Afleveringen
-
Zijn er afleveringen die ontbreken?
-
การที่เรายังยึดติดในกายในใจ เรายังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องหมดความยึดติดในกายในใจ เราถึงจะพ้นไป โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือรูปนาม หมู่สัตว์มันก็คือรูปกับนามนั่นล่ะ ฉะนั้นจิตเราจะพ้นจากโลกได้ พ้นจากความเป็นสัตว์ได้ ก็ต้องหมดความยึดถือในรูปนาม ถ้าเรายังยึดกายอยู่ เราก็ยังติดกาม หรือติดรูปฌาน ถ้าเรายึดจิตอยู่ก็ยังไปติดอยู่ในอรูปฌานได้ ทําอย่างไรเราจะไม่ยึดในรูปในนาม เราต้องเห็นความจริงของรูปนาม ต้องเห็นความจริงของร่างกายของจิตใจ ว่ามันไม่ใช่ของดีของวิเศษ ร่างกายเต็มไปด้วยความไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยอนัตตา บังคับมันไม่ได้ มันเป็นแค่วัตถุธาตุ ร่างกายเป็นแค่ธาตุที่หมุนเวียน มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก พอเราเห็นอย่างถ่องแท้มีสติระลึกรู้ร่างกาย มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราก็จะเห็นความจริงของร่างกาย มีแต่ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้าเห็นถ่องแท้แล้วจิตก็หมดความยึดถือในร่างกาย แล้วเราก็ภาวนาของเราต่อไป วางกายได้แล้ว งานสุดท้ายก็คือจิต ทวนเข้ามาที่จิตสังเกตเข้าไปที่จิต จิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 สิงหาคม 2567
-
สิ่งที่เป็นภัยมากที่สุดคือตัวมิจฉาทิฏฐิ ยิ่งพวกเซลฟ์จัด แล้วก็จัดแบบไม่รู้ถูก ความถูกต้อง เผยแพร่ออกไป พวกนี้อันตราย ระมัดระวังของเรา ความชั่วทั้งหลายอย่าไปทำ ความดีมีโอกาสทำ ให้รีบทำเสีย อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป น่าเสียดาย ควรจะทำดีได้ 10,000 ครั้ง ก็ปล่อยเวลาทิ้งไป เลยได้ 9,000 ครั้ง น่าเสียดาย ขาดทุน พวกเรามีโอกาสเรียนธรรมะ ก็ตั้งอกตั้งใจเรียน สิ่งที่เราจะได้มาคือตัวสัมมาทิฏฐิ สิ่งที่เราจะหมดไปสิ้นไปคือตัวมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีอะไรมีโทษร้ายแรงเท่ามิจฉาทิฏฐิ ร้ายกาจ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แล้วก็ตัวเองไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แล้วชวนคนอื่นให้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีไปด้วย มันเป็นกรรมซ้ำซ้อน มากมายเหลือเกิน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 สิงหาคม 2567
-
เครื่องมือสำคัญที่เราจะอ่านความปรุงแต่งของจิตออก มีเครื่องมือหลักๆ 2 ตัว สติกับสมาธิ สติเป็นตัวรู้ทัน สังเกตจิตใจเรามีความปรุงแต่งใดๆ เกิดขึ้นให้รู้ทัน ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ให้รู้ทัน ปรุงเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ให้รู้ทัน ปรุงดี ปรุงชั่ว ให้รู้ทัน หัดรู้ทันความปรุงแต่งไป แล้วต่อไปเราจะเห็นความปรุงแต่งกับจิตมันทำงานด้วยกัน เกิดมาด้วยกัน แต่มันเป็นคนละอันกัน ความโกรธก็อันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง ความโลภกับจิตก็คนละอัน ความหลงกับจิตก็คนละอันกัน เพราะธรรมชาติของจิตนั้นผ่องใส แต่ว่าสิ่งปรุงแต่งนี้ทำให้จิตเรามอมแมมไป หัดรู้หัดดูไป หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 สิงหาคม 2567
-
ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก แต่ถ้าส่งออกนอกแล้วเราไม่รู้ทัน มันก็จะเป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จิตที่ออกนอกมันไปด้วยกำลังของตัณหา มันผลักดันออกไป ผลที่ตามมาคือทุกข์ทั้งสิ้น มีภาระทางใจเกิดขึ้นเรียกว่าทุกข์ ท่านก็เลยสอนบอกว่าอย่าส่งจิตออกนอก แต่ธรรมดาจิตย่อมส่งออกนอก แต่เมื่อจิตส่งออกนอกแล้วให้มีสติรู้ทัน ตรงนั้นล่ะท่านบอกอันนั้นคือการเจริญมรรค ถ้าจิตออกนอกแล้วเรามีสติรู้ทัน ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้น เวลาจิตส่งออกไป ถ้าเราไม่มีสติกิเลสจะเกิด ในทางกลับกัน ถ้าจิตออกนอกแล้วเรารู้ทัน จิตหลงไปดูรูป รู้ว่าจิตหลงไปดูรูป จิตที่หลงไปดูรูปจะดับ จะเกิดจิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา จิตหลงไปฟังเสียงแล้วเรามีสติรู้ทันว่าจิตหลงไปฟังเสียง จิตที่หลงไปฟังเสียงก็จะดับ ก็จะเกิดจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา จะเกิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นตรงที่เรามีสติรู้ทันจิตที่ส่งออกนอก จิตที่ส่งออกนอกจะดับ แล้วจะเกิดจิตที่ตั้งมั่นขึ้นมาแทน ตรงจิตออกนอกเรารู้ทัน กิเลสจะครอบงำจิตเราไม่ได้ ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น เพราะคนทำผิดศีลเพราะถูกกิเลสครอบงำ แล้วจิตออกนอกเรามีสติรู้ทัน จิตที่ออกนอกดับ จิตที่ตั้งมั่นจะเกิดขึ้นมาแทนที่ สมาธิที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้น แล้วต่อไปถ้าจิตออกนอกอีกเราก็รู้อีก ต่อไปปัญญาจะเกิด มันก็จะเห็นจิตที่ออกนอกมันก็ไม่เที่ยง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 18 สิงหาคม 2567
- Laat meer zien