Afleveringen
-
หัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ เริ่มต้นเรารู้คู่ใดคู่หนึ่งก็พอแล้ว เช่น จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ จิตโลภกับจิตไม่โลภ ตอนนี้อยาก ตอนนี้เฉยๆ อย่างนี้ หัดดูสิ่งที่เป็นคู่ๆ ตอนนี้สุข ตอนนี้ทุกข์ ตอนนี้สุข ตอนนี้เฉยๆ อันนี้ก็เป็นเซ็ตหนึ่งมี 3 ตัว สุข ทุกข์ เฉยๆ หัดเรียนกรรมฐานเรียนเซ็ตเดียวพอ คู่เดียวพอแล้ว อย่างเห็นจิตโกรธกับจิตไม่โกรธ ทั้งวันก็มีแต่จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ ถ้าเราดูตัวอยากทั้งวัน ก็มีแค่ตอนนี้อยากตอนนี้ไม่ได้อยาก ก็มีแค่นี้เอง หัดดูอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วเราจะเห็นว่าจิตเราเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เดี๋ยวเหวี่ยงซ้าย เดี๋ยวเหวี่ยงขวา เดี๋ยวอยาก เดี๋ยวไม่อยาก เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวไม่โกรธ ตรงที่มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา มันกำลังสอนไตรลักษณ์เรา จิตอยากก็ไม่คงที่ จิตไม่อยากก็ไม่คงที่ เห็นไหมจิตโกรธก็ไม่คงที่ จิตไม่โกรธก็ไม่คงที่ ฉะนั้นเวลาเรียนธรรมะ เรียนเป็นคู่ คู่เดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียนเยอะหรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 16 กุมภาพันธ์ 2568
-
ถ้าเราจะใช้อานาปานสติทำวิปัสสนาทำอย่างไร เราก็ใช้เน้นที่ความรู้สึกตัว แทนที่จะน้อมจิต ให้มันไปแนบอยู่ที่ตัวอารมณ์ ค่อยๆ สังเกตไป อย่างเวลาเราหายใจ ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ แล้วพอจิตมันหลง หนีไปคิดเรื่องอื่น ก็ให้รู้ทันว่าจิตหลงไปแล้ว ไม่ว่ามัน จิตหลงไปแล้ว โยนมันทิ้งไป ไม่ต้องไปดึงคืน อย่าไปหวง จิตที่หลงเป็นอกุศล อย่าไปหวงมัน โยนมันทิ้งไป กลับมาทำความรู้สึกใหม่ มาหายใจใหม่ หายใจไป หายใจไป แล้วเห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ฝึกอย่างนี้ มันจะมีจิตใจที่เป็นคนดู กับมีร่างกายที่หายใจ มันจะเป็น 2 อัน ถ้ามันแยก 2 อันได้ พอสติระลึกรู้ร่างกาย แต่จิตเป็นคนดูอยู่นี้ ปัญญามันจะเกิด จะเกิดวิปัสสนาปัญญา จะเห็นร่างกายไม่ใช่จิต ร่างกายเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ร่างกายไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ไหลเข้าไหลออกไปเรื่อยๆ จิตเป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 กุมภาพันธ์ 2568
-
จุดสำคัญอยู่ที่การพยายามพัฒนากุศลของเราให้เจริญขึ้น พยายามลดละอกุศลไป วิธีที่กุศลจะเจริญได้ดี คืออ่านใจตัวเองให้ออก ถ้าอ่านใจตัวเองออก กุศลจะเจริญอย่างรวดเร็วเลย อย่างเราเห็นใจเรามีโทสะ พอเรารู้ทันโทสะ โทสะดับเลย เราก็ไม่ผิดศีล ไม่ไปตีใคร ไม่ไปเผาบ้านเผาอะไรเขา ไม่เป็น เพราะจิตไม่ได้มีความคิดประทุษร้าย เห็นไหมถ้าเรามีสติอ่านจิตตัวเองออก การถือศีลจะไม่ใช่เรื่องยาก การทำสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องยาก เราจะทำสมาธิ ถ้าเราทำด้วยความโลภ เราอ่านใจตัวเองไม่ออก ว่านั่งอยู่นี่อยากสงบ บางคนยิ่งกว่าอยากสงบ อยากรู้ อยากเห็น อยากโน้นอยากนี้ เราทำสมาธิก็มีสติรู้ทันใจเรา สมาธิของเรานี้เจือความโลภหรือเปล่า หรือตอนที่ทำนี้เจือโทสะไหม ไม่ยอมสงบเสียทีก็โมโห อ่านจิตตัวเองให้ออก แล้วจิตเราเป็นกลาง ทำสมาธิแป๊บเดียวก็สงบแล้ว เจริญปัญญา ถ้าไม่มีสติ ก็ไม่ต้องพูดเรื่องเจริญปัญญา การเจริญปัญญาได้ อาศัยสติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม พอสติระลึกรู้ จิตอย่าจมลงไป จิตต้องตั้งมั่นเป็นแค่คนเห็นสภาวะ พอจิตเราตั้งมั่น แล้วสติระลึกลงไปที่ร่างกาย สติระลึกรู้เวทนา สติระลึกรู้เห็นกุศลอกุศล มันก็จะเห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเราตั้งมั่นอยู่ เรารู้ทันจิตที่เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เห็นไตรลักษณ์เหมือนกัน ฉะนั้นสติสำคัญ แล้วศีลจะดีก็ต้องมีสติ สมาธิจะดีก็ต้องมีสติ เจริญปัญญาก็ต้องมีสติ ขาดสติตัวเดียว ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องพูดถึงแล้ว กระพร่องกระแพร่ง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กุมภาพันธ์ 2568 (ช่วงบ่าย)
-
ในสติปัฏฐาน 4 ไม่ว่าเราจะทำหมวดใดหมวดหนึ่ง จะทำกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทั้ง 4 ฐานนี้ มันรู้ทั้งกาย รู้ทั้งจิต เพราะฉะนั้นทำเพียงฐานใดฐานหนึ่ง สามารถทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เริ่มต้นทำจากฐานใดก็ได้ แล้วถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ทุกฐาน ทั้ง 4 ฐานนี้ ไม่ใช่ว่าต้องทำทีละฐานให้ครบ 4 ฐาน แต่บางท่านทำ 4 ฐานเลย แล้วแต่จริตนิสัย ถ้าเราไม่ได้แกร่งกล้าขนาดนั้น ฐานเดียวทำให้จริงก็จบได้เหมือนกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กุมภาพันธ์ 2568 (ช่วงเช้า)
-
โยนิโสมนสิการ พวกเราทิ้งไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคนี้คนพูดธรรมะ คนเผยแพร่ธรรมะเยอะแยะไปหมดเลย แต่ละแห่งแต่ละที่ก็พูดถึงธรรมะอันเดียวกันทั้งนั้น แต่ถ้าเรามีโยนิโสมนสิการ เราจะรู้ว่ามันไม่เหมือนกันหรอก บางคนพูดเหมือนกัน บอกให้มีสติรู้กายรู้ใจ ปรากฏว่าแทนที่จะมีสติรู้กายรู้ใจ กลับไปเพ่งกายเพ่งใจ เกือบร้อยละร้อยของคนปฏิบัติคือพวกนักเพ่ง ไม่ใช่พวกที่จะรู้กายรู้ใจด้วยสติจริง แต่มันเป็นสติที่เจือด้วยโลภะ เป็นการบังคับตัวเอง ทำอัตตกิลมถานุโยค ไม่ได้เดินในทางสายกลาง ฉะนั้นถ้าเรามีโยนิโสมนสิการเราต้องสังเกตตัวเอง อย่างน้อยเราก็ต้องสังเกตได้ว่าที่เราปฏิบัติมา อกุศลที่มีอยู่ลดละลงไปไหม อกุศลใหม่ เกิดยากขึ้นหรือเปล่า กุศลเกิดขึ้นบ่อยไหม อย่างสติเกิดบ่อยไหม ความเข้าใจคือปัญญา ความรู้ถูกเข้าใจถูกในสภาวะต่างๆ มีมากขึ้นไหม กุศลเกิดขึ้นหรือเปล่า กุศลที่เกิดแล้วพัฒนาขึ้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการเป็นเรื่องสำคัญมากเลย ยิ่งในยุคนี้เราไม่รู้ว่าท่านผู้ใดคือกัลยาณมิตร ต้องใช้คำนี้เลย เราไม่รู้หรอกว่าท่านใดเป็นกัลยาณมิตร เพราะว่ายุคนี้พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่มีใครออกใบเซอร์ได้ว่าคนที่ผ่านแล้ว คนนี้เป็นพระอริยะชั้นนั้นชั้นนี้ เชื่อถือได้อะไรอย่างนี้ เชื่อไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 กุมภาพันธ์ 2568
-
นั่งสมาธิได้ครั้งละหลายๆ ชั่วโมง แต่ไม่มีสติรู้กายรู้ใจของตัวเอง นั่งแล้วเคลิ้มๆ ก็นั่งทรมานตัวเองเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไร หรือเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่มีสติรู้กายรู้ใจ ก็เดินเหนื่อยเปล่า เพราะฉะนั้นตรงอัตตกิลมถานุโยค ทรมานตัวเอง ไม่ได้นับที่เวลาหรอก แต่นับที่มีสติในการปฏิบัติหรือเปล่า ถ้าขาดสติในการปฏิบัติ แล้วก็ไปนั่งกำหนดลมหายใจ ดูท้อง ดูมือ ดูเท้า ดูลม 5 นาที มันก็คือทรมานตัวเอง 5 นาที แต่ถ้าเรามีสติอยู่ เห็นร่างกายหายใจ เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง ใจเป็นแค่คนรู้คนดูอยู่ทั้งวัน ก็ไม่จัดว่าเป็นการทรมานตัวเอง แต่เป็นการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นตัวที่จะชี้ขาดว่า ที่เราทำอยู่นี้เป็นการปฏิบัติธรรมจริงหรือเปล่า อยู่ที่เรามีสติจริงหรือเปล่า หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 กุมภาพันธ์ 2568
-
ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตกับการปฏิบัติธรรมนี่มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ แต่เราต้องเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรมก่อน ทุกวันนี้เราเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรมนี่มั่วมากเลยแคบมากไป คิดว่าต้องไปวัด นุ่งขาวห่มขาว ต้องนั่งสมาธิ ต้องเดินจงกรม ถึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม ที่จริงธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน เอาไปใช้ได้จริงๆ ในชีวิตของเรานี่ล่ะ อย่างฆราวาสเราก็ปฏิบัติธรรมแบบฆราวาส พระก็มีปฏิบัติธรรมแบบพระ คนที่ต้องการอยู่กับโลก ก็ปฏิบัติธรรมแบบที่จะอยู่กับโลก แล้วมีความสุขความเจริญ คนที่อยากพ้นโลกก็ปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง ทีนี้เราไปคิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องนั่งสมาธิ เดินจงกรม ต้องทำสมถะ ต้องวิปัสสนา มันก็ถูกแต่ถูกเสี้ยวเดียวส่วนเดียว ที่จริงการปฏิบัติธรรมกับการดำรงชีวิตเป็นอันเดียวกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 กุมภาพันธ์ 2568
-
พยายามศึกษาธรรมะ ศึกษาให้ดี อย่าศึกษาทางโซเชียลอย่างเดียว ธรรมะเพี้ยนๆ มากมายเหลือเกิน ถ่ายทอดกันออกไปเยอะแยะเลย สอนปริยัติเพี้ยนบ้าง สอนปฏิบัติเพี้ยนบ้าง บางทีพวกสอนปฏิบัติเพี้ยนก็น่ากลัว อันตรายกับคนที่เรียน คนสอนก็เป็นบ้า คนเรียนก็เป็นบ้าไปก็มี ไม่ใช่ไม่มี ปริยัติเพี้ยนนี่ยิ่งหนักใหญ่ พระไตรปิฎกเสียหายไป เกิดสัทธรรมปฏิรูป ปฏิบัติผิด ก็ผิดเฉพาะตัว ถ้าเอาไปสอนต่อก็ผิดต่อ แต่ปริยัติผิดแล้วเผยแพร่ออกไป คนทรงจำไว้ก็อันตราย คนยุคนี้ก็ไม่มีการศึกษาธรรมะ ก็งมงาย ใครเขาพูดอะไรหวือๆ หวาๆ ตื่นเต้น เชื่อถือ หลายเรื่อง พูดกันแล้วมันดูเท่ ดูทันสมัย ดูไม่งมงายอะไรอย่างนี้ แต่มันไม่ถูกธรรม ไม่ถูกวินัย ก็เผยแพร่กันเยอะ ต้องระมัดระวัง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 กุมภาพันธ์ 2568
-
รู้ด้วยใจปกติเลย อย่าไปทำใจให้ผิดปกติ จิตใจปกติในการที่เราจะใช้ปฏิบัติธรรม จิตปกติของเราพระพุทธเจ้าท่านเรียกจิตเดิม จิตธรรมดาของเรานี่เอง มันประภัสสรอยู่แล้ว มันผ่องใส แต่มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา แค่อยากปฏิบัติมีโลภะเกิดขึ้น จิตก็ผิดปกติแล้ว เราจะใช้จิตใจของคนธรรมดานี่ล่ะ ปกติอย่างนี้ เรียนรู้กายเรียนรู้ใจ อย่างร่างกายเราหายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก รู้ด้วยจิตปกติ ไม่ต้องวางฟอร์มเป็นนักปฏิบัติ ต้องไม่เหมือนคนธรรมดาอะไร นี่เข้าใจผิดอย่างยิ่งเลย เสียเวลา อย่างขณะนี้ร่างกายเรานั่งอยู่ ยากไหมที่จะรู้ว่าตอนนี้นั่งอยู่ ไม่เห็นยากเลย ตอนนี้ขยับส่ายหัวอย่างนี้ ส่ายหน้า รู้สึก รู้สึกด้วยใจปกติใจธรรมดา ฉะนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากเพราะเรามีความเห็นที่ว่าการปฏิบัติต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ อย่างนี้ถูก อย่างนี้ไม่ถูก สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่าสีลัพพตปรามาส หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 26 มกราคม 2568
-
จิตมันก็ทำงานไปตามธรรมชาติ แล้วมันก็ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ปรุงดี ปรุงชั่ว ไปตามเรื่องของมัน หน้าที่เราคืออ่านจิตใจตัวเองให้ออก การดูจิต เราไม่ได้ดูเพื่อละกิเลส เพราะถ้าเมื่อไรมีสติ รู้ทันจิตใจตัวเอง มันไม่มีกิเลสจะให้ละ เพราะฉะนั้นเราเจอกิเลส เรื่องเล็กมากเลย มีสติรู้ปุ๊บ กิเลสดับเองเลย ไม่ต้องหาทางละกิเลส หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 มกราคม 2568
-
ที่เรามาภาวนาไม่ใช่เพื่อจะเหนือธรรมดา แต่เราภาวนาเพื่อให้จิตใจมันเห็นความจริงซ้ำแล้วซ้ำอีก ความจริงในร่างกาย ความจริงในจิตใจ พอเห็นความจริงจนกระทั่งมันยอมรับว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ล่ะ ธรรมดาต้องแก่ พอแก่เราก็ยอมรับได้ เราไม่ทุกข์ ธรรมดาต้องเจ็บต้องป่วย ยอมรับได้ เจ็บป่วยขึ้นมาเราก็ไม่ทุกข์ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาจะต้องตาย ถ้าจะตายเราก็ไม่ทุกข์ ถือว่าธรรมดา ในด้านจิตใจ เราก็ประสบกับอารมณ์ที่พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ว่าเราจะเจอแต่อารมณ์ที่ถูกใจอย่างเดียว อารมณ์ที่ไม่ถูกใจเราก็ต้องเจอ ถ้าใจเรายอมรับความจริงได้ เวลากระทบอารมณ์ จิตมันจะค่อยเป็นกลาง กระทบอารมณ์แล้วก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ใจมันยอมรับได้ เสียงมากระทบหู จะเสียงชมหรือเสียงด่า มันก็แค่เสียงเหมือนกัน มาแล้วมันก็ไป เราพยายามฝึกกรรมฐานไม่ได้ฝึกเพื่อจะอยู่เหนือธรรมดา แต่ฝึกเพื่อให้ยอมรับธรรมดา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 มกราคม 2568
-
ต้องสำรวจใจของเราเองบ่อยๆ ถ้าเราอ่านใจตัวเองออก สังเกตบ่อยๆ แล้วสติ สมาธิ ปัญญาของเราจะดีขึ้น หัดอ่านใจตัวเองไว้ ใจเราขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ต้องสนใจที่อื่นหรอก สนใจใจของเราเอง ถ้าเราคอยสังเกตใจของเรา ใจเป็นอกุศลก็รู้ ใจเป็นกุศลก็รู้ สังเกตไปเรื่อยๆ มันโลภขึ้นมาก็รู้ มันโกรธขึ้นมาก็รู้ มันหลงขึ้นมาก็รู้ รับรองว่าพัฒนาแน่นอน ถ้าสังเกตอย่างนี้ เพราะการที่เราคอยสังเกตจิตใจของเราเองว่ามีอกุศลไหม เป็นกุศลหรือยัง คอยสังเกตไป มันคือการเจริญสัมมาวายามะ ถ้าสัมมาวายามะเราทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์ สัมมาสติเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ สัมมาสมาธิเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก ก็จะทำให้การเจริญปัญญาสมบูรณ์ขึ้นมา มีสัมมาญาณะ มีสัมมาวิมุตติ เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 18 มกราคม 2568
- Laat meer zien