Afleveringen
-
พวกเราชาวพุทธทั้งหลายฝึกเดินในเส้นทางที่พระพุทธเจ้าสอน รู้ทุกข์คือรู้กายรู้ใจของตัวเอง อย่าละเลย รู้เรื่อยๆ จนวันหนึ่งเห็นความจริง ร่างกายจิตใจของเราเป็นแต่ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตมันจะเบื่อหน่ายคลายความยึดถือ พอมันไม่ยึดถือมันหลุดพ้น ต่อไปร่างกายจะแก่จิตไม่สะเทือนเลย ร่างกายจะเจ็บจิตไม่หวั่นไหว ร่างกายจะตายจิตบางทีเบิกบานด้วยซ้ำไป ตัวทุกข์มันจะแตกแล้ว จิตที่ฝึกอบรมดีแล้วนำความสุขมาให้เรา แล้วการจะฝึกอบรมให้ดีก็คือการรู้ทุกข์นั่นล่ะ ดีที่สุดเลย หัดรู้สภาวะเรื่อยๆ แล้วสัมมาสติก็เกิด สัมมาสติเกิดเมื่อไร สัมมาสมาธิก็เกิด มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะคือการเจริญปัญญาก็จะเกิด ไม่ได้คิดเอา แต่ต้องเห็นสภาวะเอา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดเขาบางทราย พระอารามหลวง 22 กุมภาพันธ์ 2568 (ช่วงเย็น)
-
ขั้นแรกฝึกให้จิตใจอยู่กับตัวเองก่อน หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว ถ้าต้องการให้จิตพักผ่อนก็สงบลงไปอยู่ที่ลมหายใจ หรือที่อารมณ์กรรมฐาน ถ้าพักผ่อนพอแล้วก็จะอัปเกรดขึ้นมา จิตเราเคลื่อนไหวไปมา เรามีสติรู้ จิตหลงไปคิดก็รู้ หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดม หลงไปรู้สัมผัสทางกายอะไรก็รู้ รู้ทันจิตไป หรือจิตไหลไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานก็รู้ ตรงนี้ตรงที่เรารู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา จิตที่ไหลไปไหลมา เป็นจิตที่มีโมหะ มีความฟุ้งซ่านเรียกว่าอุทธัจจะ แล้วทันทีที่เราเห็นจิตไหลไปไหลมา จิตที่ไหลไปไหลมามันดับอัตโนมัติ มันจะเกิดจิตตั้งมั่นอัตโนมัติขึ้นมา พอจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว คราวนี้มันเดินปัญญาได้จริงแล้ว พอจิตเราตั้งมั่น เวลาสติรู้ร่างกายนี้ เราจะรู้เลยว่าร่างกายมันของถูกรู้ถูกดู ร่างกายไม่ใช่เรา สติระลึกรู้เวทนา เวทนาถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่เรา สติรู้สังขาร ความปรุงดีชั่วทั้งหลาย ก็เห็นความปรุงแต่งทั้งหลาย โลภ โกรธ หลงอะไร ไม่ใช่เรา เป็นสภาวะอันหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วต่อมาก็เรียน มันก็จะประณีตขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาถึงจิตถึงใจตัวเอง เห็นจิตเกิดทางตาแล้วก็ดับ เกิดทางหูแล้วก็ดับ เกิดทางใจแล้วก็ดับ จิตรู้เกิดแล้วก็ดับ จิตคิดเกิดแล้วก็ดับ จิตเพ่งเกิดแล้วก็ดับ จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับหมดเลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 กุมภาพันธ์ 2568
-
หัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ เริ่มต้นเรารู้คู่ใดคู่หนึ่งก็พอแล้ว เช่น จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ จิตโลภกับจิตไม่โลภ ตอนนี้อยาก ตอนนี้เฉยๆ อย่างนี้ หัดดูสิ่งที่เป็นคู่ๆ ตอนนี้สุข ตอนนี้ทุกข์ ตอนนี้สุข ตอนนี้เฉยๆ อันนี้ก็เป็นเซ็ตหนึ่งมี 3 ตัว สุข ทุกข์ เฉยๆ หัดเรียนกรรมฐานเรียนเซ็ตเดียวพอ คู่เดียวพอแล้ว อย่างเห็นจิตโกรธกับจิตไม่โกรธ ทั้งวันก็มีแต่จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ ถ้าเราดูตัวอยากทั้งวัน ก็มีแค่ตอนนี้อยากตอนนี้ไม่ได้อยาก ก็มีแค่นี้เอง หัดดูอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วเราจะเห็นว่าจิตเราเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เดี๋ยวเหวี่ยงซ้าย เดี๋ยวเหวี่ยงขวา เดี๋ยวอยาก เดี๋ยวไม่อยาก เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวไม่โกรธ ตรงที่มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา มันกำลังสอนไตรลักษณ์เรา จิตอยากก็ไม่คงที่ จิตไม่อยากก็ไม่คงที่ เห็นไหมจิตโกรธก็ไม่คงที่ จิตไม่โกรธก็ไม่คงที่ ฉะนั้นเวลาเรียนธรรมะ เรียนเป็นคู่ คู่เดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียนเยอะหรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 16 กุมภาพันธ์ 2568
-
ถ้าเราจะใช้อานาปานสติทำวิปัสสนาทำอย่างไร เราก็ใช้เน้นที่ความรู้สึกตัว แทนที่จะน้อมจิต ให้มันไปแนบอยู่ที่ตัวอารมณ์ ค่อยๆ สังเกตไป อย่างเวลาเราหายใจ ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ แล้วพอจิตมันหลง หนีไปคิดเรื่องอื่น ก็ให้รู้ทันว่าจิตหลงไปแล้ว ไม่ว่ามัน จิตหลงไปแล้ว โยนมันทิ้งไป ไม่ต้องไปดึงคืน อย่าไปหวง จิตที่หลงเป็นอกุศล อย่าไปหวงมัน โยนมันทิ้งไป กลับมาทำความรู้สึกใหม่ มาหายใจใหม่ หายใจไป หายใจไป แล้วเห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ฝึกอย่างนี้ มันจะมีจิตใจที่เป็นคนดู กับมีร่างกายที่หายใจ มันจะเป็น 2 อัน ถ้ามันแยก 2 อันได้ พอสติระลึกรู้ร่างกาย แต่จิตเป็นคนดูอยู่นี้ ปัญญามันจะเกิด จะเกิดวิปัสสนาปัญญา จะเห็นร่างกายไม่ใช่จิต ร่างกายเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ร่างกายไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ไหลเข้าไหลออกไปเรื่อยๆ จิตเป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 กุมภาพันธ์ 2568
-
จุดสำคัญอยู่ที่การพยายามพัฒนากุศลของเราให้เจริญขึ้น พยายามลดละอกุศลไป วิธีที่กุศลจะเจริญได้ดี คืออ่านใจตัวเองให้ออก ถ้าอ่านใจตัวเองออก กุศลจะเจริญอย่างรวดเร็วเลย อย่างเราเห็นใจเรามีโทสะ พอเรารู้ทันโทสะ โทสะดับเลย เราก็ไม่ผิดศีล ไม่ไปตีใคร ไม่ไปเผาบ้านเผาอะไรเขา ไม่เป็น เพราะจิตไม่ได้มีความคิดประทุษร้าย เห็นไหมถ้าเรามีสติอ่านจิตตัวเองออก การถือศีลจะไม่ใช่เรื่องยาก การทำสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องยาก เราจะทำสมาธิ ถ้าเราทำด้วยความโลภ เราอ่านใจตัวเองไม่ออก ว่านั่งอยู่นี่อยากสงบ บางคนยิ่งกว่าอยากสงบ อยากรู้ อยากเห็น อยากโน้นอยากนี้ เราทำสมาธิก็มีสติรู้ทันใจเรา สมาธิของเรานี้เจือความโลภหรือเปล่า หรือตอนที่ทำนี้เจือโทสะไหม ไม่ยอมสงบเสียทีก็โมโห อ่านจิตตัวเองให้ออก แล้วจิตเราเป็นกลาง ทำสมาธิแป๊บเดียวก็สงบแล้ว เจริญปัญญา ถ้าไม่มีสติ ก็ไม่ต้องพูดเรื่องเจริญปัญญา การเจริญปัญญาได้ อาศัยสติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม พอสติระลึกรู้ จิตอย่าจมลงไป จิตต้องตั้งมั่นเป็นแค่คนเห็นสภาวะ พอจิตเราตั้งมั่น แล้วสติระลึกลงไปที่ร่างกาย สติระลึกรู้เวทนา สติระลึกรู้เห็นกุศลอกุศล มันก็จะเห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเราตั้งมั่นอยู่ เรารู้ทันจิตที่เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เห็นไตรลักษณ์เหมือนกัน ฉะนั้นสติสำคัญ แล้วศีลจะดีก็ต้องมีสติ สมาธิจะดีก็ต้องมีสติ เจริญปัญญาก็ต้องมีสติ ขาดสติตัวเดียว ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องพูดถึงแล้ว กระพร่องกระแพร่ง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กุมภาพันธ์ 2568 (ช่วงบ่าย)
-
ในสติปัฏฐาน 4 ไม่ว่าเราจะทำหมวดใดหมวดหนึ่ง จะทำกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทั้ง 4 ฐานนี้ มันรู้ทั้งกาย รู้ทั้งจิต เพราะฉะนั้นทำเพียงฐานใดฐานหนึ่ง สามารถทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เริ่มต้นทำจากฐานใดก็ได้ แล้วถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ทุกฐาน ทั้ง 4 ฐานนี้ ไม่ใช่ว่าต้องทำทีละฐานให้ครบ 4 ฐาน แต่บางท่านทำ 4 ฐานเลย แล้วแต่จริตนิสัย ถ้าเราไม่ได้แกร่งกล้าขนาดนั้น ฐานเดียวทำให้จริงก็จบได้เหมือนกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กุมภาพันธ์ 2568 (ช่วงเช้า)
-
โยนิโสมนสิการ พวกเราทิ้งไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคนี้คนพูดธรรมะ คนเผยแพร่ธรรมะเยอะแยะไปหมดเลย แต่ละแห่งแต่ละที่ก็พูดถึงธรรมะอันเดียวกันทั้งนั้น แต่ถ้าเรามีโยนิโสมนสิการ เราจะรู้ว่ามันไม่เหมือนกันหรอก บางคนพูดเหมือนกัน บอกให้มีสติรู้กายรู้ใจ ปรากฏว่าแทนที่จะมีสติรู้กายรู้ใจ กลับไปเพ่งกายเพ่งใจ เกือบร้อยละร้อยของคนปฏิบัติคือพวกนักเพ่ง ไม่ใช่พวกที่จะรู้กายรู้ใจด้วยสติจริง แต่มันเป็นสติที่เจือด้วยโลภะ เป็นการบังคับตัวเอง ทำอัตตกิลมถานุโยค ไม่ได้เดินในทางสายกลาง ฉะนั้นถ้าเรามีโยนิโสมนสิการเราต้องสังเกตตัวเอง อย่างน้อยเราก็ต้องสังเกตได้ว่าที่เราปฏิบัติมา อกุศลที่มีอยู่ลดละลงไปไหม อกุศลใหม่ เกิดยากขึ้นหรือเปล่า กุศลเกิดขึ้นบ่อยไหม อย่างสติเกิดบ่อยไหม ความเข้าใจคือปัญญา ความรู้ถูกเข้าใจถูกในสภาวะต่างๆ มีมากขึ้นไหม กุศลเกิดขึ้นหรือเปล่า กุศลที่เกิดแล้วพัฒนาขึ้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการเป็นเรื่องสำคัญมากเลย ยิ่งในยุคนี้เราไม่รู้ว่าท่านผู้ใดคือกัลยาณมิตร ต้องใช้คำนี้เลย เราไม่รู้หรอกว่าท่านใดเป็นกัลยาณมิตร เพราะว่ายุคนี้พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่มีใครออกใบเซอร์ได้ว่าคนที่ผ่านแล้ว คนนี้เป็นพระอริยะชั้นนั้นชั้นนี้ เชื่อถือได้อะไรอย่างนี้ เชื่อไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 กุมภาพันธ์ 2568
-
นั่งสมาธิได้ครั้งละหลายๆ ชั่วโมง แต่ไม่มีสติรู้กายรู้ใจของตัวเอง นั่งแล้วเคลิ้มๆ ก็นั่งทรมานตัวเองเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไร หรือเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่มีสติรู้กายรู้ใจ ก็เดินเหนื่อยเปล่า เพราะฉะนั้นตรงอัตตกิลมถานุโยค ทรมานตัวเอง ไม่ได้นับที่เวลาหรอก แต่นับที่มีสติในการปฏิบัติหรือเปล่า ถ้าขาดสติในการปฏิบัติ แล้วก็ไปนั่งกำหนดลมหายใจ ดูท้อง ดูมือ ดูเท้า ดูลม 5 นาที มันก็คือทรมานตัวเอง 5 นาที แต่ถ้าเรามีสติอยู่ เห็นร่างกายหายใจ เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง ใจเป็นแค่คนรู้คนดูอยู่ทั้งวัน ก็ไม่จัดว่าเป็นการทรมานตัวเอง แต่เป็นการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นตัวที่จะชี้ขาดว่า ที่เราทำอยู่นี้เป็นการปฏิบัติธรรมจริงหรือเปล่า อยู่ที่เรามีสติจริงหรือเปล่า หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 กุมภาพันธ์ 2568
-
ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตกับการปฏิบัติธรรมนี่มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ แต่เราต้องเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรมก่อน ทุกวันนี้เราเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรมนี่มั่วมากเลยแคบมากไป คิดว่าต้องไปวัด นุ่งขาวห่มขาว ต้องนั่งสมาธิ ต้องเดินจงกรม ถึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม ที่จริงธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน เอาไปใช้ได้จริงๆ ในชีวิตของเรานี่ล่ะ อย่างฆราวาสเราก็ปฏิบัติธรรมแบบฆราวาส พระก็มีปฏิบัติธรรมแบบพระ คนที่ต้องการอยู่กับโลก ก็ปฏิบัติธรรมแบบที่จะอยู่กับโลก แล้วมีความสุขความเจริญ คนที่อยากพ้นโลกก็ปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง ทีนี้เราไปคิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องนั่งสมาธิ เดินจงกรม ต้องทำสมถะ ต้องวิปัสสนา มันก็ถูกแต่ถูกเสี้ยวเดียวส่วนเดียว ที่จริงการปฏิบัติธรรมกับการดำรงชีวิตเป็นอันเดียวกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 กุมภาพันธ์ 2568
-
พยายามศึกษาธรรมะ ศึกษาให้ดี อย่าศึกษาทางโซเชียลอย่างเดียว ธรรมะเพี้ยนๆ มากมายเหลือเกิน ถ่ายทอดกันออกไปเยอะแยะเลย สอนปริยัติเพี้ยนบ้าง สอนปฏิบัติเพี้ยนบ้าง บางทีพวกสอนปฏิบัติเพี้ยนก็น่ากลัว อันตรายกับคนที่เรียน คนสอนก็เป็นบ้า คนเรียนก็เป็นบ้าไปก็มี ไม่ใช่ไม่มี ปริยัติเพี้ยนนี่ยิ่งหนักใหญ่ พระไตรปิฎกเสียหายไป เกิดสัทธรรมปฏิรูป ปฏิบัติผิด ก็ผิดเฉพาะตัว ถ้าเอาไปสอนต่อก็ผิดต่อ แต่ปริยัติผิดแล้วเผยแพร่ออกไป คนทรงจำไว้ก็อันตราย คนยุคนี้ก็ไม่มีการศึกษาธรรมะ ก็งมงาย ใครเขาพูดอะไรหวือๆ หวาๆ ตื่นเต้น เชื่อถือ หลายเรื่อง พูดกันแล้วมันดูเท่ ดูทันสมัย ดูไม่งมงายอะไรอย่างนี้ แต่มันไม่ถูกธรรม ไม่ถูกวินัย ก็เผยแพร่กันเยอะ ต้องระมัดระวัง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 กุมภาพันธ์ 2568
-
รู้ด้วยใจปกติเลย อย่าไปทำใจให้ผิดปกติ จิตใจปกติในการที่เราจะใช้ปฏิบัติธรรม จิตปกติของเราพระพุทธเจ้าท่านเรียกจิตเดิม จิตธรรมดาของเรานี่เอง มันประภัสสรอยู่แล้ว มันผ่องใส แต่มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา แค่อยากปฏิบัติมีโลภะเกิดขึ้น จิตก็ผิดปกติแล้ว เราจะใช้จิตใจของคนธรรมดานี่ล่ะ ปกติอย่างนี้ เรียนรู้กายเรียนรู้ใจ อย่างร่างกายเราหายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก รู้ด้วยจิตปกติ ไม่ต้องวางฟอร์มเป็นนักปฏิบัติ ต้องไม่เหมือนคนธรรมดาอะไร นี่เข้าใจผิดอย่างยิ่งเลย เสียเวลา อย่างขณะนี้ร่างกายเรานั่งอยู่ ยากไหมที่จะรู้ว่าตอนนี้นั่งอยู่ ไม่เห็นยากเลย ตอนนี้ขยับส่ายหัวอย่างนี้ ส่ายหน้า รู้สึก รู้สึกด้วยใจปกติใจธรรมดา ฉะนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากเพราะเรามีความเห็นที่ว่าการปฏิบัติต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ อย่างนี้ถูก อย่างนี้ไม่ถูก สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่าสีลัพพตปรามาส หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 26 มกราคม 2568
-
จิตมันก็ทำงานไปตามธรรมชาติ แล้วมันก็ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ปรุงดี ปรุงชั่ว ไปตามเรื่องของมัน หน้าที่เราคืออ่านจิตใจตัวเองให้ออก การดูจิต เราไม่ได้ดูเพื่อละกิเลส เพราะถ้าเมื่อไรมีสติ รู้ทันจิตใจตัวเอง มันไม่มีกิเลสจะให้ละ เพราะฉะนั้นเราเจอกิเลส เรื่องเล็กมากเลย มีสติรู้ปุ๊บ กิเลสดับเองเลย ไม่ต้องหาทางละกิเลส หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 มกราคม 2568
- Laat meer zien