ซื่อตรง, แต่เรากับพลเมืองของเราได้ทำผิด. ขอท่านได้วิงวอนขอแด่พระยะโฮวา; เนื่องด้วยมีฟ้าร้องและลูกเห็บพอทำให้เราเข็ดแล้ว; เราจะปล่อยท่านทั้งหลายไม่กักไว้อีกต่อไป. โมเซทูลว่า, “เมื่อข้าพเจ้าออกไปจากกรุงนี้แล้ว, ข้าพเจ้าจะยกมือทั้งสองทูลพระยะโฮวา: เสียงฟ้าร้องก็จะเงียบและจะไม่มีลูกเห็บตกอีกต่อไป; เพื่อท่านจะได้ทราบว่าโลกนี้เป็นของพระยะโฮวา. เมื่อกษัตริย์ฟาโรทราบว่าฝนกับลูกเห็บและฟ้าร้องนั้นหยุดไปแล้ว, ท่านกลับทำผิดต่อไปอีกและพระทัยก็แข็งกะด้างไป, ทั้งท่านและข้าราชการของท่านด้วย.”
เอ็กโซโด 9:1-6, 8-9, 13-29, 34 TH1940
-
“พระยะโฮวาได้ตรัสแก่โมเซว่า, “เราจะนำมหาภัยมายังกษัตริย์ฟาโรและประเทศอายฆุบโตอีกอย่างหนึ่ง; ภายหลังท่านจะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่: เมื่อท่านให้พวกเจ้าไปคราวนี้, ท่านจะขับไล่พวกเจ้าออกไปทีเดียว. บัดนี้เจ้าจงสั่งพลไพร่ชายหญิงทั้งปวงให้ขอเครื่องเงินและเครื่องทองคำมาจากเพื่อนบ้านของตน.” พระยะโฮวาก็ทรงบันดาลให้ชาวอายฆุบโตเอื้อเฟื้อต่อพลไพร่นั้น. ส่วนโมเซยิ่งเป็นที่นับถือมากในประเทศอายฆุบโต, คือต่อหน้าข้าราชการและพลไพร่ทั้งปวง โมเซได้ประกาศว่า, “พระยะโฮวาตรัสดังนี้ว่า, ‘เวลาประมาณเที่ยงคืนเราจะออกไปท่ามกลางประเทศอายฆุบโต; และบุตรหัวปีทั้งหมดในประเทศอายฆุบโต, ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของกษัตริย์ฟาโรผู้ประทับบนพระที่นั่ง, จนถึงบุตรหัวปีของทาสีซึ่งโม่แป้ง, ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เดียรฉานด้วยจะตาย. ในคราวนั้นจะบังเกิดการพิลาปร้องไห้ทั่วประเทศอายฆุบโต, อย่างที่มิได้เคยมีแต่ก่อน, และต่อไปภายหน้าก็จะไม่มีอะไรอีกเลย.’ ฝ่ายข้างชนชาติยิศราเอลนั้นจะไม่มีเหตุที่น่าวิตกแก่คนหรือแก่สัตว์พาหนะแม้แต่เสียงสุนัขหอน: เพื่อจะเป็นที่แสดงให้ทราบว่า, พระยะโฮวาทรงจัดการในระหว่างชาติอายฆุบโตกับชาติยิศราเอลให้ผิดกันอย่างไร. พระยะโฮวาตรัสแก่โมเซว่า, “ฟาโรจะไม่เชื่อฟังเจ้า; เพื่อการอัศจรรย์ของเราจะได้เพิ่มขึ้นอีกในประเทศอายฆุบโต.””
เอ็กโซโด 11:1-7, 9 TH1940
-
“พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “จงเข้าไปหาฟาโรอีก: เพราะเราได้ให้ใจของฟาโรและใจของข้าราชการแข็งกะด้างไป, เพื่อจะแสดงการณ์สำคัญ; ของเราในท่ามกลางเขา, เพื่อเจ้าจะได้เล่าการณ์สำคัญที่เราได้กระทำ ณ ประเทศอายฆุบโตให้ลูกหลานฟัง, คือการณ์สำคัญซึ่งเราได้สำแดงท่ามกลางเขานั้น; เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวา.” โมเซและอาโรนจึงได้เข้าไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรทูลว่า, “พระยะโฮวา, พระเจ้าแห่งชาติเฮ็บราย, ได้ตรัสดังนี้ว่า, ‘ฟาโรจะขัดขืนไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเรานานไปสักเท่าใด? จงปล่อยพลไพร่ของเราให้ไปปรนิบัติเรา. ถ้าแม้ยังไม่ยอมปล่อยให้พลไพร่ของเราไป, พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนเข้ามาทั่วอาณาเขตต์: ฝ่ายข้าราชการได้ทูลกษัตริย์ฟาโรว่า, “คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเรานานไปสักเท่าไร? ขอทรงพระกรุณาโปรดปล่อย คนเหล่านั้นให้ไปปรนนิบัติพระยะโฮวาพระเจ้าของเขาเถิด: พระองค์ยังไม่ทรงทราบอีกหรือว่าประเทศอายฆุบโตพินาศเสียแล้ว?” กษัตริย์ฟาโรจึงรับสั่งให้โมเซและอาโรนเข้ามาเฝ้าอีก: จึงตรัสว่า, “จงไปปรนนิบัติพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า; แต่จะเอาใครไปบ้าง?” โมเซทูลว่า, “ข้าพเจ้าจะต้องพากันไปทั้งคนหนุ่มคนแก่; บุตรชายกับบุตรหญิง, และฝูงสัตว์ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก, เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายต้องทำการเลี้ยงประกอบพิธีนมัสการแด่พระยะโฮวา.” กษัตริย์ฟาโรจึงตรัสแก่เขาทั้งสองว่า, “ถ้าแม้จะให้เรายอมให้เจ้ากับบุตรไปด้วยกัน, ก็ให้พระยะโฮวาเข้าข้างพวกเจ้าเถิด: ระวังตัวให้ดีเถอะ, เจ้ากำลังมุ่งไปในทางทุจจริตเสียแล้ว, อนุญาตไม่ได้: พาฉะเพาะแต่ผู้ชายไปปรนนิบัติพระยะโฮวา, ตามที่เจ้าได้ขอไว้นั้นแหละได้.” แล้วโมเซกับอาโรนก็ถูกขับไล่ให้ออกไปเสียจากพระพักตรฟาโร ครั้งนั้นกษัตริย์ฟาโรได้รีบมีรับสั่งให้หาโมเซและอาโรนเข้าเฝ้า; จึงตรัสว่า, “เราได้ทำผิดต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, และต่อเจ้าทั้งสองด้วย. ขอเจ้าจงยกโทษความผิดให้เราครั้งนี้อีกครั้งเดียว; จงวิงวอนขอพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, เพื่ออย่างน้อยพระองค์จะได้ทรงโปรดบันดาลให้ภัยพิบัตินี้พ้นไปจากเรา.” ฝ่ายพระยะโฮวาทรงบันดาลให้ลมกล้าพัดกลับมาแต่ทิศตะวันตก, หอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดง, จนไม่มีเหลือสักตัวเดียวตลอดอาณาเขตต์อายฆุบโต. แต่พระยะโฮวาได้ทรงให้พระทัยของกษัตริย์ฟาโรแข็งกะด้างไปอีก, ไม่ยอมปล่อยชาติยิศราเอลไป พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “จงชูมือของเจ้าขึ้น, จะเกิดมีความมืดทึบทั่วประเทศอายฆุบโต.” โมเซจึงชูมือขึ้น, แล้วก็เกิดมีความมืดทึบทั่วไปในประเทศอายฆุบโตตลอดสามวัน; เขามิได้เห็นซึ่งกันและกัน, ไม่มีใครลุกขึ้นไปจากที่ตลอดสามวัน: ฝ่ายบรรดาชนชาติยิศราเอลนั้นมีแสงสว่างอยู่ในบ้านเรือนของเขา. กษัตริย์ฟาโรจึงมีรับสั่งให้หาโมเซเข้ามาตรัสว่า, “พวกเจ้าจงไปปรนนิบัติพระยะโฮวาพร้อมทั้งบุตรทั้งหลายของเจ้าได้; เว้นแต่ให้ละฝูงสัตว์ทั้งใหญ่ทั้งเล็กไว้.” ฝ่ายโมเซจึงทูลว่า, “ต้องโปรดประทานให้มีเครื่องบูชายัญและบูชาเพลิงติดมือไปด้วย; เพื่อข้าพเจ้าจะได้บูชาแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย. ฝูงสัตว์ของข้าพเจ้านั้นต้องนำไปด้วย; ไม่ให้ขาดสักกีบเดียว; เพราะว่าจะต้องเลือกสัตว์จากฝูงเหล่านั้นบูชายัญแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของข้าพเจ้า; ข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่าจะต้องการสัตว์ใดบูชายัญแด่พระองค์, กว่าจะไปถึงที่นั่นแล้ว.” แต่พระยะโฮวาได้ทรงให้พระทัยกษัตริย์ฟาโรแข็งกะด้างไม่ยอมปล่อยเขาไป. กษัตริย์ฟาโรได้รับสั่งแก่โมเซว่า, “ไปให้พ้น, จงระวังตัวให้ดีเถอะ, อย่าได้มาเห็นหน้าของเราอีกเลย; เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราในวันใด, เจ้าก็จะต้องตายในวันนั้น.” โมเซจึงทูลว่า, “ท่านได้ตรัสถูกแล้ว; ข้าพเจ้าจะไม่มาเห็นพระพักตรของพระองค์อีกเลย.””
เอ็กโซโด 10:1-4, 7-11, 16-17, 19-29 TH1940
-
“พระยะโฮวาจึงได้ตรัสแก่โมเซว่า, “จงไปหาฟาโรบอกว่า, ‘พระยะโฮวาได้ตรัสดังนี้ว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราให้ไปปรนนิบัติเรา. ถ้าแม้ไม่ยอม, เราจะบันดาลให้ฝูงกบขึ้นมาทั่วตลอดอาณาเขตต์ของท่าน: ครั้งนั้นกษัตริย์ฟาโรทรงเรียกโมเซกับอาโรนมาว่า, “เจ้าทั้งสองจงกราบทูลวิงวอนขอพระยะโฮวาให้ฝูงกบไปเสียจากเรา, และพลเมืองของเรา; แล้วเราจะยอมปล่อยบ่าวไพร่นั้นให้ไปบูชายัญแก่พระยะโฮวา.” เมื่อกษัตริย์ฟาโรทรงทราบว่าทุกข์ร้ายบรรเทาลงแล้วพระทัยก็กลับแข็งกระด้างไปอีก, ไม่ยอมเชื่อฟังโมเซและอาโรน; ตรงกับคำที่พระยะโฮวาตรัสไว้แล้วนั้น พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “ในเวลารุ่งเช้าจงลุกขึ้นยืนต่อหน้าฟาโร; ฟาโรจะมายังแม่น้ำ; แล้วจงบอกว่า, ‘พระยะโฮวาตรัสดังนี้ว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราให้ไปปรนนิบัติเรา ถ้าแม้ไม่ปล่อยพลไพร่ของเราไป, เราจะบันดาลให้ฝูงเหลือบตอมพระกายของท่าน, ตอมข้าราชการ, และพลเมืองด้วย: ฝูงเหลือบจะเข้าไปในราชสำนัก, และในเรือนของชาวอายฆุบโต, และตามพื้นดินที่เขาอยู่นั้นจะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ. ในเวลานั้นเราจะแยกเมืองโฆเซ็น, ที่พลไพร่ของเราอาศัยอยู่นั้นออก, มิให้ฝูงเหลือบนั้นอยู่ที่นั่น; เพื่อท่านจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวาสถิตอยู่ในท่ามกลางแผ่นดินโลก. ฝ่ายกษัตริย์ฟาโรได้ทรงเรียกโมเซและอาโรนมารับสั่งว่า, “จงไปบูชายัญแด่พระเจ้าของเจ้าในเขตต์ประเทศนี้.” กษัตริย์ฟาโรจึงรับสั่งว่า, “เราจะปล่อยพวกเจ้าไปเพื่อจะได้บูชายัญแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าในป่า; แต่ว่าพวกเจ้าอย่าไปให้ไกลนัก: จงอธิษฐานพระเจ้าเผื่อเราด้วย.” ฝ่ายกษัตริย์ฟาโรก็ได้มีพระทัยแข็งกะด้างในคราวนี้อีกด้วย, มิได้ทรงยอมปล่อยบ่าวไพร่นั้นไป”
เอ็กโซโด 8:1-2, 8, 15, 20-22, 25, 28, 32 TH1940
-
“พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “นี่แหละ, เราได้ตั้งเจ้าไว้เป็นผู้แทนพระเจ้าต่อฟาโร, และได้ตั้งอาโรนพี่ชายของเจ้าเป็นผู้กล่าวคำพยากรณ์แทนเจ้า. เจ้าจะประกาศข้อความทั้งหมดซึ่งเราสั่งแก่เจ้า; แล้วอาโรนพี่ชายของเจ้าจะบอกแก่ฟาโรให้ปล่อยชนชาติยิศราเอลออกไปจากประเทศของท่าน. เราจะให้ใจของฟาโรแข็งกะด้างไป, แล้วจะทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ของเราให้ทวีมากขึ้นในประเทศอายฆุบโต. แต่ฟาโรคงจะไม่เชื่อฟังเจ้า, แล้วเราจึงจะเหยียดหัตถ์ของเราเหนือประเทศอายฆุบโต, และจะพาหมู่กองพลไพร่ของเรา, คือชนชาติยิศราเอล, ให้พ้นจากประเทศนั้นด้วยการปรับโทษอันใหญ่หลวง. และจงกล่าวแก่ท่านว่า, ‘พระยะโฮวา, พระเจ้าของชาติเฮ็บราย, ตรัสสั่งให้ข้าพเจ้ามาบอกว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราไป, เพื่อเขาจะปรนนิบัติเราในป่า:” นี่แหละ, จนป่านนี้ท่านก็มิได้เชื่อฟัง.”
เอ็กโซโด 7:1-4, 16 TH1940
-
“และพระยะโฮวาได้ตรัสแก่โมเซว่า, “บัดนี้เจ้าจะเห็นเหตุการณ์ซึ่งเราจะกระทำแก่กษัตริย์ฟาโร: คือฟาโรจะปล่อยพลไพร่ไปด้วยถูกหัตถ์อันทรงฤทธิ์บังคับ, และท่านจะไล่พลไพร่นั้นออกจากประเทศด้วยอำนาจแห่งหัตถ์ของท่านเอง.” พระเจ้าตรัสแก่โมเซอีกว่า, “เราคือยะโฮวา; เราได้ปรากฏแก่อับราฮาม, ยิศฮาคและยาโคบ, ด้วยนามว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ส่วนนามยะโฮวานั้น, เรามิได้สำแดงให้เขารู้จักว่าเป็นนามของเราเอง. เราได้ตั้งคำสัญญาไมตรีของเราไว้กับเขาทั้งหลายแล้วว่า, เราจะยกแผ่นดินคะนาอัน, ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่เป็นแขกเมืองคราวก่อน, ให้แก่เขา. อนึ่งเราได้ยินเสียงคร่ำครวญของชนชาติยิศราเอล, ซึ่งชาติอายฆุบโตกักไว้ให้เป็นทาส, และเราได้ระลึกถึงคำสัญญาไมตรีของเราแล้ว. เหตุฉะนี้จงกล่าวแก่ชาติยิศราเอลนั้นว่า, เราคือยะโฮวา, เราจะนำหน้าเจ้าทั้งหลายให้ออกจากการเกณฑ์ของชนชาติอายฆุบโต. และจะให้พ้นจากการเป็นทาสของเขา, และเราจะให้เจ้ารอดด้วยกรที่เหยียดออก, และด้วยการปรับโทษอันใหญ่หลวง: เราจะรับเจ้าทั้งหลายเป็นพลไพร่, และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า; และเจ้าทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, ผู้นำหน้าเจ้าออกจากงานหนักซึ่งชาติอายฆุบโตเกณฑ์ให้ทำนั้น. เราคือยะโฮวา: จะนำพวกเจ้าให้ไปถึงแผ่นดินซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้แก่อับราฮาม, ยิศฮาคและยาโคบว่า, จะยกแผ่นดินนั้นให้แก่พวกเจ้าเป็นมฤดก.””
เอ็กโซโด 6:1-8 TH1940
-
“ดูกรพลไพร่ของเรา, จงเอียงหูฟังบทบัญญัติของเรา; จงเอียงหูของท่านทั้งหลายฟังถ้อยคำจากปากของเรา. ข้อความเหล่านั้นพวกเราจะไม่ซ่อนไว้จากลูกหลานของเรา, จะประกาศเรื่องถวายความสรรเสริญพระยะโฮวาให้แก่คนในชั่วอายุสืบไปฟัง, ทั้งพลานุภาพ, และการอัศจรรย์ของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำนั้น. เพราะพระองค์ได้ทรงตั้งคำปฏิญาณไว้แก่พวกยาโคบ, และทรงตั้งข้อบัญญัติให้แก่พวกยิศราเอล, ซึ่งพระองค์ได้ตรัสสั่งไว้แก่บรรพบุรุษของเรา ให้บอกเล่าแก่ลูกหลานของเขาต่อๆ ไป. เพื่อคนในยุคหลังและลูกหลานของเราด้วยจะได้รู้, และเมื่อเขาโตขึ้นแล้วจะได้บอกเล่าให้ลูกหลานของเขาฟังต่อๆ ไป, เพื่อจะไว้วางใจในพระเจ้า, และไม่ลืมกิจการของพระองค์, แต่จะรักษาบัญญัติของพระองค์. และจะไม่ได้เป็นเช่นบรรพบุรษของเขา. คือดื้อด้านและกบฏ, เป็นชาติที่ไม่ปลงใจให้ซื่อตรง, จิตต์ใจของเขาหาได้ตั้งให้แน่วแน่ต่อพระเจ้าไม่.”
บทเพลงสรรเสริญ 78:1, 4-8 TH1940
- Laat meer zien