Afleveringen
-
1. ไต้หวันขาดแคลน “อาจารย์ใหญ่” วิทยาลัยแพทยศาสตร์กังวลกระทบต่อการฝึกผ่าตัดของนักศึกษาแพทย์
วิทยาลัยแพทยศาสตร์ของไต้หวันกำลังประสบปัญหาขาดแคลน "อาจารย์ใหญ่" เพราะคนไต้หวันยังคงยึดถือความเชื่อดั้งเดิมที่แม้เสียชีวิตแล้ว ก่อนจะฌาปนกิจร่างกายของผู้วายชนม์ต้องให้มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง 32 ประการ แม้ในช่วงหลายปีมานี้มีผู้แสดงความประสงค์จะบริจาคร่างกายเพิ่มขึ้นแต่ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยในปัจจุบันอัตราส่วนของนักศึกษาแพทย์ : อาจารย์ใหญ่ อยู่ที่ 15 : 1 ในขณะที่อัตราส่วนที่เหมาะสมต้องอยู่ที่ 10 : 1
"อาจารย์ใหญ่" หรือภาษาจีนคือ 大體老師 ซึ่งก็คือร่างกายอันไร้วิญญาณที่อุทิศเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนและค้นคว้าวิจัยทางกายวิภาคศาสตร์ (ภาพจาก msc.tcu.edu.tw)
"อาจารย์ใหญ่" ภาษาจีนเรียกว่า ต้าถี่เหล่าซือ (大體老師) ซึ่งก็คือร่างกายอันไร้วิญญาณที่อุทิศเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนและค้นคว้าวิจัยทางกายวิภาคศาสตร์ จัดเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ดีที่สุดที่ไม่สามารถจะหาสื่อการสอนใดมาทดแทนได้ เพราะเป็นการศึกษาจากของจริงซึ่งนักศึกษาแพทย์สามารถเรียนรู้จากการปฏิบัติและประสบการณ์จริงจากร่างกายของอาจารย์ใหญ่โดยตรงผ่านการชำแหละและศึกษาโครงสร้างที่สลับซับซ้อนอย่างละเอียดลออทุกส่วน ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ลึกซึ้ง เพราะนอกจากการเรียนรู้ในภาคทฤษฎีโดยการอ่านตำราและเข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ในห้องเรียนแล้ว ซึ่งจะทำให้นักศึกษาแพทย์ได้พัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดหรือทำหัตถการจนกลายเป็นแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถในการรักษาคนไข้ต่อไปในอนาคต
วิทยาลัยแพทยาศาสตร์ของไต้หวันเริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR และ VR ในการเรียนรู้และฝึกฝนของนักศึกษาแพทย์ (ภาพจาก ncku.edu.tw)
อาจารย์แพทย์จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ของไต้หวันหลายท่านตระหนักถึงปัญหานี้และกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการฝึกปฏิบัติทักษะหัตถการหรือฝึกผ่าตัดของนักศึกษาแพทย์ จึงได้พยายามหาทางแก้ไขโดยเข้าพบและขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางและส่วนท้องถิ่น หวังจะขอรับศพไร้ญาติมาให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนและค้นคว้าวิจัยทางกายวิภาคศาสตร์ รวมถึงใช้ในการฝึกผ่าตัด แต่ไม่สามารถทำได้เพราะมีปัญหาในเรื่องของกฎหมาย จึงทำให้ปัญหาขาดแคลน “อาจารย์ใหญ่” ยังไม่ได้รับการแก้ไข ในขณะที่มีหลายฝ่ายเสนอให้ใช้รูปแบบของประเทศตะวันตกที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR (Augmented reality) ซึ่งก็คือ การนำเทคโนโลยีมาผสานระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและความเสมือนจริงเข้าด้วยกัน และ เทคโนโลยี VR (Virtual Reality) หรือการจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนผ่านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาทดแทน แต่อาจารย์แพทย์หลายคนแสดงความเห็นว่า เทคโนโลยี AR และ VR ไม่สามารถสะท้อนความหลากหลายและความละเอียดอ่อนของอวัยวะในร่างกายมนุษย์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าตัดจะเกี่ยวข้องอวัยวะโดยรอบ หากแพทย์ไม่มีความชำนาญจะทำให้อวัยวะส่วนอื่นๆได้รับความเสียหายและทำให้ผู้ป่วยต้องใช้เวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดยาวนาน
อาจารย์แพทย์หลายคนมองว่าเทคโนโลยีARและVR ไม่สามารถสะท้อนความหลากหลายและความละเอียดอ่อนของอวัยวะในร่างกายมนุษย์ได้ ยังจำเป็นต้องใช้อาจารย์ใหญ่ในการศึกษาเรียนรู้และฝึกฝนของนักศึกษาแพทย์ต่อไป (ภาพจาก technews.tw)
ดังนั้นเทคโนโลยี AR และ VR เป็นเพียงตัวช่วยแต่ไม่สามารถทดแทน "อาจารย์ใหญ่" ได้ นอกจากนี้ยังมีเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งก็คือ อุปกรณ์เหล่านี้ราคาแพงมาก และมีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอสำหรับความต้องการในการฝึกหัดของนักศึกษาแพทย์ จึงหวังว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนค่านิยมและหันมาบริจาคร่างกายกันมากขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์
2. โหลดติดตั้งหรือยัง? ตัดสายมิจร้ายยุค AI ด้วย Whoscall แอปบล็อกเบอร์สุดเทพจากไต้หวัน คนไทยติดตั้งมากเป็นอันดับ 1 ตามด้วยคนไต้หวัน
ปัจจุบันมิจฉาชีพเยอะแยะเต็มไปหมด คอยโทรและส่งข้อความ (SMS) มาหาเราตลอดเวลา ที่สำคัญมีการสรรหามุกใหม่ ๆ และทันต่อสถานการณ์มาหลอกกันได้ไม่เว้นวัน โดยมิจฉาชีพจะอาศัยความโลภและความตื่นตระหนกที่เป็นจุดอ่อนตามธรรมชาติของมนุษย์ หลอกล่อให้เหยื่อคลายความระมัดระวัง จนสุดท้ายโอนเงินออกจากบัญชีโดยลืมที่จะตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อน ในไต้หวันแม้จะมีการประชาสัมพันธ์และเพิ่มมาตรการเข้มงวด แต่รู้ไหม? จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจพบว่า เฉลี่ยแล้วในแต่ละวันยังมีคนไต้หวันถูกหลอกสูญเงิน 300 ล้านเหรียญไต้หวัน คนไทยก็ไม่แพ้กัน จากสถิติพบว่า คนไทยตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพวันละ 217,047 ราย มีคนรับสายจากมิจฉาชีพถึง 20.8 ล้านครั้ง และยังถูกหลอกลวงจากข้อความมากกว่า 58.3 ล้านข้อความ จัดได้ว่าสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
Whoscall แอปบล็อกเบอร์มิจฉาชีพยุค AI ยอดนิยมจากไต้หวัน คนไทยติดตั้งมากเป็นอันดับ 1 ตามด้วยคนไต้หวัน (ภาพประกอบจาก FB : Whoscall)
แล้วเราจะป้องกันถูกมิจฉาชีพหลอก กลายเป็นเหยื่อได้อย่างไร นอกจากตั้งสติ ไม่เชื่อ ไม่โลภและไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวแล้ว ยังมีวิธีที่ค่อนข้างได้ผล คือไม่รับสายเบอร์โทรที่ไม่คุ้นและไม่กดลิงก์ที่ส่งมาชักชวนล่อใจผ่านการส่งข้อความสั้นหรือ SMS ในมือถือ จะไม่รับก็กลัวเป็นเรื่องด่วนหรือเรื่องสำคัญ หากมีแอปช่วยกรองและแจ้งให้เราทราบเป็นเบอร์ของมิจฉาชีพ เบอร์ของบริษัทประกัน หรือเป็นเบอร์องค์กรไหน จะทำให้เราสบายใจและปลอดภัยมากขึ้น แอปที่ว่านี้ มีและให้โหลดใช้ฟรีด้วย เป็นแอปที่ชื่อว่า Whoscall จากไต้หวัน
Whoscall เป็นแอปพลิเคชันระบุหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก ซึ่งสามารถแจ้งได้ทันทีว่าใครโทรเข้ามา และยังช่วยกรองสายที่น่าสงสัยด้วยระบบ AI (ภาพจาก bangkokbiznews.com)
Whoscall เป็นแอปพลิเคชันที่ช่วยจัดการกรองและบล็อกหมายเลขโทรเข้าและการส่งข้อความ เช่น บริษัทประกัน ตัวแทนจำหน่ายบริษัทใหญ่ ๆ ฯลฯ มีฐานข้อมูลเบอร์มือถือทั่วโลกมากกว่า 2.2 พันล้านหมายเลข และยังมีการอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้สามารถอัปเดตข้อมูลเบอร์ใหม่ ๆ แปลก ๆ ที่มักจะติดต่อมายังเบอร์โทรของตนได้อยู่เสมอ แอปพลิเคชันนี้ ทำให้เราทราบถึงสายโทรเข้า หรือข้อความแปลก ๆ ที่ติดต่อเข้ามา และสามารถจัดการบล็อกเบอร์ติดต่อดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการค้นหาเบอร์ปลายทางได้ด้วยว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือเบอร์โทรสำนักงาน และจดทะเบียนกับผู้ให้บริการรายใดได้ด้วย
วิวัฒนาการกลลวงมิจฉาชีพ (ภาพจาก bangkokbiznews.com)
ก็เพราะทุกวันนี้ รอบตัวเราเต็มไปด้วยเหล่ามิจฉาชีพ ทำให้ Whoscall แอปพลิเคชันจากบริษัท Gogolook ซึ่งบริษัท Startup จากไต้หวันได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะหลังโควิด-19 Whoscall มียอดดาวน์โหลดทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านดาวน์โหลด เปิดให้ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรีใน 31 ประเทศทั่วโลก เป็นที่นิยมทั้งในไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น มาเลเซีย บราซิล รวมถึงไทย โดยประเทศไทยมีฐานผู้ใช้งานอยู่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือไต้หวัน
ด่านสุดท้ายก่อนมิจฉาชีพจะหลอกเอาเงินได้สำเร็จ คือต้องโทรศัพท์ติดต่อคุณหรือส่งข้อความ SMS หาคุณ Gogolook จะเตือนคุณว่า นี่คือสายเรียกเข้าหรือข้อความที่ มีความเสี่ยงสูง (ภาพจาก Taiwan Panorama)
Whoscall ก่อตั้งโดย 3 หนุ่มไต้หวัน ได้แก่เจิ้งเซิ่งเฟิง (鄭勝丰) กัวเจี้ยนฝู่ (郭建甫) และซ่งเจิ้งหวน (宋政桓) แรก ๆ ก็ไม่ได้ทำกันจริงจัง โดยใช้เวลาว่างมาทำงาน ในปี ค.ศ. 2012 ทั้ง 3 ตัดสินใจลาออกจากงานและหันมาทุ่มเทกับบริษัทอย่างเต็มตัว หลังจากสังเกตเห็นผู้คนพลางเดินพลางจ้องโทรศัพท์มือถือ จึงได้ผุดไอเดียตั้งชื่อบริษัทเป็นภาษาอังกฤษว่า “Gogolook” และใช้ “走著瞧” (โจ่วเจอะเฉียว) เป็นชื่อบริษัทในภาษาจีน ซึ่งมีความหมายว่า “เดินไปจ้องไป”
ในปี ค.ศ. 2023 Gogolook เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดการป้องกันการฉ้อโกงแห่งเอเชีย Anti-Scam Asia Summit (ASAS) ครั้งที่ 1 โดยได้เชิญสำนักงานตำรวจจากหลากหลายประเทศ และองค์กรอิสระมาร่วมหารือและแลกเปลี่ยนความเห็น (ภาพจาก Taiwan Panorama)
จากบริษัทที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นบริษัทที่มีคนนิยมใช้บริการ จากกิจการที่ดูกระท่อนกระแท่น จู่ ๆ ดันไปเตะตา บริษัท Naver เจ้าของแอปพลิเคชัน LINE และได้ร่วมลงทุนเป็นจำนวนเงินกว่า 529 ล้านเหรียญไต้หวัน จุดแข็งของ Gogolook คือความสามารถในการขจัดความไม่สบายใจและความกังวลที่มีต่อข้อความหรือสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จัก
Gogolook ลงนามบันทึกความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA) ของประเทศไทย (ภาพจาก Taiwan Panorama)
ในไต้หวัน บริษัท Gogolook มีกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นพันธมิตรหลักในประเทศ เมื่อผู้ใช้งานติดต่อกับมิจฉาชีพที่อยู่ในคราบผู้ให้บริการผ่อนชำระสินค้าออนไลน์ Whoscall จะปรากฏข้อความเตือนว่า “นี่คือหมายเลขโทรศัพท์ที่มีความเสี่ยงสูง” เรียกสติให้ผู้ใช้งานตรวจสอบรายละเอียดก่อนที่จะมีการโอนเงินออกไป ดังนั้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังแนะนำให้ผู้สูงอายุที่มักจะตกเป็นเหยื่อจากการหลอกให้โอนเงินให้ “ติดตั้งแอปพลิเคชัน Whoscall ในโทรศัพท์มือถือ เพื่อช่วยคัดกรองเบอร์โทรศัพท์มิจฉาชีพได้” นอกจากหน่อยงานตำรวจของไต้หวันแล้ว ยังมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติของประเทศไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง ต่างแนะนำให้ประชาชนติดตั้งแอปพ ลิเคชัน Whoscall ในโทรศัพท์มือถือเช่นกัน
-
1. คนไต้หวันงงชื่อไต้ฝุ่นกระท้อน! อุตุฯ ไขข้อข้องใจเป็นชื่อผลไม้ไทย พร้อมชี้ แทนที่ทุเรียนและมังคุด 2 ไต้ฝุ่นที่ถูกตัดชื่อออกจากบัญชี เพราะสร้างความเสียหายหนัก
ไต้ฝุ่นกระท้อน ในภาษาจีนเรียกพ้องเสียงตามชื่อภาษาอังกฤษ santol ออกเสียเป็นซันโทล พอมาเป็นภาษาจีนกลายเป็น ซานโถเอ่อ (山陀兒) เป็นชื่อที่คนไต้หวันไม่คุ้น มีคนถามกันเยอะเลยว่า เป็นชื่อไต้ฝุ่นที่ประเทศไหนตั้ง แปลว่าอะไร จนกรมอุตุนิยมวิทยาของไต้หวันต้องออกมาไขข้อข้องใจ ว่าเป็นชื่อที่ประเทศไทยเป็นผู้ตั้ง เป็นชื่อผลไม้อย่างหนึ่งของไทย มีผลสีเหลือง ข้างในเป็นกลีบสีขาวคล้ายมังคุด แต่มีรสชาติเปรี้ยว ซึ่งในไต้หวันมีต้นกระท้อนเหมือนกันทางภาคใต้ แต่เป็นต้นกระท้อนป่า คนไต้หวันส่วนใหญ่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็น สื่อต่าง ๆ ในไต้หวันนำเสนอข่าวนี้กันมาก เพื่อให้ชาวไต้หวันได้รู้จักก่อนจะถูกไต้ฝุ่นกระท้อนถล่ม
ภาพต้นและผลกระท้อนจากเฟซบุ๊ก Fat-Fat Tree Tropical Rainforest
หวางรุ่ยหมิน นักเขียนด้านพฤกษศาสตร์ชาวไต้หวัน เจ้าของเฟซบุ๊กป่าดิบชื้น Fat-Fat Tree Tropical Rainforest โพสต์ข้อความ ไต้ฝุ่นปูลาซัน ตั้งชื่อโดยมาเลเซีย แปลว่าเงาะขนสั้น ซึ่งเป็นผลไม้ในเขตร้อนเพิ่งจะผ่านไป มาใหม่อีกลูกก็ตั้งชื่อเป็นผลไม้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเล่าว่ากระท้อนหรือซานโถเอ่อ มีเนื้อในเป็นกลีบสีขาวคล้ายมังคุด มีกลิ่นหอมแต่รสเปรี้ยว แถวภาคใต้ของเกาะไต้หวันก็มีเช่นกัน มีการนำต้นกระท้อนจากสิงคโปร์เข้ามาปลูกในฟาร์มเกษตรเมืองเจียอี้เมื่อปี ค.ศ. 1919 นอกจากในแปลงทดลองปลูกของคณะเกษตร มหาวิทยาจงซิงที่ไทจง และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผิงตงแล้ว ในสวนสาธารณะในนครไทจงก็พบเห็นต้นกระท้อนเช่นกัน แต่คนไต้หวันส่วนใหญ่ไม่รู้จักและไม่ได้นำผลมากิน
ประโยชน์ของกระท้อน สื่อประชาสัมพันธ์จากกรมประชาสัมพันธ์
ด้าน รศ. อู๋เต๋อหรง (吳德榮) แห่งคณะวิทยาศาสตร์บรรยากาศ มหาวิทยาลัยแห่งชาติจงยัง (NCU) อดีตผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยาอธิบายให้ฟังว่า พายุแบ่งออกเป็น 3 ระดับตามความเร็วลม คือ ดีเปรสชัน (ไม่เกิน 62 กม./ชม.) พายุโซนร้อน (63-118 กม./ชม.) พายุหมุนเขตร้อน (ตั้งแต่ 119 กม./ชม.) โดยพายุหมุนเขตร้อนมีชื่อเรียกต่างกันออกไปตามแหล่งที่เกิด หากก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกจะเรียกว่า "ไต้ฝุ่น"
กระท้อนเป็นไต้ฝุ่นกำลังแรงที่มีทิศทางเคลื่อนตัวแปลกและอืดอาดช้ามาก สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ภาคใต้เกาะไต้หวัน ก่อนสิ้นลายกลายเป็นพายุดีเปรสชันหลังพัดขึ้นบกที่เกาสง (ภาพจาก FB Weather Express)
สำหรับการตั้งชื่อพายุไต้ฝุ่น ต้องเป็นประเทศที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการไต้ฝุ่นแห่งองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ESCAP/WMO Typhoon Committee) ซึ่งขณะนี้มีด้วยกัน 14 ประเทศและพื้นที่ ได้แก่ กัมพูชา จีน เกาหลีเหนือ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ลาว มาเก๊า มาเลเซียไมโครนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไทย สหรัฐและเวียดนาม ส่วนไต้หวันไม่ใช้สมาชิก จึงไม่มีสิทธิ์ส่งชื่อสำหรับตั้งชื่อได้ฝุ่นนั้น แต่ละประเทศจะส่งไป 10 ชื่อ ใช้ตั้งชื่อพายุที่มีความรุนแรงตั้งแต่ระดับพายุโซนร้อนเรียงตามชื่อประเทศ เริ่มจากกัมพูชา ลูกต่อไปก็จะเป็นชื่อจากจีน เกาหลีเหนือ ฮ่องกง จนถึงเวียดนาม และวนอย่างนี้เรื่อย ๆ จนครบ 140 ชื่อ และถ้าหากหมด 140 ชื่อนี้ก็จะเวียนไปใช้ชื่อแรกของกัมพูชาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ถ้าหากพายุนั้นสร้างความเสียหายรุนแรง เช่น มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ประเทศต้นทางก็สามารถขอให้ปลดชื่อพายุดังกล่าวไม่ให้ใช้ในอนาคต อย่างไต้ฝุ่นทุเรียน เคยถล่มฟิลิปปินส์อย่างรุนแรงเมื่อปี ค.ศ. 2006 ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายบาดเจ็บและเสียชีวิตกว่า 1,400 ราย ประเทศไทยจึงถอดชื่อออกอย่างถาวร ส่งมังคุดเข้าแทนที่ แต่ในปี ค.ศ. 2018 ไต้ฝุ่นมังคุดถล่มฟิลิปปินส์อย่างหนักอีกครั้ง มีผู้เคราะห์ร้ายบาดเจ็บและเสียชีวิตกว่า 1,800 รายขณะเดียวกันก็สร้างความเสียหายยับเยินแก่ชายฝั่งภาคใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งเป็นไต้ฝุ่นที่มีกำลังรุนแรงและสร้างความเสียหายแก่ฮ่องกงมากที่สุดในรอบ 35 ปี และก่อให้เกิดคลื่นทะเลซัดเข้าเมืองสร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ฮ่องกง ประเทศไทยจึงถอดชื่อออกอย่างถาวรและส่งกระท้อนเข้าไปแทนที่ในปีต่อมา
ไต้ฝุ่นกระท้อนเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เข้าใกล้ภาคใต้เกาะไต้หวัน (ภาพถ่ายจากดาวเทียม Himawari หมายเลข 8)
ทั้งนี้ ปัจจุบัน 10 รายชื่อพายุไต้ฝุ่นที่ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ที่ไทยส่งเข้าร่วมการตั้งชื่อ นอกจากกระท้อนแล้ว ยังมี พระพิรุณ วิภา บัวลอย เมขลา อัสนี นิดา ชบากุหลาบและขนุน
2. พาไปรู้จักเขื่อนเก็บน้ำในไต้หวันที่มีมากเกือบร้อยแห่ง แต่ทำไมไต้หวันเจอปัญหาขาดแคลนน้ำทุกปี?
ไต้หวันเป็นเกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีแนวเทือกเขาตอนกลาง (หรือ จงยางซานม่าย (中央山脈)) ทอดเป็นแนวอยู่กลางเกาะจากเหนือจรดใต้ กินพื้นที่ 2 ใน 3 ของมีพื้นที่ทั้งหมด 36,197 ตารางกิโลเมตร ส่วนที่เหลืออีก 1 ใน 3 เป็นที่ราบซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรจำนวน 23,406,608 คน (ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567) เนื่องจากแม่น้ำในไต้หวันเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ และไม่ลึก ที่ยาวที่สุดคือแม่น้ำจั๋วสุ่ย (濁水溪) มีความยาว 186 กิโลเมตร
แม่น้ำจั๋วสุ่ย ความยาว 186 กิโลเมตร ต้นน้ำอยู่ที่เมืองจางฮั่ว ไหลผ่านหยุนหลิน หนานโถว แล้วไหลลงสู่ทะเลในช่องแคบไต้หวันที่ตำบลม่ายเหลียวเมืองเจียอี้ (ภาพจาก chinatimes.com)
นอกจากนี้เนื่องจากต้นน้ำซึ่งอยู่บนภูเขาสูงมีความลาดชัน ทำให้เมื่อมีฝนตกหนักน้ำที่ไหลลงมาจากบนภูเขาจะแรงและเชี่ยวกราก จึงมักเกิดน้ำไหลหลากและเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำบ่อยๆ แม้ไต้หวันจะมีปริมาณฝนเฉลี่ยปีละ 2,500 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าประเทศไทยเล็กน้อย แต่ไต้หวันยังคงประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเป็นประจำเกือบทุกปี โดยเฉพาะพื้นที่ทางภาคใต้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำด้วยการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ แต่ก็สามารถบรรเทาปัญหาได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
เขื่อนเจิงเหวิน ในเมืองเจียอี้ ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่สุดในไต้หวัน (ภาพจาก siraya-nsa.gov.tw)
สำหรับเขื่อนกักเก็บน้ำในไต้หวันมีทั้งหมด 95 แห่ง มีความจุสูงสุดรวม 2,058.88 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเขื่อนขนาดใหญ่จะนอกจากจะใช้ในการชลประทานแล้วยังใช้ประโยชน์ในด้านการผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้หลายแห่งยังใช้ประโยชน์ในทางการท่องเที่ยวอีกด้วย อาทิ เขื่อนเจิงเหวิน (曾文水庫) ในเมืองเจียอี้ ซึ่งเป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไต้หวัน มีความจุสูงสุด 631.2 ล้านลูกบาศก์เมตร (เขื่อนภูมิพลซึ่งเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดของไทยมีความจุ ๑๓,๔๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร) สร้างขึ้นในปี 2510 ใช้เวลาสร้าง 6 ปี จึงแล้วเสร็จ อันดับ 2 คือเขื่อนอูซานโถว (烏山頭水庫) ในนครไถหนาน สร้างขึ้นในปี 2463 ใช้เวลาสร้าง 10 ปี อันดับ 3 เขื่อนเฟ่ยชุ่ย (翡翠水庫) ในนครนิวไทเป สร้างขึ้นในปี 2522 ใช้เวลาสร้าง 10 ปี อันดับ 4 เขื่อนสือเหมิน(石門水庫) ในนครเถาหยวน สร้างขึ้นในปี 2499 ใช้เวลาสร้าง 8 ปี และอันดับ 5 เขื่อนเต๋อจี (德基水庫)ในนครไทจง สร้างขึ้นในปี 2512 ใช้เวลาสร้าง 5 ปี
เขื่อนอูซานโถว นครไถหนาน เขื่อนที่ใหญ่อันดับ 2 ของไต้หวันสร้างโดยวิศวกรชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ภาพจาก setn.com)
เมื่อพูดถึงการสร้างเขื่อนเก็บน้ำในไต้หวัน จะไม่พูดถึงญี่ปุ่นไม่ได้ เนื่องจากหลังราชวงค์ชิงของจีนแพ้สงครามเจี๋ยอู่ (甲午戰爭) ซึ่งเป็นสงครามระหว่างจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 ราชวงศ์ชิงชดเชยค่าเสียหายให้แก่กองทัพญี่ปุ่นด้วยการยกเกาะไต้หวันให้ญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นเข้ามาปกครองตั้งแต่ปี 2438-2488 รวมเวลา 50 ปี ญี่ปุ่นส่งทหาร ข้าราชการและประชาชนเข้ามาบุกเบิกไต้หวันในขณะเดียวกันได้แสวงหาทรัพยากรมีค่าบนเกาะไต้หวันเพื่อส่งกลับไปยังมาตุภูมิของตน
เขื่อนสุริยันจันทราเป็นเขื่อนเก็บน้ำเก่าแก่ที่สุดในไต้หวัน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2461 ซึ่งอยู่ในยุคที่ญี่ปุ่นปกครอง (ภาพจาก chinatimes.com)
อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นได้สร้างทางรถไฟเพื่อใช้เป็นเส้นทางในการขนส่งและสร้างเขื่อนเก็บน้ำใช้ในการเพาะปลูกและผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 7 แห่ง ได้แก่เขื่อนสุริยันจันทรา เขื่อนอูซานโถว เขื่อนหูโถวผี เขื่อนเหม่ยหนงหู เขื่อนกวนอินหู เป็นต้น โดยเขื่อนสุริยันจันทรา (日月潭水庫) เป็นเขื่อนเก็บน้ำแห่งแรกของไต้หวันสร้างขึ้นในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองถือเป็นเขื่อนเก่าแก่ที่สุด สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2461 ใช้เวลาสร้างนานถึง 16 ปี ความจุ 133.57 ล้านลูกบาศก์เมตร
-
Zijn er afleveringen die ontbreken?
-
1. กระท้อนมีแนวโน้มกลายเป็นไต้ฝุ่นกำลังรุนแรง 2-3 ต.ค. ปกคลุมทั่วไต้หวัน เตือน 9 เมืองอันตราย อาจมีการประกาศหยุดงานหยุดเรียน
ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว หลายพื้นที่ในไต้หวันมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ทำให้มีน้ำท่วมฉับพลันและมีลมกระโชกแรง ต้นสัปดาห์หน้าต้องเผชิญพายุไต้ฝุ่นลูกที่ 18 ของปีนี้ในชื่อไทย ๆ กระท้อน ซึ่งก่อตัวเมื่อเวลา 08.00 น. วันเสาร์ที่ 28 ก.ย. 2567
เส้นทางการเคลื่อนตัวของไต้ฝุ่นกระท้อน (ภาพจากกรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวัน CWA)
กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันแถลงว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันเสาร์ที่ 28 ก.ย. จุดศูนย์กลางของไต้ฝุ่นกระท้อนอยู่บนทะเลห่างจากแหลมเอ๋อหลวนปี๋ ใต้สุดของเกาะไต้หวันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 620 กม. ได้เพิ่มขนาดความรุนแรงเป็นไต้ฝุ่นกำลังปานกลางและมีแนวโน้มเพิ่มกำลังความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง ปรับทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกและหักศอกขึ้นเหนือเข้าใกล้ไต้หวันมากขึ้น แม้จุดศูนย์กลางจะไม่ขึ้นบก โดยจะพัดเลียบชายฝั่งทิศตะวันออก แต่ขนาดรัศมีของไต้ฝุ่นลูกนี้ปกคลุมพื้นที่ทั่วทั้งเกาะ โดยเฉพาะทางภาคกลางและเหนือ เตือน 9 เมือง ได้แก่ไถตง ฮัวเหลียนและเหมียวลี่ขึ้นมาจนภาคเหนือ ต้องเตรียมรับมือกับฝนตกหนักมากและลมกระโชกแรง โดยเฉพาะในวันอังคารที่ 1 และวันพุธที่ 2 ตุลาคม ระดับความแรงลมและปริมาตรน้ำฝน อาจถึงเกณฑ์ที่ต้องประกาศหยุดงานหยุดเรียน
เตือนอย่าชะล่าใจ! ต้องติดตามความเคลื่อนไหวของพายุไต้ฝุ่นอย่างใกล้ชิดและเตรียมรับมือแต่เนิ่น ๆ
ภาพถ่ายดาวเทียมไต้ฝุ่นกระท้อน (ภาพจากกรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวัน CWA)
2. เคยใช้บริการหรือยัง? ยูไบค์ รถจักรยานสาธารณะแสนสะดวกของไต้หวัน ให้บริการแล้วร่วม 900 ล้านคน/ครั้ง พัฒนามาเป็นยูไบค์ 2.0 และ 2.0E มีแบตเสริมทุ่นแรง
เมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันรณรงค์ลดการใช้รถส่วนบุคคล เพื่อลดการใช้พลังงานลงและหันมารักษ์โลกมากขึ้น หรือที่เรียกกันว่า วันคาร์ฟรีเดย์ "Car Free Day" แปลตรง ๆ คือวันปลอดรถ ชาวไต้หวันโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ขานรับนโยบายดังกล่าว ด้วยการเดินไปทำงาน เดินไปโรงเรียน หรือถ้าจุดหมายปลายทางอยู่ไกลก็จะขี่ยูไบค์ (YouBike เรียกย่อเป็น UBike) จักรยานสาธารณะที่มีโลโก้เป็นรอยยิ้ม ทำให้ยอดใช้บริการยูไบค์เฉพาะในกรุงไทเปเพียงวันเดียว คือเมื่อวันศุกร์ที่ 20 กันยายน ก่อนถึงวันคาร์ฟรีเดย์ พุ่งสูงถึง 270,000 คน/ครั้ง สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากปกติที่มีคนใช้บริการวันละประมาณ 160,000 คน/ครั้ง จะเห็นได้ว่า จักรยานสาธารณะกลายเป็นยานพาหนะและเครื่องออกกำลังกายที่สำคัญไปแล้ว ไม่เฉพาะที่ไทเป หากแต่มีแพร่หลายทั่วไต้หวัน
YouBike รถจักรยานสาธารณะกลายเป็นยานพาหนะที่ได้รับความนิยมในไต้หวัน ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิง รักษ์โลกและได้ออกกำลังกายไปด้วย (ภาพจาก taichung.gov.tw)
เพื่อลดความแออัดทางจราจร ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงและหันมาอนุรักษ์โลก ขณะเดียวกันก็เป็นการออกกำลังกายเสริมสุขภาพของประชาชนให้แข็งแกร่งมากขึ้น กรุงไทเปส่งเสริมให้บริษัทเอกชนอย่าง Giant Group ยักษ์ใหญ่ในวงการผู้ผลิตจักรยานระดับแนวหน้าของโลกสัญชาติไต้หวัน ตั้งบริษัทให้บริการรถจักรยานสาธารณะเป็นการเฉพาะ ตั้งแต่ 6 ส.ค. 2558 เปิดให้บริการรถจักรยานสาธารณะยูไบค์ในกรุงไทเป เนื่องจากสมัครง่าย จ่ายค่าใช้บริการโดยหักเงินจากอีซี่การ์ด และขี่ฟรีใน 30 นาที่แรก ทำให้ประหยัดค่าเดินทาง และคืนรถในที่จอดอื่นได้ ไม่ต้องขี่มาคืนที่เดิม มีระบบการดูแลและซ่อมบำรุงที่รวดเร็ว ยูไบค์จุดไหนหมดมีการเติมทันที ปรากฏว่าได้รับความนิยมมาก จึงไม่แปลกที่คนไทเป จะออกกำลังกายและมีอายุยืนมากกว่าเมืองอื่น ๆ ในไต้หวัน
YouBike สมัครง่าย จ่ายค่าใช้บริการโดยหักเงินจากอีซี่การ์ด ขี่ฟรีใน 30 นาที่แรก ทำให้ประหยัดค่าเดินทาง และคืนรถในที่จอดอื่นได้ ไม่ต้องขี่มาคืนที่เดิม มีจุดบริการเยอะและมีระบบการดูแลและซ่อมบำรุงที่รวดเร็ว (ภาพจาก bnext.com.tw)
จากความสำเร็จในกรุงไทเป ก็มีการขยายบริการไปยังเมืองอื่น ๆ มากขึ้น เริ่มจากนครนิวไทเป นครเถาหยวน ซินจู๋ เหมียวลี่ ไทจง เจียอี้ ไถหนาน เกาสงและผิงตง นอกจากไต้หวันแล้ว ยังมีบริการข้ามไปถึงเมืองผู่เถียนและเมืองเฉวียนโจวในมณฑลฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยนในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย ขณะเดียวกันมีการปรับปรุงระบบให้บริการและเพิ่มจุดจอดรถให้มากขึ้น ทำให้ทั่วไต้หวันมีจุดบริการใช้รถจักรยานยูไบค์ประมาณ 8,000 จุด กรุงไทเปมีมากสุด 1,458 จุด ตามด้วยนครไทจง 1,394 จุด เกาสง 1,375 จุด นครนิวไทเป 1,352 จุด บริการรถจักรยานสาธารณะยูไบค์ครอบคลุมทั่วเกาะไต้หวัน ยกเว้นเมืองจางฮั่วและหยุนหลิน 2 เมืองที่ใช้ระบบอื่น ยอดใช้บริการสูงถึง 879.65 ล้านคน/ครั้ง มีผู้สมัครลงทะเบียนใช้บริการ 14.12 ล้านคน หักคนสูงวัยและเด็กแล้ว กล่าวได้ว่า คนไต้หวันสมัครเป็นสมาชิกใช้บริการยูไบค์เกือบหมด และเฉพาะที่กรุงไทเปมีการใช้บริการสูงถึง 333.8 ล้านคน/ครั้ง
นอกจากบริการทั่วไต้หวันแล้ว ยังให้บริการข้ามไปถึงเมืองผู่เถียนและเมืองเฉวียนโจวในมณฑลฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยนในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย (ภาพจาก fetnet.net)
ยูไบค์ นอกจากขยายบริการมากขึ้นแล้ว ยังมีการพัฒนาระบบรถจักรยานมาเป็นยูไบค์ 2.0 ส่วนยูไบค์รุ่นแรก ๆ หรือยูไบค์ 1.0 หยุดให้บริการไปแล้วตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2565 นอกจากนั้น ยังมีจักรยานสาธารณะแบบมีแบตเตอรีเสริม หรือรุ่น 2.0E เมื่อปั่นจะมีการชาร์จแบตไปในตัว ทุ่นแรงในการปั่นไปได้มาก โดยเฉพาะขี่ขึ้นทางลาดชัน ไม่ต้องปั่นจนออกเหงื่อก็สามารถขี่ได้อย่างสบาย ในสภาพที่แบตเต็ม 100% ขี่ได้ไกลถึง 80 กม. เลยทีเดียว
ยูไบค์ มีการพัฒนาระบบรถจักรยานมาเป็นยูไบค์ 2.0 (ซ้ายมือ) และแบบมีแบตเตอรีเสริม หรือรุ่น 2.0E (ขวามือ) เมื่อปั่นจะมีการชาร์จแบตไปในตัว ทุ่นแรงในการปั่นไปได้มาก (ภาพจาก taiwanexcellence.org.tw)
ส่วนค่าใช้บริการนั้น ยูไบค์ 2.0 ภายใน 4 ชั่วโมง ทุก 30 นาที 10 เหรียญ ชั่วโมงที่ 4-8 ทุก 30 นาที 20 เหรียญ เลย 8 ชั่วโมงไปแล้ว ทุก 30 นาที 40 เหรียญ หากไม่ถึง 30 นาทีจะคิดราคาครบ 30 นาที ส่วนยูไบค์รุ่น 2.0E 2 ชั่วโมงแรก ทุก 30 นาที 20 เหรียญ ส่วนที่เกินจาก 2 ชั่วโมงคิดค่าบริการทุก 30 นาที 40 เหรียญ และแต่ละเมืองจะมีการอุดหนุนค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไป โดยมีส่วนลด 10-30 เหรียญใน 30 นาทีแรก อย่างกรุงไทเป อุดหนุนให้ขี่ฟรีใน 30 นาทีแรก บางเมืองก็ลดให้เฉพาะคนสูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไปและมีบัตรผู้สูงวัยซึ่งจะมีบัตรอีซี่การ์ดอยู่ในตัว
นักเรียนมัธยมปลายในเกาสงหันมาใช้จักรยานสาธารณะมากขึ้น ช่วยประหยัดค่ารถและได้ออกกำลังกายไปในตัว (ภาพจาก udn.com)
ผู้ใช้บริการไม่ต้องกังวลในเรื่องเกิดอุบัติเหตุ เพราะยูไบค์มีประกันภัยภาคบังคับ ตอนสมัครเป็นสมาชิก จะให้เอาประกันอัตโนมัติโดยไม่ต้องเสียเบี้ยประกัน หากเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าล้มเอง ถูกชนหรือไปชนคนอื่นเข้า จะได้รับการคุ้มครองจากประกันภัยสูงสุด 2 ล้านเหรียญไต้หวัน
ขี่ยูไบค์ไปต่อรถไฟรางเบากลายเป็นยานพาหนะสำคัญในชีวิตประจำวันของชาวเกาสงไปแล้ว (ภาพจาก cw.com.tw)
3. ตะลึง! คนไต้หวันถูกมิจฉาชีพหลอกลงทุนหุ้นและหลอกรักออนไลน์ สูญเงินเฉลี่ยวันละ 300 ล้านเหรียญไต้หวัน
สำนักงานตำรวจ กระทรวงมหาดไทยของไต้หวันเปิดเผยเมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมาว่า ช่วงระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 24 กันยายน 2567 หรือระยะเวลาเพียง 26 วัน ได้รับแจ้งความจากประชาชนว่าถูกมิจฉาชีพหลอกลวงต้มตุ๋นวันละ 1-5 ร้อยล้านเหรียญไต้หวัน คิดเป็นมูลค่ารวม 13,700 ล้านเหรียญไต้หวัน หรือเฉลี่ยวันละ 300 ล้านเหรียญไต้หวัน ในจำนวนนี้พบว่า ร้อยละ 70-80 เป็นการหลอกลงทุนซื้อหุ้นปลอม ที่เหลือเป็นการหลอกให้รักแล้วลวงเงิน
ตำรวจไต้หวันกวาดล้างและจับกุมแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงต้มตุ๋นไม่ขาดระยะ แต่สถานการณ์ยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ภาพจาก (news.ltn.com.tw)
สำนักงานตำรวจเผยว่า ในระยะนี้กลลวงของมิจฉาชีพที่พบบ่อยที่สุดคือ ชวนให้เข้ากลุ่มไลน์ เฟซบุ๊กหรือโซเชียลมีเดียอื่น ๆ อ้างว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงช่วยแนะนำเรื่องการลงทุนซื้อหุ้น หรือซื้อพันธบัตร ปรากฏว่าคนสนใจเข้าร่วม ซึ่งพบว่ามักเป็นคนในวัยเกษียณที่มีเงินเก็บและอยากลงทุนซื้อหุ้นหรือซื้อพันธบัตรแต่สุดท้ายถูกหลอก
ตำรวจไต้หวันกำลังพยายามห้ามปรามหญิงวัยเกษียณที่ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ไปโอนเงินให้ (ภาพจาก fingermedia.tw)
ส่วนกลลวงที่พบบ่อยรองลงมาคือหลอกให้รักแล้วลวงเงินหรือหลอกรักออนไลน์ เมื่อตำรวจตรวจสอบจะพบเรื่องราวในรูปแบบเดียวกันเกือบทั้งหมด ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมักเป็นผู้หญิง มีตั้งแต่วัยสาวไปถึงวัยเกษียณ มิจฉาชีพมักหลอกว่าเป็นชาวตะวันตก ใช้รูปโปรไฟล์หน้าตาหล่อเหลา มีอาชีพแพทย์หรือเป็นนายทหารระดับสูง ถูกส่งไปยังสมรภูมิรบที่แอฟริกาหรือที่ตะวันออกกลาง ต้องการความช่วยเหลือให้ส่งเงินไปให้หรือให้ช่วยส่งค่าตั๋วเครื่องบินไปให้ จะได้เดินทางมาพบกันที่ไต้หวัน กว่าจะรู้ว่าถูกหลอกก็หมดเงินไปหลายล้าน
กลลวงที่พบบ่อยที่สุดคือหลอกให้ลงทุน รองลงมาคือหลอกให้รักแล้วลวงเงิน (ภาพจาก lovverse.com.tw)
-
1. อุตุฯ เตือน พายุดีเปรสชันทำทั่วไต้หวันฝนตกหนัก ค่ำอาทิตย์นี้อุณหภูมิลดเหลือ 24-26°c ต่ำสุดในรอบสัปดาห์ เตือนพายุไต้ฝุ่นก่อตัวชุกมากจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน
เทศกาลไหว้พระจันทร์ผ่านพ้นไปแล้ว ปีนี้แม้จะหยุดเพียงวันเดียว แต่บรรยากาศของวันไหว้พระจันทร์ยังคงเข้มข้นอบอวลเหมือนเดิม หลังจากเทศกาลนี้ผ่านไปแล้ว อากาศเริ่มเย็นลงอย่างรู้สึกได้
กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนภัยฝนตกหนักหลายเมือง ทั้งในภาคเหนือ กลางและใต้ จากอิทธิพลของพายุดีเปรสชัน ทำให้อากาศแปรปรวน สัปดาห์หน้าพื้นที่ภาคใต้ฝนตกเบาบางลง แต่พื้นที่อื่น ๆ ยังต้องระวังฝนตกหนักถึงหนักมากต่อไปจนถึงวันอังคารหน้า (24 ก.ย. 67)
และที่ต้องย้ำเตือน ช่วงเปลี่ยนฤดูร่างกายไม่สบายได้ง่าย ขอให้ระมัดระวังและดูแลสุขภาพ
2. ชาวจงลี่นับหมื่นปิดถนนย่างบาร์บีคิว แม้ปีนี้วันไหว้พระจันทร์หยุดเพียงวันเดียว แต่บรรยากาศยังคงคึกคักไม้แพ้ปีก่อน ๆ ในงานมีตรวจสุขภาพฟรีด้วย
เมื่อวันอังคารที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันไหว้พระจันทร์หรือวันจงชิวเจี๋ย (中秋節) ตามธรรมเนียมคนไต้หวันจะต้องกลับบ้านเกิดไปร่วมรับประทานอาหาร กินขนมและกินส้มโอร่วมกับสมาชิกในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และที่ขาดไม่ได้คือ จะย่างบาร์บีคิวทานพร้อมกับชมจันทร์ไปด้วยกัน ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสสังสรรค์กันภายในครอบครัวหรือในหมู่ญาติมิตร ทำให้การปิ้งย่างบาร์บีคิวกลายเป็นกิจกรรมระดับประเทศไปแล้ว นอกจากย่างบาร์บีคิวในครอบครัว ในตรอก ซอยเดียวกัน ทุกเมืองยังมีการจัดสถานที่ให้ประชาชนย่างบาร์บีคิวหมู่ด้วย
ชาวจงลี่นับหมื่นปิดถนนย่างบาร์บีคิติดต่อกันเป็นปีที่ 22 แล้ว (ภาพจาก FB Neili Dahsiaoshi)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการตื่นตัวในเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการย่างบาร์บีคิวมักจะก่อให้เกิดควัน เป็นการสร้างมลพิษในอากาศ หลายปีมานี้ กระแสความนิยมในการย่างบาร์บีคิวลดลง โดยเฉพาะเทศบาลเมืองต่าง ๆ เลิกสนับสนุนให้มีการย่างบาร์บีคิวรวมกลุ่ม กระนั้นก็ตาม การย่างบาร์บีคิว ยังคงเป็นกิจกรรมในครอบครัวที่สำคัญของชาวไต้หวัน ใกล้ถึงวันไหว้พระจันทร์ อาหาร ซอสเครื่องปรุงรวมถึงเตาและอุปกรณ์ปิ้งย่างบาร์บีคิว จะขายดีเป็นพิเศษ ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน
ชาวจงลี่นับหมื่นปิดถนนย่างบาร์บีคิติดต่อกันเป็นปีที่ 22 แล้ว (ภาพจาก FB Neili Dahsiaoshi)
แม้หลายเมืองจะเลิกสนับสนุนย่างบาร์บีคิวหมู่ แต่ที่ยังยืนหยัดจัดกิจกรรมนี้มาเป็นปีที่ 22 แล้ว ได้แก่เขตจงลี่ในนครเถาหยวน ยังมีการปิดถนนจัดกิจกรรมย่างบาร์บีคิวหมู่นับหมื่นคนเหมือนเดิม แม้ปีนี้จะมีวันหยุดเพียงวันเดียว ทำให้คนมาร่วมงานลดลงเล็กน้อย แต่บรรยากาศในงานยังคงคึกคักไม้แพ้ปีก่อน ๆ สำหรับสถานที่จัดกิจกรรม คือถนนข้างย่านศูนย์การค้าโซโก้ ห่างจากสถานีรถไฟจงลี่ประมาณ 1 กิโลเมตร ในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับวันไหว้พระจันทร์และมีโรงพยาบาลไปตรวจสุขภาพให้ประชาชนที่ไปร่วมงานฟรีด้วย
ชาวจงลี่นับหมื่นปิดถนนย่างบาร์บีคิติดต่อกันเป็นปีที่ 22 แล้ว (ภาพจาก udn.com)
ท่านอาจแปลกใจ ทำไมคนไต้หวันถึงมีประเพณีนี้ และกระแสความนิยมย่างเนื้อหรือย่างบาร์บีคิวทานกันในคืนวันไหว้พระจันทร์เริ่มขึ้นเมื่อไหร่และมีที่มาอย่างไร? เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2529 หรือเมื่อ 38 ปีที่แล้ว บริษัทผลิตซีอิ๊ว ซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสของไต้หวันหลายแบรนด์ ต้องการขายซอสที่ใช้สำหรับการปิ้งย่างเนื้อ ได้ทำภาพยนตร์โฆษณาออกมามากมาย ในจำนวนนี้มีโฆษณาของบริษัท ว่านเจียเซียง (萬家香) ใช้สโลแกนสั้น ๆ ติดปากจำง่ายและเข้ากับสำนวนโบราณว่า “一家烤肉萬家香” แปลว่า ย่างเนื้อบ้านเดียว หอมฟุ้งไปทั่วหมื่นครัวเรือน หรือถ้าจะแปลเป็นแบบชาวบ้านก็คือ ย่างเนื้อบ้านเดียว หอมฟุ้งไปทั้งตำบล โฆษณาชิ้นนี้ ก่อให้เกิดกระแสความนิยมย่างเนื้อหรือย่างบาร์บีคิวในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
โลโก้ซอสบาร์บาคิวยี่ห้อ ว่านเจียเซียง (萬家香)
3. เคยกินไหม? คนไต้หวันนิยมซื้อหรือกินอาหารเช้านอกบ้าน ร้านอาหารหนาแน่นมากกว่าร้านสะดวกซื้อ เจ้าของร้านมักเรียกลูกค้า ส้วยเกอ หนุ่มหล่อหรือเหมยหนวี่ สาวสวย
สังคมไต้หวันแตกต่างไปจากในอดีต ปัจจุบันเป็นครอบครัวเล็ก สามีภรรยาและลูก หรืออยู่คนเดียว หรือแม้จะอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ แต่เนื่องจากต้องทำงาน ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมทำอาหารเช้ากินเอง ส่วนใหญ่จะซื้อหาจากร้านขายอาหารเช้าในซอยหรือกินในร้านเลย ทำให้ธุรกิจร้านอาหารเช้าในไต้หวันเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีทั้งร้านแฟรนไชส์สไตล์ตะวันตก สไตล์ไต้หวัน ร้านอาหารมื้อสายที่ควบทั้งมื้อเช้าและมื้อเที่ยง จากข้อมูลของกระทรวงเศรษฐการไต้หวันพบว่า ณ สิ้นปี 2564 เฉพาะร้านอาหารเช้าแฟรนไชส์สไตล์ตะวันตก ทั่วไต้หวันมีการจดทะเบียนสูงถึง 18,919 ร้าน มากกว่าร้านสะดวกซื้อในช่วงเวลาเดียวกันถึง 5,000 ร้าน นี่ยังไม่รวมร้านอาหารเช้าสไตล์ไต้หวันที่มีให้กันทุกซอกซอย ประมาณการว่า มูลค่าธุรกิจร้านอาหารเช้าในไต้หวันแต่ละปีสูงกว่า 200,000 ล้านเหรียญเหรียญ
ร้านอาหารเช้าสไตล์ไต้หวัน (ภาพจาก storycircle571.com)
นี่เป็นข้อมูลคร่าว ๆ ของร้านอาหารไต้หวัน สะท้อนถึงความนิยมในการซื้อหาหรือกินอาหารมื้อเช้าจากร้านใกล้บ้านของคนไต้หวัน ที่จะเล่าให้ฟังคือเจ้าของ อาจเป็นเถ้าแก่หรือเถ้าแก่เนี้ย มักจะเรียกลูกค้าไม่ว่าจะอายุมากเท่าไหร่ หากลูกค้าเป็นผู้ชายจะเรียกส้วยเกอ (帥哥) หรือหนุ่มหล่อ พ่อรูปหล่ออะไรทำนองนั้น ถ้าเป็นลูกค้าหญิงไม่ว่าจะสาวหรืออายุมาก จะเรียก เหมยหนวี่ (美女) สาวสวยหรือคนสวย คนท้องถิ่นอาจคุ้นเคยจนไม่ค่อยรู้สึกแปลก แต่สำหรับคนต่างถิ่นที่ฟังภาษาจีนออก อย่างคนจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงหรือชาวจีนโพ้นทะเลจากประเทศต่าง ๆ จะรู้สึกดีมากเลยที่มีคนเรียกตนว่าส้วยเกอหรือหนุ่มมหล่อ และเหมยหนวี่หรือคนสวย ถึงขั้นติดใจมาซื้อทุกวัน
อาหารเช้าสไตล์ไต้หวัน (ภาพจาก travel.taipei)
ช่วงนี้มีชาวจีนแผ่นดินใหญ่รายหนึ่งโพสต์ข้อความเกี่ยวกับประสบการณ์เยือนไต้หวันของตน ปรากฏว่า มีคนที่เคยมาเที่ยวไต้หวันมาคอมเมนต์เห็นด้วยมากมาย ข้อความของเขาเริ่มต้นว่า ถ้าเทียบกับประเทศหรือพื้นที่อื่นแล้ว ความงดเงามตระการตาของภูเขา แม่น้ำและทิวทัศน์สู้จีนแผ่นดินใหญ่ไม่ได้ ตึกรามบ้านช่องสูงใหญ่และหนาแน่นสู้ฮ่องกงไม่ได้ ความประณีตสวยงามของบ้านเรือนสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ ความทันสมัยและแฟชั่นสู้เกาหลีไม่ได้ คนมาเยือนไต้หวันครั้งแรกจะรู้สึกว่าไต้หวันค่อนข้างเก่า ไม่ได้เป็นดินแดนเทคโนโลยีชั้นสูงอย่างที่คิดมาก่อน บ้านเรือนเก่าและไม่ค่อยเป็นระเบียบ การจราจรก็ไม่ได้ดีเลิศ แถมยังเป็นอันตรายกับคนเดินเท้า แต่ไต้หวันมีมนต์เสน่ห์แรงอย่างหนึ่งที่อธิบายไม่ถูก คนไม่เคยไปจะครุ่นคิดว่าไต้หวันเป็นอย่างไร พอไปถึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่อยู่ไปไม่กี่วันจะรู้สึกชอบ และกลับประเทศแล้วจะคิดถึงและอยากจะไปเยือนอีก
ตั้นปิ่ง (蛋餅) หรือโรตีใส่ไข่ 1 ในอาหารเช้ายอดนิยมของคนไต้หวัน
เขาบอกว่า มนต์เสน่ห์แรงกล้าของไต้หวัน จะค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในความรู้สึกของคนที่มาเยือน เมื่อหลงทางถามคนไต้หวัน จะได้รับคำตอบที่อบอุ่นและเต็มใจช่วยทั้งที่เป็นคนแปลกหน้า บางคนนอกจากอธิบายวิธีเดินและชี้ทางให้แล้ว ยังพาเดินไปและบอกลาด้วยการก้มหัวเล็กน้อย แสดงออกถึงความเป็นมิตร ตามตรอกซอกซอยในเมืองจะมีร้านอาหารเต็มไปหมด กลิ่นหอมของอาหารโชยมาแตะจมูก ผู้คนไม่ว่าจะเป็นพนักงานร้านหรือลูกค้าดูเป็นกันเองมาก ตามป้ายรถเมล์หรือร้านค้า มีผู้คนต่อแถวไม่แย่งกันขึ้นรถหรือเข้าไปในร้าน ตามศาลเจ้าและวัดวาอารามเต็มไปด้วยผู้มีจิตศรัทธา เวลาขึ้นบันไดเลื่อนจะชิดขวา เปิดช่องทางให้คนเร่งรีบเดิน ไม่ใช่เป็นกฎหมายแต่เป็นธรรมเนียมที่น่ารักมาก ดูแล้วประทับใจ และที่ทำให้ตนลืมไม่ได้ก็คือร้านขายอาหารเช้าของไต้หวัน คนขายจะเรียกลูกค้าว่า ส้วยเกอหรือพ่อรูปหล่อ เหมยหนวี่หรือคนสวย ทำให้ลูกค้าอย่างตนรู้สึกดีมาก ๆ เพราะนี่คงเป็นที่เดียวในโลกที่เรียกตนเป็นหนุ่มหล่อ ไม่ทราบว่าเพื่อนผู้ฟังที่อยู่ในไต้หวันหรือมาเที่ยว เคยไปซื้ออาหารเช้าที่ร้านและถูกเรียกเป็นส้วยเกอหรือเหมยหนวี่หรือเปล่า?
ขนมแป้งอบโรยงา (เซาปิ่ง) ปาท่องโก๋ (หยิวเถียว) 1 ในอาหารเช้ายอดนิยมของคนไต้หวัน (ภาพจาก storm.mg)
4. วิกฤติเด็กเกิดน้อย! รร. มัธยมแห่งหนึ่งในกรุงไทเปไม่มีเด็กนักเรียนใหม่สมัครเรียนเลยแม้แต่คนเดียว ทั้ง รร. เหลือนักเรียน 200 คนเศษ
กันยายนเป็นเดือนแห่งการเปิดเทอมแรกของปีการศึกษาใหม่ในไต้หวัน แต่ปรากฏว่าในปีนี้ มีโรงเรียนมัธยมศึกษาเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงไทเป ไม่มีนักเรียนใหม่สมัครเข้ามาเรียนเลยแม้แต่คนเดียวและในปัจจุบันทั้งโรงเรียนมีนักเรียนเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น คาดว่าอีก 3 ปีข้างหน้าโรงเรียนแห่งนี้อาจต้องปิดตัวลง
ผลจากภาวะเด็กเกิดน้อยทำให้ปีการศึกษา 2567 ซึ่งเพิ่งเปิดเรียน ก.ย. นี้ โรงเรียนมัธยมศึกษาต้าเฉิงไม่มีนักเรียนใหม่เลยแม้แต่คนเดียว (ภาพจาก udn.com)
ผลจากภาวะเด็กเกิดน้อยและประชากรวัยชราเพิ่มสูงขึ้น ทำให้กรุงไทเปเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) ส่งผลให้เด็กนักเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาลดน้อยลง ในปีการศึกษา 2567 ซึ่งเพิ่งเปิดการเรียนการสอนเทอมแรกเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่าโรงเรียนมัธยมศึกษาต้าเฉิง (大誠高中) ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเอกชนในกรุงไทเป ที่ก่อตั้งมาเป็นเวลาร่วม 60 ปี ไม่มีนักเรียนใหม่เลยแม้แต่คนเดียว ในขณะที่นักเรียนเก่าเหลืออยู่เพียง 200 กว่าคนเท่านั้น
นักวิชาการคาดปีหน้าเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายจะลดลงจากปีนี้ อีกเกือบ 20,000 คน (ภาพจาก flipedu.parenting.com.tw)
นักวิชาการหลายคนออกมาวิเคราะห์ว่า ปีนี้ไต้หวันมีนักเรียนมัธยมปลายต่ำกว่า 200,000 คนเป็นครั้งแรก ในปีหน้านี้จะเริ่มปรากฏสภาพการณ์เด็กมัธยมปลายลดน้อยลงอย่างชัดเจน โดยจะลดเหลือประมาณ 181,000 คน เนื่องจากปีหน้าจะเป็นปีที่เด็กปีนักษัตรขาลหรือปีเสือ อันเป็นปีที่คนไต้หวันไม่นิยมมีลูกเพราะเชื่อว่านักษัตรนี้ไม่เป็นมงคล จะเข้าศึกษาในระดับมัธยมปลาย คาดว่าในอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของเอกชนทั้งสายสามัญและสายอาชีพกว่า 60 แห่งปิดตัวลง
กรุงไทเปและอีก 6 เมือง จากทั้งหมด 22 เมืองของไต้หวัน เข้าสู่การเป็นสังคมชราภาพระดับสุดยอดหรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมีมากกว่า 20% (ภาพจาก CNA)
นอกจากเด็กนักเรียนลดน้อยลงแล้ว กรุงไทเปยังเผชิญปัญหาประชากรชราภาพและยอดประชากรยังลดลงเรื่อยๆ จากข้อมูลของเทศบาลกรุงไทเปพบว่า กรุงไทเปเคยมีประชากรมากที่สุดคือ 2,719,659 คน เมื่อปี 2533 แต่ได้เริ่มปรากฏสภาพการณ์ประชากรลดลง ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา โดยในปี 2565 ลดลงต่ำกว่า 2.5 ล้านคนเป็นครั้งแรก เหลืออยู่เพียง 2.4 ล้านคน หลังจากนั้นในปี 2566 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 2,511,886 คน แต่ในปี 2567 เริ่มมีแนวโน้มลดลงอีกครั้ง
กรุงไทเปมีพื้นที่เล็กกว่ากรุงเทพมหานคร 5.7 เท่า ปีที่แล้วมีประชากร 2.51 ล้านคน โดยประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 22.67 % (ภาพจาก ctee.com.tw)
ที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ ประชากรสูงวัยในไทเปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เมืองหลวงของไต้หวันเข้าสู่การเป็นสังคมชราภาพระดับสุดยอด (ประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมีมากกว่า 20%) พร้อมกับอีก 6 เมืองจากทั้งหมด 22 เมืองของไต้หวันได้แก่ เจียอี้ หนานโถว หยุนหลิน ผิงตง ฮัวเหลียนและจีหลง หรืออาจกล่าวได้ว่า 1 ใน 3 ของเมืองในไต้หวันเข้าสู่การเป็นสังคมชราภาพระดับสุดยอดนั่นเอง
-
1. อุตุฯ เตือน! ทั่วไต้หวันมีฝนตกหนักถึงหนักมากในช่วงบ่ายและค่ำ ระวังน้ำท่วมฉับพลัน จับตาสัปดาห์หน้า ไต้ฝุ่นอาจก่อตัวและเข้าใกล้ไต้หวัน 2 ลูกพร้อมกัน
วันที่ 15 เดือน 8 ตามปฏิทินจีนเป็นวันไหว้พระจันทร์ 1 ใน 3 เทศกาลสำคัญของชาวจีน ปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 17 กันยายน เป็นวันหยุดงาน สภาพอากาศแปรปรวน ทำให้โอกาสที่จะชมจันทร์ในคืนวันไหว้พระจันทร์ขึ้นอยู่กับพื้นที่และดวง
สัปดาห์หน้า ทั่วไต้หวันยังคงร้อนอบอ้าว ช่วงบ่ายและค่ำ มีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ (ภาพจาก udn.com)
กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันแถลงว่า สภาพอากาศในสัปดาห์หน้าเหมือนกับสัปดาห์ที่ผ่านมา กลางวันอากาศร้อนและมักจะมีฝนฟ้าคะนองในช่วงบ่ายและเย็น เตือนให้ระวังฝนตกหนักน้ำท่วมขังและดินโคลนพื้นที่ภูเขาถล่ม และมีแนวโน้มจะมีไต้ฝุ่นก่อตัวพร้อมกันถึง 2 ลูก ต้องจับตาทิศทางการเคลื่อนตัว มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าใกล้เกาะไต้หวัน
สภาพอากาศทั่วไต้หวันในสัปดาห์หน้า ยังคงร้อนอบอ้าว ช่วงบ่ายและค่ำมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ (ภาพจาก chinatimes.com)
2. คนไต้หวันแห่เข้าแถวข้ามคืน รอซื้อสุราเกาเหลียงมังกรดำเกล็ดทองคำ-รุ่นปีมังกร มีส่วนผสมเกล็ดทองคำที่กินได้ ขวดละ11,800 เหรียญ
โรงงานสุราเกาเหลียงจินเหมิน เปิดจำหน่ายสุราเกาเหลียงรุ่นพิเศษมีประชาชนจำนวนมากแห่ไปเข้าคิวรอซื้อที่หน้าร้านจำหน่ายในเขตภาคเหนือ กลางและใต้ อย่างที่ร้านจำหน่ายของโรงงานสุราเกาเหลียงจินเหมินสาขาไทเป มีคนไปเข้าแถวรอซื้อมากกว่า 200 คน ส่วนใหญ่มาจองคิวกันตั้งแต่เมื่อ 2 วันก่อน
สุราเกาเหลียงมังกรดำเกล็ดทองคำ-รุ่นปีมังกร ขวดละ11,800 เหรียญ (ภาพจากโรงงานสุราเกาเหลียงจินเหมิน)
สุราเกาเหลียงมังกรดำเกล็ดทองคำ-รุ่นปีมังกร ขวดละ11,800 เหรียญ (ภาพจากโรงงานสุราเกาเหลียงจินเหมิน)
สุราเกาเหลียงรุ่นพิเศษนี้มีความพิเศษยังไง ทำไมคนสนใจซื้อกันมากขนาดนี้ ไปหาคำตอบกัน สุราเกาเหลียงมังกรดำเกล็ดทองคำ-รุ่นปีมังกร ผลิตโดยโรงงานสุราเกาเหลียงจินเหมินเพียงปีละครั้งระดับความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ 46 ดีกรี ผสมทองคำเปลวบริสุทธิ์ 99.99 ที่กินได้ บรรจุในขวดแก้วลายมังกรทองหรูหรา สอดรับกับปีนักษัตรมังกร ปริมาตรขวดละ 3.6 ลิตร จำนวนจำกัดเพียง 10,000 ขวด เปิดจำหน่ายเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ในราคาขวดละ11,800 เหรียญ ปรากฏว่ามีคนแห่ไปเข้าแถวจองคิวซื้อตั้งแต่ก่อนเปิดจำหน่าย 2 วัน 2 คืน
บรรดาคอสุราเกาเหลียงเปิดเผยว่า สุราที่ผลิตเป็นพิเศษแบบนี้คนซื้อไม่ได้ซื้อมาดื่มเอง แต่ซื้อเพื่อนำไปมอบเป็นของขวัญให้แก่ญาติมิตรวัยผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ส่วนหนึ่งนิยมเก็บไว้เพื่อเก็งกำไรเพราะสุราเกาเหลียงยิ่งเก็บไว้นาน รสชาติยิ่งนุ่มลื่นคอ ราคายิ่งแพง
คนไต้หวันแห่เข้าแถวจองคิวรอซื้อ ส่วนใหญ่มาจองคิวกันตั้งแต่ 2 วันก่อนเปิดขาย (ภาพจาก FTV)
คนไต้หวันแห่เข้าแถวจองคิวรอซื้อกันตั้งแต่ 2 วันก่อนเปิดขาย หลายคนเอาเต็นท์มากางนอนค้างคืน (ภาพจาก SETN)
สำหรับสุราเกาเหลียงจินเหมิน หรือภาษาจีนคือ 金門高粱酒 (อ่านว่า จินเหมินเกาเหลียงจิ่ว) เป็นสุราขาวที่ทำจากข้าวฟ่างคุณภาพดี โดยโรงงานสุราเกาเหลียงจินเหมิน (Kinmen Kaoliang Liquor Inc.) ตั้งอยู่ที่เกาะจินเหมิน ซึ่งเป็นเกาะแนวหน้าใกล้กับจีนแผ่นดินใหญ่ ก่อตั้งโดยพลเอกหูเหลียน (胡璉上將) ผู้บัญชาการกองบัญชาการกองกำลังป้องกันจินเหมิน เมื่อปีพ.ศ. 2495 หรือเมื่อ 72 ปีที่แล้ว เป็นโรงงานในสังกัดของกระทรวงกลาโหมและเปิดสายการผลิตอย่างเป็นทางการในปีถัดมา ในช่วงแรกผลิตเพื่อป้อนให้แก่กองบัญชาการกองกำลังป้องกันจินเหมินและกองทัพไต้หวันเท่านั้น
โรงงานสุราเกาเหลียงจินเหมิน ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมกรรมวิธีการผลิตด้วย (ภาพจากกองการท่องเที่ยวจินเหมิน)
จนกระทั่งในปี 2520 จึงเริ่มผลิตเพื่อจำหน่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปและส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้แก่สุราเกาเหลียงจินเหมินให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเล ปี 2535 มีการยกเลิกสถานะการเป็นเขตทหารของเกาะจินเหมิน เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวได้ โรงงานสุราเกาเหลียงจินเหมินได้ถูกโอนสังกัดจากกระทรวงกลาโหมมาเป็นของเทศบาลเมืองจินเหมินแทน
3. คุณมองอย่างไร? ต่างชาติงงคนไต้หวันชอบพูดติดปาก ปู้ห่าวอี้ซือ หรือขอโทษ และเซี่ยเซี่ย ขอบคุณ จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งไปแล้ว
ชาวต่างชาติที่มาทำงานหรือมาเที่ยวไต้หวันและมีโอกาสได้สัมผัสกับคนไต้หวัน คงคุ้นหูกับวลียอดฮิตของคนไต้หวันที่มักจะพูดติดปากเสมอ ไม่ว่าจะพูดกับคนรู้จักหรือคนแปลกหน้า ได้แก่ ปู้ห่าวอี้ซือ (不好意思) แปลว่าขออภัย ขอโทษ และเซี่ยเซี่ย (謝謝) หลายคนบอกว่า แรก ๆ รู้สึกว่า คนไต้หวันขี้เกรงใจคนและมีมารยาทมาก แต่อยู่ไปสักพัก จะติดเหมือนกับคนไต้หวัน
คนไต้หวันชอบพูดติดปาก ปู้ห่าวอี้ซือ หรือขอโทษ และเซี่ยเซี่ย หรือขอบคุณ จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งไปแล้ว
คำว่า ปู้ห่าวอี้ซือ แปลตรง ๆ คือรู้สึกอาย รู้สึกผิด ซึ่งมีความหมายในทำนองขอโทษ ขออภัย แต่ไม่ตรงเสียเลยทีเดียว วลีนี้ไปที่ไหนก็จะได้ยินคำนี้บ่อยๆ ทำให้คนต่างชาติมีความรู้สึกว่า คนไต้หวันช่างเป็นคนที่ขี้เกรงใจและมีมารยาทมาก แต่จริง ๆ แล้ว คำนี้นอกจากแสดงออกถึงความเกรงใจและมีมารยาทแล้ว ยังเป็นสำนวนยอดฮิตที่มักจะพูดติดปากของคนไต้หวัน หมายถึงว่า บางทีไม่ควรถึงขั้นต้องขอโทษ แต่ก็จะได้ยินคำนี้เช่นกัน บางคนพูดหรือเล่าเรื่องอะไรก็ตาม จะเริ่มต้นด้วยคำว่าปู้ห่าวอี้ซือก่อน
ผู้โดยสารต่อแถวรอขึ้นรถไฟฟ้าไทเป (ettoday.net)
มีชาวสิงคโปร์และชาวจีนแผ่นดินใหญ่โพสต์ประสบการณ์ของตนที่อาศัยอยู่ในไต้หวันลงสื่อโซเชียลและมีคนไปคอมเมนต์กันมากว่า มาไต้หวันแรก ๆ รู้สึกงงว่า ทำไมคนไต้หวันถึงชอบพูดวลี ปู้ห่าวอี้ซือ และเซี่ยเซี่ย ติดปากเสมอ อย่างเวลาไปซื้อเครื่องดื่มมือเขย่าที่ร้าน ลูกค้าที่สั่งซื้อจะพูดก่อนเลยว่า ปู้ห่าวอี้ซือ ขอโทษครับ แล้วจึงตามด้วย ซื้อชานมไข่มุก 1 แก้ว และจะตบท้ายด้วยคำว่า เซี่ยเซี่ยหรือขอบคุณ หรือปู้ห่าวอี้ซือ ขอเป็นหวานน้อยน้ำแข็งน้อย ตามด้วยเซี่ยเซี่ย หรือขณะที่ยืนบันไดเลื่อน หากเราไม่ยืนด้านขวามือ จะมีคนบอกว่า ปู้ห่าวอี้ซือ ขอทางหน่อย ตามด้วยเซี่ยเซี่ย คนโพสต์ข้อความบอกว่า ในสถานการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ยังพอมีเหตุผลที่จะพูดปู้ห่าวอี้ซือและเซี่ยเซี่ย
คนไต้หวันบันไดเลื่อนมักจะยืนด้านขวา เพื่อเปิดทางให้คนเร่งรีบเดินช่องด้านซ้าย หากเราขวางทาง จะมีคนบอกว่า ปู้ห่าวอี้ซือ ขอทางหน่อย ตามด้วยเซี่ยเซี่ย (ภาพจาก LTN)
แต่ก็งงเหมือนกันในบางครั้งที่ได้ยินวลีเหล่านี้ในสถานการณ์อื่น ๆ เช่น ไปใช้บริการที่ร้านสระผม พนักงานจะถามว่า ปู้ห่าวอี้ซือ น้ำอุ่นพอดีไหม? ปู้ห่าวอี้ซือ เราจะเริ่มสระผมแล้วนะคะ แม้กระทั่งเวลาจะบำรุงผม พนักงานจะพูดอย่างนอบน้อมว่า ปู้ฮ่าวอี้ซื้อ กำลังจะทาครีมนวดผมนะคะ ไม่เพียงแค่นั้น ยังเคยได้รับโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมา เริ่มต้นจะบอกว่า ปู้ฮ่าวอี้ซือ ขอรบกวนเวลาคุณหน่อย ด้วยความที่ได้ยินวลีเหล่านี้บ่อย ๆ ไม่นานคนมาจากต่างถิ่นก็จะติดปากเหมือนคนไต้หวันเลย
บรรยากาศในขบวนรถไฟฟ้าไทเป (ภาพจาก chinatimes.com)
ข้อความที่โพสต์ในสื่อโซเชียลข้างต้น มีชาวจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนมากคอมเมนต์ว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่น่าสนใจ บางคนบอกว่า ปู้ห่าวอี้ซือ ช่างเป็นวลีที่ใช้ง่ายอะไรขนาดนั้น สามารถใช้ได้ในทุกที่ ทุกสถานการณ์ แต่ก็มีคนบอกว่า ใช้ได้ดีในชีวิตประจำวันได้ แต่หากเป็นสถานที่ทำงาน หรือการเจรจาทางการค้า การต่อรองกับคู่ค้า หากเริ่มต้นก็พูดขอโทษ ขออภัย จะทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ฯลฯ
คำว่า ปู้ห่าวอี้ซือ หรือขออภัย ที่ชาวไต้หวันพูดติดปากเสมอ เป็นวลีที่ใช้ได้ในทุกที่ ทุกสถานการณ์ (ภาพจาก nownews.com)
ก่อนหน้านี้ BBC ของอังกฤษรายงานเกี่ยวกับวัฒนธรรมปู้ห่าวอี้ซือ หรือวัฒนธรรมการขอโทษของไต้หวัน โดยใช้หัวข้อว่า ไต้หวัน เกาะที่ผู้คนพูดคำว่าขอโทษอยู่ตลอดเวลา ในรายงานระบุว่า คำว่าปู้ห่าวอี้ซือ หรือรู้สึกอาย รู้สึกผิด ดูความหมายตรง ๆ แล้ว อาจให้ความรู้สึกในด้านลบ คือผู้พูดทำผิดอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่วลีนี้ สำหรับในไต้หวันแล้ว ใช้ได้กับทุกที่ ทุกสถานการณ์และทุกเวลา ไม่ว่าจะเรียกใช้บริกรในร้านอาหาร ขอโทษเถ้าแก่ หรือจะเป็นช่วงขึ้นลงรถไฟฟ้า รถเมล์ ก็มักจะได้ยินคำนี้บ่อยๆ
คนไต้หวันมักจะใช้วลี ปู้ห่าวอี้ซือ เพราะเป็นคำพูดติดปากที่มีมารยาท เมื่อจะขัดจังหวะ แจ้งเรื่อง ขอความช่วยเหลือ หรือเริ่มการสนทนากับผู้อื่น มักจะเริ่มต้นด้วยวลีนี้เสมอ (ภาพจาก udn.com)
รองศาสตราจารย์จางเจียหรู (張嘉如) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กบอกว่า คนไต้หวันมักจะใช้คำว่า ปู้ห่าวอี้ซือ เพราะเป็นคำพูดติดปากที่มีมารยาท เมื่อจะขัดจังหวะ แจ้งเรื่อง ขอความช่วยเหลือ หรือเริ่มการสนทนากับผู้อื่น มักจะเริ่มต้นด้วย ปู้ห่าวอี้ซือเสมอ
ต่างชาติงงว่า ทำไมคนไต้หวันถึงชอบพูดวลี ปู้ห่าวอี้ซือ และเซี่ยเซี่ย ติดปากเสมอ (ภาพจาก udn.com)
ในรายงานได้อ้างอิงคำพูดของศาสตราจารย์หลี่ฉินอ้าน (李勤岸) จากมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ไต้หวันกล่าวว่า เนื่องจากไต้หวันเคยตกอาณานิคมของญี่ปุ่นมาก่อน ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นและได้รับการอบรมบ่มเพาะจากลัทธิขงจื๊อ จนพัฒนากลายเป็นวัฒนธรรมการขอโทษของคนไต้หวันในปัจจุบัน คำพูดนี้ทำให้ชาวต่างชาติมีความรู้สึกว่า คนไต้หวันเป็นผู้ที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ช่วยผู้อื่นคิดเสมอและยังพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่มีมารยาทกับคนอื่นด้วย รายงานกล่าวว่า วัฒนธรรมแบบนี้ บางครั้งจะให้ความรู้สึกว่า นอบน้อมเกินไป แต่ก็เป็นความมีมารยาทที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของคนไต้หวัน และวัฒนธรรมปู้ห่าวอี้ซือนี้ จะมีเฉพาะในไต้หวันเท่านั้น ชาวจีนในเขตพื้นที่อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ จะไม่ค่อยได้ยินคำนี้
-
1. ประตูยมโลกปิด สิ้นสุดเดือนผี แต่ยังควรดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท...
เมื่อวันจันทร์ที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายของเดือนผีหรือวันที่ประตูยมโลกปิด บรรดาภูตผีที่ถูกปล่อยออกมารับเครื่องเซ่นไหว้ในโลกมนุษย์ ต้องกลับไปสู่ยมโลกและถือว่าผ่านพ้นเดือนผี ซึ่งคนไต้หวันถือว่าเป็นเดือนที่ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าเป็นเดือนที่ไม่เป็นมงคล อย่างไรก็ตาม แม้เดือนผีจะสิ้นสุดลงไปแล้ว ยังควรดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท
เครื่องเซ่นไหว้ในเดือนผี (ภาพจาก udn.com)
2. ไต้หวันเผชิญปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน !! ประชากรวัยผู้ใหญ่ 2 คน อ้วน 1 คน เด็ก 3 คน อ้วน 1 คน
ไต้หวันเผชิญปัญหาประชากรอ้วน ประชากรวัยผู้ใหญ่ 2 คน มี 1 คน เป็นโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินมาตรฐาน ในขณะที่เด็ก 3 คน อ้วน 1 คน สมาคมแพทย์เพื่อการศึกษาโรคอ้วนไต้หวันเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมองเห็นความสำคัญของปัญหา มิฉะนั้นไต้หวันจะกลายเป็นเกาะแห่งคนอ้วนในอีกไม่ช้า นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดโรคอื่นๆตามมา โดยเฉพาะโรคเบาหวาน
ไต้หวันเผชิญปัญหาประชากรอ้วน ประชากรวัยผู้ใหญ่ 2 คน มี 1 คน เป็นโรคอ้วน (ภาพจาก CNA)
จากข้อมูลของกรมส่งเสริมสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขไต้หวันระบุว่า ประชากรวัยผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ที่เป็นโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินมาตรฐานมีมากถึงร้อยละ 50.3 และแต่ละปีเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนร้อยละ 4.1 ในขณะที่เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่เป็นโรคอ้วนมีมากถึงร้อยละ 30.6 มัธยมศึกษาตอนปลายร้อยละ 28.9 และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตราส่วนร้อยละ 5 ต่อปี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า รัฐบาลและประชาชนทั่วไปต้องตระหนักถึงปัญหานี้และให้ความสำคัญต่อโรคอ้วนของเด็กในครอบครัวอย่างจริงจังเพราะคนอ้วนเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเรื้อรังหลายชนิด
พฤติกรรมการบริโภคอาหารของเด็กยุคใหม่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาเด็กอ้วนเพิ่มมากขึ้น (ภาพจาก iqhealth.com.tw)
สมาคมแพทย์เพื่อการศึกษาโรคอ้วนไต้หวัน (Taiwan Medical Association for the Study of Obesity,TMASO ) เปิดเผยว่า โรคอ้วนทำให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังและอาการต่างๆ ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไขมันเกาะตับ โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคมะเร็งต่างๆ โรคหยุดหายใจขณะหลับ ปัญหาทางระบบทางเดินหายใจ ภาวะมีบุตรยาก ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดข้อ ข้อเสื่อมก่อนวัย โรคผิวหนัง ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวานซึ่งในไต้หวันพบผู้ป่วยโรคเบาหวานร้อยละ 11 ของประชากรทั้งประเทศและเพิ่มมากขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากโรคอ้วน นอกจากนี้ 8 ใน 10 อันดับสาเหตุการตายของคนไต้หวันล้วนเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน ส่งผลให้ประเทศสูญเสียทรัพยากรทางการแพทย์เป็นเงินมหาศาล ปีละ 26,400 ล้านเหรียญไต้หวันและคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราส่วนของคนอ้วนที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี
แพทย์แนะวิธีลดความอ้วนที่ดีที่สุดคือ การควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่กันไป (ภาพจาก LTN)
โรคอ้วน (Obesity) ในทางการแพทย์หมายถึง ความผิดปกติของไขมันสะสมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเกณฑ์ของโรคอ้วนสำหรับผู้ใหญ่จะพิจารณาจากค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body mass index) คำนวณจาก น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลังสอง โดยค่า BMI 23 - 24.90 แสดงถึงน้ำหนักเกิน และค่า BMI 25 ขึ้นไปแสดงถึงโรคอ้วน ในปัจจุบันสำนักงานอาหารและยาไต้หวันอนุญาตแพทย์สั่งจ่ายยาลดความอ้วน 2 ชนิดที่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักของผู้ป่วยลงได้โดยมีผลข้างเคียงน้อยมาก ซึ่งหากแพทย์สั่งจ่ายยาให้ผู้ป่วย ระบบประกันสุขภาพจะรับผิดชอบค่ายา ผู้ป่วยไม่ต้องจ่าย แต่ต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์ โดยทั่วไปแพทย์จะให้ผู้ป่วยโรคอ้วนลดความอ้วนด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่กันไปจึงจะได้ผลดี
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย นอกจากช่วยให้สุขภาพดีแล้ว ยังช่วยรักษารูปร่างให้สมส่วนอีกด้วย (ภาพจาก ETtoday)
วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอ้วนโลก (World Obesity Day) ถูกตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2558 โดย สหพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation) ที่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งขึ้นตรงกับองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยมีความมุ่งหวังที่จะ“หยุดการเพิ่มขึ้น”ของวิกฤตโรคอ้วน (Obesity Crisis) ทั่วโลกให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2568 แต่ดูเหมือนว่า โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายริบหรี่เต็มที เพราะคนที่เป็นโรคอ้วนในทุกประเทศไม่ได้ลดน้อยลงแต่กลับเพิ่มขึ้นทุกปี
3. หลังโควิด-19 ชาวไต้หวันมีอายุยืนขึ้นเฉลี่ย 80.23 ปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 7-9 ปี คนไทเปอายุยืนสุด เฉลี่ย 83.32 ปี ไถตงต่ำสุด 76.04 ปี
ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ฉุดค่าเฉลี่ยอายุขัยของชาวไต้หวันลงอย่างมาก หลังสถานการณ์ผ่อนคลาย อายุขัยโดยเฉลี่ยของชาวไต้หวันกลับมาเพิ่มขึ้น แม้จะยังต่ำกว่าก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ก็ตาม
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยไต้หวันประกาศตารางชีพแบบย่อประจำปี 2566 ปรากฏว่า ชาวไต้หวันมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 80.3 ปี เพศหญิงอายุยืนมากกว่าผู้ชาย เฉลี่ย 83.74 ปี ส่วนผู้ชายมีอายุเฉลี่ย 76.94 ปี ตัวเลขนี้แม้จะต่ำกว่าสวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและสิงคโปร์ แต่สูงกว่าอายุขัยเฉลี่ยของโลกที่สหประชาชาติประกาศเมื่อปี 2563
ชาวไต้หวันมีอายุยืนขึ้นเฉลี่ย 80.23 ปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 7-9 ปี
ตารางชีพแบบย่อประจำปี 2566 ของกระทรวงมหาดไทยพบว่า อายุขัยเฉลี่ยของผู้ชายไต้หวันอยู่ที่ 76.94 ปี น้อยกว่าผู้ชายญี่ปุ่น แต่มากกว่าอายุขัยโดยเฉลี่ยของผู้ชายทั่วโลกถึง 7 ปี ส่วนผู้หญิงมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 83.74 ปี ก็สูงกว่าตัวเลขโดยเฉลี่ยของโลก 9 ปี สำหรับเมืองในไต้หวันที่มีอายุยืนยาวที่สุดได้แก่ กรุงไทเป มีอายุขัยโดยเฉลี่ยสูงถึง 83.32 ปี รองลงมาเป็นนครนิวไทเป ซินจู๋ เถาหยวน ไทจง ไถหนานและเกาสง ดูจากตัวเลขจะเห็นได้ว่า ชาวไต้หวันทางภาคเหนือมีอายุขัยสูงสุด ยิ่งลงไปทางใต้ ตัวเลขอายุจะลดหลั่นลงไป ส่วนเมืองที่ประชากรอายุยืนยาวน้อยสุดในไต้หวัน ได้แก่เมืองไถตง เฉลี่ย 76.04 ปี อายุสั้นกว่าชาวกรุงไทเป 7.28 ปี
ตารางชีพแบบย่อประจำปี 2566 ของกระทรวงมหาดไทย ไต้หวัน แสดงอายุขัยโดยเฉลี่ยของชาวไต้หวันในเมืองต่าง ๆ (ภาพประกอบจาก CNA)
สำหรับประเทศที่ประชากรเพศชายมีอายุขัยเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ 82.2 ปี ตามด้วยเพศชายสวีเดน 81.6 ปี นอร์เวย์ 81.4 ปี ญี่ปุ่น 81.1 ปีและสิงคโปร์ 80.5 ปี ส่วนประเทศที่เพศหญิงมีอายุขัยโดยเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ญี่ปุ่น 87.1 ปี ตามด้วยฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ 84.8 ปี สเปน 85.7 ปี เกาหลีใต้ 85.6 ปีและสิงคโปร์ 85.2 ปี
ปัจจัยที่ทำให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น กระทรวงมหาดไทยวิเคราะห์ว่า มาจากความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์ ผู้คนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและประโยชน์ของอาหารการกิน ออกกำลังกายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างในกรุงไทเป มีระบบขนมวลชนที่สะดวกรวดเร็ว ชาวไทเปจำนวนมากไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัวก็ไปมาสะดวก ระหว่างขึ้นลงรถไฟฟ้าหรือรถโดยสารประจำทาง ส่วนใหญ่จะใช้เดินเพราะระยะทางห่างกันไม่ไกล รวมทั้งมีสวนสาธารณะจำนวนมาก มีศูนย์ออกกำลังกายทุกเขตพื้นที่และมีจักรยานสาธารณะราคาถูกและสะดวกสำหรับการเดินทางในระยะสั้น ประกอบกับมีโรงพยาบาลได้มาตรฐานโลกมากมาย การจราจรในตัวเมืองไม่ติดขัด ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำงานช่วงเช้า 09.00 น. ตื่น 07.30-08.00 น. ทานอาหารเช้าแล้วค่อยออกนอกบ้านไปทำงานสบาย ๆ
ระบบการคมนาคมที่สะดวกสบาย ทำให้ชาวไทเปมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน
อายุยืนเป็นเรื่องดี แต่ต้องมีสุขภาพแข็งแรงและมีสุขภาวะที่ดี แม้จะสูงวัยแต่ก็มีความสุข สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน หากอายุยืนแต่ไม่แข็งแรงต้องนอนติดเตียง กลายเป็นภาระและทรมาน จึงแนะนำว่า ควรจะใส่ใจดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ ด้วยการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและห่างไกลอบายมุข โดยเฉพาะสุราและยาเสพติด
-
1. ดูแลสุขภาพ! แม้เข้าฤดูใบไม้ร่วง เช้ากลางคืนอุณหภูมิลดลง แต่กลางวันยังร้อนและมีฝนฟ้าคะนองช่วงบ่าย ปลายสัปดาห์หน้าอาจมีไต้ฝุ่นก่อตัวและเข้าใกล้
ช่วงนี้ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า อากาศในช่วงเช้าและกลางคืนไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนเดือนก่อน ๆ แต่กลางวันยังร้อนมาก กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนหลายเมืองในไต้หวัน อุณหภูมิยังคงสูง 36-37°c มีฝนตกฟ้องร้องในช่วงบ่ายจนถึงวันอังคารหน้า และต้องจับตาพายุโซนร้อนบนทะเลตะวันออกของฟิลิปปินส์มีแนวโน้มเคลื่อนตัวขึ้นมาทางทิศเหนือ อาจก่อตัวเป็นพายุไต้ฝุ่นและเข้าใกล้เกาะไต้หวันในปลายสัปดาห์หน้า จึงเตือนให้ระมัดระวัง
แม้เข้าฤดูใบไม้ร่วง แต่อากาศยังคงร้อนอบอ้าวและมีฝนฟ้าคะนองในช่วงบ่าย (ภาพจาก udn.com)
หลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 17 กันยายนผ่านไปแล้ว อุณหภูมิจึงจะเริ่มลดลง ปีนี้อากาศเย็นน่าจะมาเร็วกว่าทุกปี และช่วงอากาศเปลี่ยนฤดูเช่นนี้ ขอให้ดูแลสุขภาพ เนื่องจากจะทำให้ไม่สบายและป่วยได้ง่าย
2. ขายดีเกิน! ไม่สนใจก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้านและทำจราจรป่วน ร้านขนมไหว้พระจันทร์ชื่อดังในจางฮั่วถูกวิจารณ์จนต้องหยุดขายชั่วคราว
เทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ ตรงกับวันที่อังคารที่ 17 กันยายน หยุดเพียงวันเดียว ไม่สลับวันทำงานเพื่อหยุดยาวเหมือนอย่างทุกปีที่ผ่านมา เมื่อถึง 1 ใน 3 เทศกาลสำคัญตามประเพณีดั้งเดิมนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือต้องกินขนมไหว้พระจันทร์ เพราะฉะนั้น ช่วงก่อนถึงวันไหว้พระจันทร์ จะมีการซื้อขนมไหว้พระจันทร์ไว้รับประทานเองหรือส่งมอบแก่ญาติมิตรและลูกค้า ร้านดังและอร่อย ซึ่งในไต้หวันมีเป็นจำนวนมาก ในอดีตมักจะมีคนไปต่อแถวรอซื้อ เป็นภาพที่ชินตาสำหรับคนไต้หวัน แต่ปัจจุบันสภาพการณ์ต่อแถวยาว เป็นการสร้างปัญหาเดือดร้อนให้กับร้านใกล้เรือนเคียงหรือทำให้การจราจรปั่นป่วน ไม่ค่อยมีร้านที่ใช้วิธีขายแบบดั้งเดิมนี้แล้ว
ขนมเปี๊ยะ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ (ภาพจาก cw.com.tw)
แต่ที่เมืองจางฮั่ว มีร้านขายขนมไหว้พระจันทร์แห่งหนึ่งชื่อ ปู๋เอ้อฝั่ง (不二坊) ชื่อภาษาอังกฤษ Only One Shop ความหมายคืออร่อยที่สุดในปฐพีไม่มีใครเทียบเคียงได้ ร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ คงจะอร่อยสมชื่อ มีชื่อเสียงและมีคนถ่ายภาพการต่อแถวยาวเหยียดโพสต์ในสื่อโซเชียล ทำให้มีคนแห่ไปต่อแถวยาวเหยียดรอซื้อก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์จะมาถึงเป็นเดือน และปีนี้ก็เช่นกัน มีลูกค้าไปต่อแถวรอซื้อยาวเป็นหลายร้อยเมตร นอกจากมีการนำม้านั่งหรือเก้าอี้เล็กไปวาง เพื่อนั่งพักผ่อนระหว่างที่รอคิว ยังมีคนรับจ้างต่อแถวหรือรับจ้างซื้อด้วย มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่ยอมค่าจ้างใช้บริการนี้ แต่การขายที่ไม่ใช้วิธีสั่งซื้อทางออนไลน์ซึ่งถือว่าล้าสมัยมากในปัจจุบัน นอกจากผู้คนที่ไปต่อแถวจะขัดขวางทางเข้าออกร้านข้างเรือนเคียง ทำให้ไม่สามารถทำธุรกิจได้แล้ว ยังก่อให้เกิดการจราจรติดขัดหนัก เพราะรถที่วิ่งผ่านไปมาในซอยเล็กกลัวชนคนที่ต่อแถวต้องชะลอความเร็ว จนตำรวจจราจรต้องทำงานหนักขึ้นและเป็นภาพที่ดูแล้ววุ่นวายมาก
ปู๋เอ้อฝั่ง (不二坊) ชื่อภาษาอังกฤษ Only One Shop ร้านขายขนมเปี๊ยะชื่อดังตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ ในเมืองจางฮั่ว ลูกค้าไปยืนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อรอซื้อเป็นประจำทุกปี (ภาพจาก chinatimes.com)
ในปีก่อน ๆ มีชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนประท้วงและร้องเรียนจนทางร้านถูกปรับมาแล้ว ร้านอื่น ๆ เปิดขายทางออนไลน์ ส่งถึงบ้านหรือสั่งจองแล้วไปรับเอง ช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการต่อแถวของลูกค้าลงได้มาก เหลือเพียงร้านปู๋เอ้อฝั่ง ที่ไม่สนใจเสียงประท้วงของเพื่อนบ้านและคำเตือนจากทางการเมืองจางฮั่ว ยังคงขายแบบดั้งเดิมต่อไป
สภาพการต่อแถวยาวเหยียดของลูกค้าเพื่อรอซื้อขนมเปี๊ยจากร้าน ปู๋เอ้อฝั่ง ในเมืองจางฮั่ว ส่งผลกระทบต่อการค้าขายของร้านข้างเคียง (ภาพจาก udn.com)
นายเหลียนซื่อเสียน นายกเทศมนตรีเทศบาลจางฮั่วสั่งจัดการตามกฎระเบียบเด็ดขาด พร้อมวิจารณ์ว่า สมัยนี้ร้านขายขนมไหว้พระจันทร์ที่มีเสียงมากกว่าร้านนี้ เขาใช้วิธีสั่งซื้อทางออนไลน์กันหมดแล้ว แม้แต่ศาลเจ้าหรือวัด ยังใช้วิธีแจกเบอร์คิวให้ผู้คนที่ไปไหว้พระขอพร เพื่อไม่ให้มีการต่อแถวรอเป็นเวลานาน แต่ร้านปู๋เอ้อฝั่ง ดูเหมือนจะใช้วิธีขายดั้งเดิมเป็นกลยุทธ์การตลาด เพื่อสร้างภาพว่า ขนมร้านตนอร่อยขนาดไหน จนมีคนไปต่อแถวรอซื้อยาวเหยียด ทำให้ผู้คนยิ่งแห่ไปต่อคิวรอซื้อมากขึ้น จึงเตือนว่า ร้านค้าต้องมีจรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจ อย่าหวังแต่ยอดขายและกำไรอย่างเดียว โดยไม่สนใจปัญหาที่ตามมา และสั่งจัดการตามกฎหมายเด็ดขาด
ลูกค้าไปต่อแถวรอซื้อขนมเปี๊ยจากร้านปู๋เอ้อฝั่งยาวเป็นหลายร้อยเมตร นำม้านั่งหรือเก้าอี้เล็กไปวาง เพื่อนั่งพักผ่อนระหว่างที่รอคิว (ภาพจาก udn.com)
ต่อคำเตือนและเสียงวิจารณ์ข้างต้น ร้านปู๋เอ้อฝั่งเกรงจะถูกต่อต้าน รีบปิดร้านชั่วคราว รับเฉพาะสั่งซื้อทางโทรศัพท์ จนถึงวันที่ 14 กันยายนนี้ ก่อนวันไหว้พระจันทร์จะมาถึง 3 วัน จึงจะเปิดให้ลูกค้าไปซื้อในร้านได้ตามปกติ
ไม่ทราบว่า เพื่อนผู้ฟังในเมืองจางฮั่วเคยไปเห็นสภาพการต่อแถวของร้านนี้หรือไม่ และท่านชอบทานขนมไหว้พระจันทร์ไหม? โปรดปรานร้านไหนมากที่สุด?
ลูกค้าไปต่อแถวรอซื้อขนมเปี๊ยจากร้านปู๋เอ้อฝั่งยาวเป็นหลายร้อยเมตร นำม้านั่งหรือเก้าอี้เล็กไปวาง เพื่อนั่งพักผ่อนระหว่างที่รอคิว (ภาพจาก udn.com)
3. พาไปชิมเมลอนไต้หวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หวานและอร่อยที่สุด
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่การเก็บเกี่ยวเมลอนของเมืองจางฮั่ว ประกอบกับเป็นช่วงใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งผู้คนนิยมส่งมอบของขวัญให้แก่ญาติมิตร หรือลูกค้า ที่ผ่านมานิยมมอบขนมไหว้พระจันทร์กับส้มโอ แต่ในช่วงหลายปีมานี้มีการใช้ผลไม้ชนิดอื่นในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วย และเมลอนที่ออกวางตลาดในช่วงนี้ก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
ผลผลิตเมลอนไต้หวันที่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงจะมีคุณภาพดี หวานและอร่อยที่สุด (ภาพจาก linetaxi.com.tw)
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เทศบาลเมืองจางฮั่วได้จัดกิจกรรมโปรโมทเมลอนของเมืองจางฮั่ว ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่อยู่ในตำบลหย่งจิ้ง ประมาณ75 เฮกตาร์ (468.75 ไร่) จัดเป็นแหล่งผลิตเมลอนใหญ่อันดับ 5 ของไต้หวัน และผลผลิตเมลอนของเมืองจางฮั่วก็มีคุณภาพเยี่ยม รสชาติหวานกรอบอร่อยไม่แพ้เมลอนจากเมืองอื่น ในไต้หวันมีการปลูกเมลอนกันในเกือบทุกเมือง ปลูกได้ทุกฤดูกาลและมีผลผลิตตลอดปี โดยส่วนใหญ่เป็นการปลูกในโรงเรือน เริ่มจากการเพาะเมล็ดพันธุ์เมล่อนเป็นต้นกล้าจนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิต ใช้เวลาประมาณ 75 วันหรือ 2 เดือนครึ่ง เท่านั้น โดยข้อมูลล่าสุดของกระทรวงเกษตรไต้หวันระบุว่า ไต้หวันมีพื้นที่เพาะปลูกเมลอนทั้งสิ้น 2,130 เฮกตาร์ (13,312.5 ไร่) โดยแหล่งเพาะปลูกสำคัญอยู่ที่นครไถหนานมีพื้นที่เพาะปลูก 806 เฮกตาร์ (5,037.5 ไร่) หรือคิดเป็นร้อยละ 44.65 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศ แต่ละปีมีผลผลิตรวมประมาณ 24.22 ล้านกิโลกรัม ในจำนวนนี้นครไถหนานผลิตได้ 9.6 ล้านกิโลกรัมหรือคิดเป็นร้อยละ 39.6 มากที่สุดในไต้หวัน รองลงมาคือหยุนหลิน เจียอี้ เกาสง ผิงตง จางฮั่ว อี๋หลาน เถาหยวน ไทจง ไถตง หนานโถว ซินจู๋ เหมียวลี่ ฮัวเหลียนและเกาะเผิงหู โดยแต่ละพื้นที่จะทยอยเก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนธันวาคมหรือเป็นเวลาร่วมแปดเดือน
ไต้หวันมีพื้นที่เพาะปลูกเมลอนทั้งสิ้น 2,130 เฮกตาร์หรือประมาณ 13,312.5 ไร่ แหล่งเพาะปลูกสำคัญอยู่ที่นครไถหนาน (ภาพจาก agriharvest.tw)
เนื่องจากเมลอนชอบแสงแดดแต่ต้องไม่ร้อนเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมแก่การเติบโตของเมลอนจะอยู่ระหว่าง 25 - 30 องศาเซลเซียส ในไต้หวันจึงปลูกได้ทั้ง 4 ฤดู โดยแต่ละฤดูมีผลผลิตของสายพันธุ์ที่ต่างกัน แต่เมลอนที่ออกผลในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วงจะมีคุณภาพดีที่สุด ในฤดูร้อนอากาศที่ร้อนเกินไป มีเฉพาะพันธุ์ ไถหนาน เบอร์ 13 ที่เหมาะในการเพาะปลูก และเป็นหนึ่งในสายพันธุ์เมลอน 20 กว่าสายพันธุ์ซึ่งล้วนมาจากการปรับปรุงพันธุ์พืช โดยนำพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์มาจากทวีปแอฟริกา แต่ที่ปลูกมากที่สุดได้แก่เมลอนผิวลายตาข่ายเนื้อสีเขียวและเนื้อสีส้ม
เมลอนสายพันธุ์ไถหนานเบอร์ 13 ที่สถาบันวิจัยการเกษตรไต้หวันพัฒนาพันธุ์เพื่อนำมาให้เกษตรกรเพาะปลูก ทนอากาศร้อนได้ดี ปลูกได้ตลอดปี (ภาพจาก chinatimes.com)
* เมลอน เป็นพืชในตระกูลแตง (ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cucumis melo L. อยู่ในวงศ์ Cucurbitaceae) เป็นพืชล้มลุก ที่มีลำต้นเป็นเถาทอดเลื้อย มีขนปกคลุมทั่วทั้งลำต้น และใบดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละดอก ผลมีลักษณะกลมรี สีของเปลือกและสีของเนื้อจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ บางพันธุ์มีผิวหยาบ เปลือกแข็ง มีร่องลึกรอบๆผล บางพันธุ์มีลายคล้ายร่างแหหรือตาข่ายแต่บางพันธุ์ก็ผิวเรียบไม่มีลาย (* ข้อมูลจาก baanlaesuan.com)
เมลอนเป็นผลไม้รสชาติหวานอร่อยและมีสรรพคุณเป็นยาเย็น ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก แต่เนื่องจากมีความหวานมาก ผู้ที่เป็นเบาหวานควรหลีกเลี่ยง (ภาพจากyummyday.com.tw)
**แม้เมลอนเป็นผลไม้ที่รสชาติหวานอร่อยและมีสรรพคุณเป็นยาเย็น ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก บรรเทาอาการไอ โลหิตจางหรือโรคกระเพาะ แต่เนื่องจากมีความหวานค่อนข้างสูง ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือเสี่ยงจะเป็นไม่ควรบริโภค (** ข้อมูลจาก baanlaesuan.com)
-
1. รายได้ตามไม่ทันราคาบ้าน! วิศวกรบริษัทไฮเทคในซินจู๋บ่นบ้านแพง รายได้ต่อปี 1.5-2 ล้านเหรียญ อยู่ในซินจู๋ถือเป็นผู้มีรายได้ต่ำ ไม่มีปัญญาซื้อบ้าน
ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตชิปสำคัญของโลกและอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เติบโตเร็วมาก แน่นอนพนักงานและวิศวกรในบริษัทเทคโนโลยีชั้นสูงเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีหลายแห่ง โดยเฉพาะที่ซินจู๋ รายได้จะสูงกว่ามนุษย์เงินเดือนที่อื่น อย่างพนักงานทั่วไป ไม่ใช่ระดับบริหารของ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing) บริษัทผลิตชิปรายใหญ่ของโลกสัญชาติไต้หวัน ในปี 2566 เงินเดือนของพนักงานทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 2.842 ล้านเหรียญต่อปี เป็นที่อิจฉาของมนุษย์เงินเดือนบริษัทอื่น ๆ แต่การที่มีมนุษย์เงินเดือนจำนวนมาก นอกจากค่าครองชีพแพงตามแล้ว ส่งผลให้ราคาบ้านและที่ดินก็พุ่งสูงตามไปด้วย
TSMC บริษัทผลิตชิปรายใหญ่สุดของโลกสัญชาติไต้หวัน ในปี 2566 เงินเดือนของพนักงานทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 2,842,000 เหรียญต่อปี
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีพนักงานบริษัทไฮเทคในซินจู๋ โพสต์ข้อความในกลุ่มโซเชียลระบายความรู้สึกท้อแท้ว่า ตนเป็นวิศวกรในบริษัทไฮเทคแท้ ๆ เงินเดือนก็หลักแสนขึ้นไป แต่ทำไมไม่มีปัญญาซื้อบ้าน ปรากฏว่า มีมนุษย์เงินเดือนหัวอกเดียวกัน มากดไลค์และคอมเมนต์มากมายว่า ตนก็เช่นกัน เหล่าวิศวกรจำนวนมากแสดงความเห็นว่า คนทำงานในซินจู๋ รายได้ต่อปีอยู่ที่ล้านเศษ ๆ ถือเป็นผู้มีรายได้ต่ำ ต่อให้มีรายได้ 3 ล้านเหรียญก็เถอะ ยังยากที่จะซื้อบ้านในซินจู๋ได้ พนักงาน TSMC หลายราย แสดงความเห็นในเชิงเยาะเย้ยตัวเองว่า มีรายได้สูงก็จริง แต่ไม่สามารถซื้อหุ้นบริษัทตนเองได้เลยแม้จะเพียงใบเดียว ทั้งนี้ หุ้น TSMC ราคาสูงสุดช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อยู่ที่หุ้นละมากกว่า 1,000 เหรียญ ใบละ 1,000 หุ้น ราคากว่า 1 ล้านเหรียญ ปัจจุบันแม้จะร่วงตกลงไปบ้าง แต่ก็ยังใกล้แตะ 1,000 เหรียญต่อหุ้น
ราคาบ้านและที่ดินในซินจู๋พุ่งไม่หยุด วิศวกรในบริษัทไฮเทคบ่น รายได้ต่อปีหลักล้านขึ้นไป แต่ทำไมไม่มีปัญญาซื้อบ้าน (ภาพจาก udn.com)
สาเหตุที่มนุษย์เงินเดือนรายได้หลักแสนขึ้นไป แต่ยังไม่สามารถซื้อบ้านได้ เพราะราคาบ้านและที่ดินในซินจู๋แพงขึ้นหลายเท่าตัวในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ อย่างที่เทศบาลจู๋เป่ย ซึ่งเป็นที่ตั้งบริษัทไฮเทคจำนวนมาก ราคาบ้านขึ้นจากผิงละ (มาตราวัดพื้นที่ของไต้หวัน 1 ผิง เท่ากับ 3.3 ตร. ม.) 200,000 เหรียญ ซึ่งในอดีตถือว่าแพงแล้ว ปัจจุบันพุ่งขึ้นเป็นผิงละเกือบล้านเหรียญ ทำให้มนุษย์เงินเดือนจำนวนมาก ทำงานตลอดทั้งปี หักค่าอยู่ค่ากินอย่างประหยัด เงินเหลือเก็บไม่พอซื้อบ้าน 1 ผิง บางคนเสนอว่า รัฐบาลต้องปรับนิยามผู้มีรายได้ต่ำในซินจู๋เสียใหม่ รายได้ 1.5 ล้านเหรียญต่อปี ถือเป็นผู้มีรายได้ต่ำ รัฐบาลควรให้การอุดหนุน
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ ราคาบ้านและที่ดินในซินจู๋แพงขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะที่เทศบาลจู๋เป่ย ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทไฮเทคจำนวนมาก (ภาพจาก udn.com)
เหตุที่ราคาบ้านและค่าครองชีพในซินจู๋แพง โดยเฉพาะที่เทศบาลจู๋เป่ย เพราะเป็นที่ตั้งของบริษัทไฮเทคจำนวนมาก เมื่อพนักงานมีรายได้สูง กระจุกตัวอยู่กันจำนวนมาก ความต้องการเช่าบ้านและราคาบ้านจึงแพงตามไปด้วย
ในภาพเป็นย่านสถานีรถไฟความเร็วสูงจู๋เป่ย ราคาบ้านแพงมาก (ภาพจาก wealth.com.tw)
ในตัวเมืองซินจู๋ มีประชากร 445,000 คน เนื่องจากเป็นที่ตั้งของอุทยานวิทยาศาสตร์แหล่งผลิตเซมิคอนดัคเตอร์หรือแผ่นชิปเป็นส่วนใหญ่ มีพนักงานที่ทำงานในบริษัทไฮเทคในอุทยานวิทยาศาสตร์ประมาณ 200,000 คน เป็นเมืองที่พนักงานจบปริญญาโท ปริญญาเอกหนาแน่นที่สุดในไต้หวัน เฉพาะในอุทยานวิทยาศาสตร์มีประมาณ 65,000 คน ครองสัดส่วน 40% ของพนักงานทั้งหมด จนมีคนบอกว่า มนุษย์เงินเดือนในอุทยานวิทยาศาสตร์ซินจู๋ทุก 10 คน อย่างน้อย 4 คนที่เคยเขียนวิทยานิพนธ์มาแล้ว และอุทยานวิทยาศาสตร์ซินจู๋เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการผลิตสูงสุดในไต้หวัน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาประมาณ 1.5 ล้านล้านเหรียญไต้หวัน เป็นฐานผลิตชิปหรือแผงวงจรขนาดเล็กที่มีขั้นตอนการผลิตขั้นสูง ทำให้วิศวกรที่เมืองซินจู๋มีรายได้ต่อปีสูงมาก โดยทั่วไปรายได้เริ่มต้นกันที่ 3-5 ล้านเหรียญต่อปี แต่แม้รายได้สูง คนจำนวนมากไม่อยากซื้อบ้าน เพราะบ้านราคาแพง ทำให้ค่าเช่าแพงขึ้นและเจ้าของบ้านเลือกคนเช่าด้วย คนทั่วไปเช่ายาก ถึงขั้นเวลาไปเช่าบ้าน เจ้าของบ้านจะขอดูหลักฐานการทำงานเพื่อยืนยันว่าเป็นวิศวกรจริงหรือไม่?
ราคาบ้านและที่ดินพุ่งในซินจู๋แสนแพง ทำค่าเช่าบ้านแพงตามไปด้วย แถมต้องเป็นวิศวกรทำงานในอุทยานวิทยาศาสตร์จึงจะมีโอกาสเช่าบ้านอยู่
2. หมู่บ้านที่ร่ำรวยที่สุดในไต้หวัน 5 อันดับแรกอยู่ในเมืองซินจู๋ 4 หมู่บ้านกวนซินลี่ ลูกบ้านประมาณ 6,000 คน มีรายได้เฉลี่ยต่อปีคนละ 4.6 ล้านเหรียญ
จากข้อมูลการเสียภาษีในปี 2567 ของกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีของปี 2566 ที่ผ่านมาพบว่า หมู่บ้านกวนซินหลี่ รั้งแชมป์รายได้เฉลี่ยต่อปีของมนุษย์เงินเดือนทั่วไต้หวันต่อเนื่อง ลูกบ้านของหมู่บ้านนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิศวกรมีรายได้เฉลี่ยต่อปี 4.611 ล้านเหรียญ
หมู่บ้านกวนซินในซินจู๋ ลูกบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิศวกรมีรายได้เฉลี่ยต่อปี 4.611 ล้านเหรียญ จัดเป็นหมู่บ้านที่มีรายได้สูงสุดในไต้หวัน
หากจัดอันดับหมู่บ้านที่ลูกบ้านมีรายได้เฉลี่ยสูงสุด 5 อันดับแรก อยู่ในเมืองซินจู๋ถึง 4 อันดับ นอกจากหมู่บ้านกวนซินหลี่ ครองแชมป์รายได้เฉลี่ยต่อปีของมนุษย์เงินเดือนทั่วไต้หวันต่อเนื่องแล้ว อันดับ 2 หมู่บ้านต้าถงหลี่ ลูกบ้านมีรายได้เฉลี่ยต่อปี 3.887 ล้านเหรียญ อันดับ 3 หมู่บ้านจงซิงหลี่ 3.475 ล้านเหรียญไต้หวัน เบียดหมู่บ้านหย่งฝูที่เคยอยู่อันดับ 3 ตกขอบลงมาอยู่ในอันดับ 4 ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อปี 3.425 ล้านเหรียญไต้หวัน และอันดับ 5 หมู่บ้านตงผิงหลี่ ลูกบ้านมีรายได้เฉลี่ยต่อปี 3.36 ล้านเหรียญไต้หวัน
ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ซินจู๋ มีบริษัทไฮเทคระดับแนวหน้าของโลกตั้งอยู่กว่า 500 บริษัท (ภาพจาก FB : Hsinchu Science Park)
หินเต้าหู้ ทางชะลอน้ำที่กลายเป็นแหล่งเช็คอินและถ่ายภาพยอดฮิตของเมืองซินจู๋ (ภาพจาก treatrip.com)
3. บุฟเฟต์คิดเป็นรายหัว กินอาหารแบบไม่อั้น โดนใจนักกินชาวไต้หวัน
บุฟเฟต์ ในภาษาไทย หมายถึงการขายอาหารซึ่งผู้ขายจัดอาหารไว้หลายอย่าง และคิดราคาอาหารเหมาเป็นรายบุคคล ผู้ซื้อเลือกหยิบอาหารรับประทานเองและรับประทานได้เต็มที่ตามความพอใจ ในภาษาจีนคำว่าบุฟเฟต์ คือ自助餐 ส่วนการกินอาหารแบบไม่อั้นและคิดราคาอาหารเหมาเป็นรายบุคคล เรียกว่า 吃到飽 หรือแปลตรงตัวว่ากินจนอิ่ม ซึ่งในไต้หวันได้รับความนิยมอย่างมาก ยิ่งแพงลูกค้ายิ่งเยอะ บางร้านต้องจองล่วงหน้าเป็นครึ่งปี
บุฟเฟ่ต์คิดเป็นรายหัว กินอาหารแบบไม่อั้น โดนใจนักกินชาวไต้หวัน(ภาพจาก playing.ltn.com.tw)
วัฒนธรรมการกินบุฟเฟต์ในไต้หวันได้รับความนิยมมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วและยังคงไม่เสื่อมถอยลง ในทางตรงกันข้ามภายใต้สถานการณ์ที่ราคาสินค้าทุกชนิดถีบตัวสูงขึ้น การกินบุฟเฟต์ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้คนต้องการผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน การกินอาหารเป็นการเยียวยาอารมณ์ได้อย่างหนึ่ง และการกินบุฟเฟต์ทำให้ได้กินอาหารอร่อยที่ตนเองชื่นชอบแต่ไม่ได้กินบ่อย ๆ แถมมีให้เลือกมากมาย และจะกินเท่าไหร่ก็ได้ เพราะคิดราคาเป็นรายหัว ความนิยมกินบุฟเฟต์ในไต้หวันเริ่มจากช่วงแรกสุดเป็น Afternoon Tea ในโรงแรมหรู ต่อมาเป็นการกินบุฟเฟต์หม้อไฟ บุฟเฟต์อาหารตะวันตก บุฟเฟต์พิซซ่า บุฟเฟต์ติ่มซำ บุฟเฟต์ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น บุฟเฟต์หม้อไฟหมาล่า บุฟเฟต์อาหารเสฉวน บุฟเฟต์อาหารตามสั่ง บุฟเฟต์ขนมหวานฯลฯ เรียกได้ว่า มีทุกประเภท นอกจากนี้อาหารไทยซึ่งได้รับความนิยมในหมู่ชาวไต้หวันมานานกว่ายี่สิบปี ก็มีร้านอาหารไทยหลายแห่งทำเป็นบุฟเฟต์อาหารไทย คิดเป็นรายหัว ก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน
ร้านอาหารไทยในไต้หวันหลายแห่ง คิดราคาอาหารเป็นรายหัว ซึ่งก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน (ภาพจาก innews.com.tw)
ในส่วนของราคาต่อหัวก็มีตั้งแต่แบบย่อมเยา 300 กว่าเหรียญไต้หวัน ไปจนถึง 4,000 กว่าเหรียญไต้หวัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยม ร้านเหล่านี้ต้องจองล่วงหน้าทั้งนั้น บางร้านต้องจองล่วงหน้าหลายเดือนทีเดียว อย่างร้านบุฟเฟต์สุดหรู A Joy (饗 ออกเสียงว่า เสี่ยง) ที่เปิดบนชั้นที่ 86 ของอาคารไทเป 101 ราคาหัวละ 4,268 เหรียญไต้หวัน ได้ชื่อว่าเป็นบุฟเฟต์ที่แพงอันดับ 2 ของโลกรองจาก Colony Buffet ในโรงแรม The Ritz-Carlton ที่สิงคโปร์ ตั้งแต่ A Joy (饗) เปิดตัวเมื่อกลางปี 2566 จนถึงวันนี้ คนยังแห่จองกันถล่มทลาย
ร้านบุฟเฟต์สุดหรู A Joy (饗) ที่เปิดบนชั้นที่ 86 ของอาคารไทเป 101 ราคาหัวละ 4,268 เหรียญไต้หวัน (ภาพจาก supertaste.tvbs.com.tw)
A Joy (饗) มีล็อบสเตอร์ให้ลูกค้ากินแบบไม่อั้น สมกับเป็นร้านอาหารบุฟเฟต์ที่แพงอันดับ 2 ของโลก (ภาพจาก supertaste.tvbs.com.tw)
มีใครรู้บ้างว่าคำว่า บุฟเฟต์ (Buffet) มีต้นกำเนิดมาจากไหน ตามข้อมูลระบุว่า การกินบุฟเฟต์ถือกำเนิดในช่วงศตวรรษที่ 8-12 ในงานเลี้ยงฉลองของโจรสลัดในแถบคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย (บางตำราระบุว่ามีต้นกำเนิดจากประเทศสวีเดน) ที่กลับจากการปล้นสะดมเรือสินค้าที่แล่นในทะเล เมื่อกลับขึ้นฝั่งโจรสลัดจะจัดงานเลี้ยงฉลองซึ่งจะมีการนำออเดิร์ฟซึ่งจะเป็นอาหารประเภทเนื้อไก่ออกมาวางจนเต็มโต๊ะ เพื่อให้เหล่าลูกสมุนโจรสลัดหยิบกินกันตามอำเภอใจ อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 18 การกินอาหารแบบบุฟเฟต์จึงเริ่มได้รับความนิยมในประเทศฝรั่งเศส โดยมีจุดเริ่มต้นจากหนุ่มฝรั่งเศสไปหาสาวคนรักที่บ้านของเธอเพื่อขอแต่งงาน โดยมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ตามไปเชียร์ ด้วยความตื่นเต้นยินดีที่ชายคนรักขอแต่งงาน หญิงสาวทำอะไรไม่ถูก และไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาเลี้ยงเพื่อนๆของฝ่ายชาย จึงขนอาหารและขนมที่มีอยู่ออกมาวางรวมกันบนโต๊ะให้เพื่อนๆของชายหนุ่มยืนล้อมโต๊ะอาหารแล้วหยิบกินกันตามสบาย ตั้งแต่นั้นเป็นมา ความนิยมในการกินอาหารแบบบุฟเฟต์ก็แพร่ไปทั่วทั้งยุโรป ประกอบกับในยุคนั้นชนชั้นสูงของอังกฤษเริ่มเบื่อหน่ายธรรมเนียมปฏิบัติบนโต๊ะอาหารที่เคร่งครัดและการรับประทานที่มีคนใช้คอยบริการอยู่ข้างๆ อีกทั้งรู้สึกไม่มีความเป็นส่วนตัว พวกเขาอยากกินอาหารแบบสบายๆ และไม่มีคนยืนบริการอยู่ข้างๆ การกินอาหารแบบบุฟเฟต์จึงตอบโจทย์ความต้องการนี้อย่างพอดิบพอดี
การกินบุฟเฟต์ทำให้ได้กินอาหารอร่อยที่ตนเองชื่นชอบแต่ไม่ได้กินบ่อย ๆ แถมมีให้เลือกมากมาย แต่ไม่ควรทานมากเกินไปเพราะเป็นผลเสียต่อสุขภาพ (ภาพจาก Nownews)
ที่สหรัฐอเมริกาความนิยมในการกินบุฟเฟต์เพิ่งได้รับความนิยมในทศวรรษที่ 1930 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก การกินบุฟเฟต์ที่คิดราคาเป็นรายหัว แม้อาหารจะไม่ได้มีราคาแพงหรือหรูหรามากนัก แต่ช่วยให้ผู้บริโภคได้กินอาหารหลายอย่าง กินแบบไม่อั้นจนกว่าจะพอใจ ในขณะที่ผู้ประกอบการลดต้นทุนลงได้เพราะลูกค้าต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ต้องมีพนักงานเสิร์ฟ เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม การกินบุฟเฟต์ก็มีผลเสีย กล่าวคือมักทำให้กินอาหารมากเกินไปซึ่งจะทำให้ท้องอืด เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารมากขึ้น ปวดท้อง แน่นท้อง มีลมในท้อง ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบได้
-
1. บอกลาฤดูร้อน! ไต้หวันเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิเริ่มลดลง แต่ยังต้องระวัง อากาศร้อน ฝนฟ้าคะนองช่วงบ่ายและไต้ฝุ่น จนถึงพฤศจิกายน
วันขึ้น 4 ค่ำเดือน 7 ตามปฏิทินจีน ปีนี้ตรงกับวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นวันลี่ชิว (立秋) อยู่ลำดับฤดูกาลที่ 13 ใน 24 ฤดูกาลของจีน เป็นวันบอกลาฤดูร้อน ต้อนรับฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งบ่งบอกว่าฤดูที่อากาศร้อนอบอ้าวกำลังจะผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศสบาย ๆ ไม่ร้อนจัดและไม่หนาวกำลังจะมาเยือน พืชพันธุ์เริ่มผลิดอกออกผล และฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวของเกษตรกรได้มาถึงแล้ว แม้นว่า เกษตรกรรุ่นใหม่ในไต้หวันจะไม่สืบทอดประเพณีบวงสรวงเทพยดาฟ้าดิน เพื่อขอให้การเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตดี แต่ชาวนาในไต้หวันจะยึดเอาเทศกาลลี่ชิวเป็นหลัก ทำการปักดำต้นกล้าข้าวในฤดูเพาะปลูกที่ 2 หรือข้าวนอกฤดู บ้านเราเรียกกันว่าข้าวนาปรัง หากปักดำช้ากว่านี้ ต้นข้าวจะเจออากาศหนาวเหน็บในฤดูหนาว ทำให้ผลเก็บเกี่ยวข้าวนอกฤดูไม่ดีเท่าที่ควร
อากาศในไต้หวันเริ่มลดความร้อนแรงลง หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง (ภาพจากกรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวัน)
ปัจจุบัน สภาพอากาศแปรปรวน แม้จะเข้าสู่ปลายฤดูร้อนแล้ว แต่อากาศยังร้อนอบอ้าวไม่แพ้ช่วงก่อนหน้านี้ และบ่าย ๆ ยังคงมีฝนฟ้าคะนอง จนพื้นที่อย่างไถหนาน เกาสงเกิดน้ำท่วมขังบ่อย และที่ยังวางใจไม่ได้ก็คือพายุไต้ฝุ่น ช่วงนี้มีไต้ฝุ่นเกิดขึ้นด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกพร้อมกันถึง 3 ลูก เป็นสภาพการณ์ธรรมชาติที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก แต่โชคดี ไต้ฝุ่นทั้ง 3 ลูกพัดไปทางญี่ปุ่นและเกาหลี ไม่มีกระทบต่อไต้หวัน
หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์กลางเดือนหน้าเป็นต้นไป อากาศจะลดความร้อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจะเริ่มสบาย ๆ ไม่ร้อนเหมือนก่อนหน้านี้ เหมาะสำหรับท่องเที่ยว ก่อนจะเข้าสู่หน้าหนาวต่อไป
เข้าสู่ฤดูใบไม่ร่วง ใบต้นเมเปิลในอุทยานป่าไม่ซานหลินซีในหนานโถวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดง สวยงามมาก นี่เป็นภาพของเมื่อปี 2566 (ภาพจาก สนง. บริหารอุทยานป่าไม่ซานหลินซี)
2. วิกฤตประชากร! ทารกแรกเกิดของไต้หวันในปี 2566 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ปีที่แล้วทารกแรกเกิดในไต้หวันมีประมาณ 130,000 คน ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ปีนี้เป็นปีนักษัตรมังกร แต่ในช่วงครึ่งปีแรก มีทารกแรกเกิดแค่ประมาณ 64,000 คน ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปีที่แล้ว คาดว่าตลอดปีนี้อัตราการเกิดของไต้หวันจะทำสถิติใหม่ที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ปีที่แล้วทารกแรกเกิดในไต้หวัน ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ (ภาพจาก Up Media)
สมาคมสูตินรีเวชไต้หวัน เปิดเผยว่า 12 ปีก่อน ซึ่งเป็นปีนักษัตรมังกรในรอบที่แล้ว ทารกแรกเกิดไต้หวันเพิ่มขึ้น 10- 15% แต่ปีนักษัตรมังกรรอบนี้ไม่มีปรากฏการณ์ดังกล่าว อาจเป็นเพราะแนวคิดของคนสมัยใหม่ ที่ไม่ได้รู้สึกว่าการมีลูกปีมังกรเป็นเรื่องสำคัญ ที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ อัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจัดเป็นวิกฤตความมั่นคงของชาติ
ในอดีตคนไต้หวันนิยมกำเนิดบุตรในปีนักษัตรมังกร แต่ปัจจุบันความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเด็กปีมังกรเสื่อมถอยลงมาก (ภาพจาก CNA)
ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า จำนวนทารกแรกเกิดในปีนี้อาจแตะระดับต่ำสุดใหม่อีกครั้ง ดังนั้นกุญแจสำคัญในการส่งเสริมการคลอดบุตรคือ การปรับปรุงสถานที่ทำงานให้มีความเป็นมิตรและรัฐบาลต้องมีสวัสดิการสังคมที่ดีกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม อัตราการเกิดต่ำ ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านความมั่นคงของชาติเท่านั้น แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กำลังแรงงานอายุระหว่าง 15- 29 ปี ได้ลดลง 160,000 คน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงานในอนาคตด้วย
อัตราการเกิดต่ำส่งผลต่อกำลังแรงงานในอนาคตด้วย (ภาพจาก CNA)
3. เจียอี้ ไทเป หนานโถว เข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดก่อนใคร...ผู้สูงอายุ 9.77 แสนคนจากทั้งหมด 4.19 ล้านคน อยู่ในบ้านโดดเดี่ยวคนเดียว
ผู้สูงอายุในสังคมไต้หวันมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มขึ้นไวกว่าหลาย ๆ ประเทศ ตามนิยามขององค์การสหประชาชาติ ผู้สูงอายุ หมายถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ใช้อายุ 65 ปีขึ้นไป เป็นเกณฑ์ในการเรียกผู้สูงอายุ และแบ่งสังคมที่มีผู้สูงอายุตามเกณฑ์ดังนี้ :
ไต้หวันเตรียมเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดเต็มตัวในปีหน้า ขณะนี้ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมี 4.19 ล้านคนจากยอดจำนวนประชากร 23.4 ล้านคน
สังคมสูงวัย (Aged Society) หมายถึงสังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 7% ของประชากรทั้งหมด (หากใช้เกณฑ์อายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 10%) เรียกสังคมสูงวัย
สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 14% ของ
ประชากรทั้งหมด (หรือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20%)
สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของ
ประชากรทั้งหมด (หรือประชากรอายุ 60 ปีขึ้นมากกว่า 28%)
นายหลินจินลี่ (คนยืน) ผอ. รร. ชุมชนคนสูงวัยกล่าวว่า ทุกคนวางแผนชีวิตค่อนข้างดี แม้แต่หลังชีวิตจะจัดการอย่างไรก็เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว แต่น้อยคนนักที่จะเตรียมตัวรับมือชีวิตที่ช่วยตัวเองไม่ได้ในยามชรา (ภาพจาก udn.com)
ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยพบว่า ในปี 2566 ทั่วไต้หวันมีประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป 4.188 ล้านคน ครองสัดส่วน 17.8% ของประชากรทั้งหมด เมืองที่มีประชากรผู้สูงอายุมากสุดได้แก่ เจียอี้ 21.9% กรุงไทเป 21.3% และนานโถว 20.3% หรือกล่าวอีกในหนึ่งทั้ง 3 เมืองที่กล่าวมา ประชากรทุก 5 คนมี 1 คนที่เป็นผู้สูงอายุ และเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ทั่วไต้หวันจะเข้าสู่สังคมระดับสูงวัยระดับสุด
ปัญหาที่ตามมาคือ การดูแลความเป็นอยู่ของกับผู้สูงอายุเหล่านี้ จากการสำรวจของกระทรวงมหาดไทยพบว่า ในจำนวนผู้สูงอายุ 4.188 ล้านคน มีจำนวนมากถึง 9.77 แสนคนหรือ 23.3% อยู่ในบ้านเก่าอย่างโดดเดี่ยวคนเดียว ผู้สูงอายุดูแลกันเอง 5.18 แสนคนหรือ 12.36%
4. ทาสแมวต้องรู้! ไต้หวันเตรียมขึ้นทะเบียนน้องแมวที่เลี้ยงในบ้าน ตั้งแต่กันยายน 2568 ฝ่าฝืนปรับสูงสุด 15,000 เหรียญไต้หวัน
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรไต้หวันแถลงว่า จะมีการแก้ไขข้อบังคับโดยกำหนดให้ต้องมีการขึ้นทะเบียนแมวที่เลี้ยงไว้ในบ้านเช่นเดียวกับสุนัข ซึ่งล้วนเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมจากคนไต้หวัน คาดจะมีผลเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 เป็นต้นไป
ไต้หวันเตรียมขึ้นทะเบียนน้องแมวที่เลี้ยงในบ้าน ตั้งแต่กันยายน 2568 ฝ่าฝืนปรับ 3,000-15,000 เหรียญไต้หวัน (ภาพจาก agriharvest.tw)
จากสถิติของกระทรวงเกษตรไต้หวัน ระบุว่า ปี 2566 จำนวนสุนัขเลี้ยงในบ้านมีมากถึง 1,486,370 ตัว เพิ่มขึ้น 19% จาก 1,235,218 ตัว ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ขณะที่จำนวนแมวเลี้ยงในบ้านเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 50% โดยมีจำนวนมากถึง 1,311,449 ตัว จาก 870,801 ตัวในช่วงเดียวกันของปี 2564
ปี 2566 ไต้หวันมีแมวที่เลี้ยงในบ้าน 1.311 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 50% จากสองปีก่อนหน้านั้น (ภาพจาก epochtimes.com)
เนื่องจากจำนวนแมวเลี้ยงในบ้านเพิ่มขึ้นมาก กระทรวงเกษตรจึงได้ขยายข้อบังคับให้ครอบคลุมแมวเช่นเดียวกับสุนัข ซึ่งจะต้องทำการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์เลี้ยงและฝังชิป คาดว่าระเบียบใหม่นี้จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนหรือตุลาคมนี้ โดยมีระยะเวลาผ่อนผัน 1 ปี เพื่อให้เจ้าของแมวได้ปฏิบัติตามข้อกำหนด หากเจ้าของไม่ทำการจดทะเบียนเกี่ยวกับการเกิด การนำมาเลี้ยง การโอนให้ผู้อื่นเลี้ยง การสูญหาย หรือการตายของสัตว์เลี้ยงภายในระยะเวลาที่กำหนด จะถูกปรับเป็นเงิน 3,000-15,000 เหรียญไต้หวัน
แมวเมนคูน (Maine Coon Cat) เป็นแมวที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาทาสแมวในไต้หวัน จัดเป็นสายพันธุ์แมวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีถิ่นกำเนิดในรัฐเมน ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีนิสัยขี้อ้อน น่ารัก ชอบอยู่กับผู้คน จึงทำให้มนุษย์ทั้งหลายหลงรักมัน (ภาพจาก inutoyoya.com)
-
1. เปิดอันดับงบอัดฉีดนักกีฬาโอลิมปิกประเทศต่าง ๆ ไต้หวันใจป้ำจ่ายเหรียญทอง 25.72 ล้านเหรียญ สูงอันดับต้น ๆ ของโลก ถ้ารับเป็นรายเดือนสูงอันดับ 1 ของโลกแน่นอน บางประเทศให้บ้าน ให้วัว ดื่มเบียร์ฟรีตลอดชีพ ฯลฯ
การแข่งขันโอลิมปิกปี 2024 ที่กรุงปารีส เริ่มมาตั้งแต่ 26 กรกฎาคม หลังจากนักกีฬาจากประเทศต่าง ๆ ได้เข้าร่วมแข่งขันเพื่อชิงเหรียญกันอย่างดุเดือดมาตลอด 17 วัน มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปีดังกล่าวกำลังจะปิดฉากลงแล้วในวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคมนี้ เจ้าเหรียญทองคงหนีไม่พ้นประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน ก็คงรู้กันแล้วว่าประเทศใดครองแชมป์ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า โอลิมปิกนั้นแจกแต่เหรียญไม่มีการจ่ายเงินเงินรางวัล โดยผู้ที่ชนะได้เหรียญจากการแข่งขันโอลิมปิก จะไม่ได้รับเงินรางวัลจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee) แต่จะได้เงินรางวัลจากหน่วยงานของแต่ละประเทศที่ทำหน้าที่ให้เงินรางวัล หรือเงินอัดฉีดกับนักกีฬาที่ได้เหรียญเอง และนักกีฬาในบางประเทศ เช่น อังกฤษ และนอร์เวย์ จะไม่ได้รับเงินรางวัลเมื่อได้เหรียญเลย ดังนั้น เงินรางวัลและรางวัลจูงใจอื่น ๆ ที่นักกีฬาแต่ละประเทศจะได้รับหลังจากคว้าเหรียญโอลิมปิกจะได้ไม่เท่ากัน และไม่มีมาตรฐานตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละหน่วยงานของประเทศนั้น ๆ จะตัดสินใจให้เงินกับผู้ชนะเหรียญแต่ละประเภทเท่าไหร่?
ณ วันที่ 9 ส.ค. 67 นักกีฬาไต้หวันคว้าเหรียญมาครองแล้ว 1 เหรียญทอง 5 เหรียญทองแดง ในภาพเป็นพิธีเชิญธงโอลิมปิกไต้หวันขึ้น หลังนักแบดชายคู่ไต้หวันชนะการแข่งขันได้ 1 เหรียญทอง (ภาพจาก chinatimes.com)
สำหรับไต้หวัน ณ วันที่ 10 ส.ค. 67 คว้ามาได้แล้ว 1 เหรียญทอง 5 เหรียญทองแดง ท่านรู้ไหมว่า นักกีฬาไต้หวันที่คว้าเหรียญโอลิมปิกได้รับเงินรางวัลมากน้อยเท่าไหร่? ของเรียนให้ทราบว่าค่อนข้างสูงทีเดียว หากนับแค่เงินรางวัลตามกฎหมายสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ถ้ารวมเงินรางวัลจากรัฐบาลท้องถิ่น หรือรับเป็นรายเดือนจะสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกทันที ซึ่งคนไต้หวันยอมรับว่า สมควรแล้วที่จ่ายเงินให้แก้นักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงแก่ประเทศชาติและน่าจะให้มากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ
นักกีฬาแบดมินตันประเภทชายคู่ของไต้หวัน หลี่หยาง (李洋) และหวังฉีหลิน (王齊麟) ขึ้นรับเหรียญทองหลังชนะนักแบดชายคู่มือวางอันดับ 1 ของโลกจากจีน (ภาพจากคณะกรรมการโอลิมปิกไต้หวัน)
ตามกฎหมายการจ่ายเงินรางวัลนักกีฬาที่คว้ารางวัลการแข่งขันนานาชาติของไต้หวัน นักกีฬาที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิก ปารีส 2024 ครั้งนี้ เหรียญทองได้ 20 ล้านเหรียญ (ประมาณ 22 ล้านบาท) ในรายการที่มีนักกีฬาหลายคน แต่ละคนจะได้รับ 20 ล้านเหรียญเหรียญเช่นกัน อย่างครั้งนี้ นักกีฬาไต้หวันที่คว้าเหรียญทองจากแบดมินตันชายคู่ นอกจากได้รับเงินรางวัลตามกฎหมายคนละ 20 ล้านเหรียญไต้หวันแล้ว รัฐบาลท้องถิ่นที่นักกีฬาอาศัยอยู่ ได้แก่จินเหมินและกรุงไทเป อัดฉีดเพิ่มอีกคนละ 5.72 ล้านเหรียญ ทำให้ได้รับเงินรางวัลรวมคนละ 25.72 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยตกประมาณ 28 ล้านบาท โดยเงินรางวัลส่วนที่เป็น 20 ล้านเหรียญ สามารถรับเป็นก้อนหรือรับเป็นรายเดือนก็ได้ เมื่อรับเป็นรายเดือนจะได้ 125,000 เหรียญต่อเดือนตลอดชีพ นักกีฬาอายุไม่ถึง 30 ปี หากอายุยืนจะได้รับมากถึง 100 ล้านเหรียญ มากกว่ารับเป็นก้อนหลายเท่าตัว เมื่อคิดเป็นรายเดือน เงินรางวัลของไต้หวันน่าจะสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ทั้งนี้ เงินรางวัลที่กล่าวมาข้างต้น ยังไม่รวมเงินอัดฉีดจากภาคเอกชน
นักกีฬาแบดมินตันประเภทชายคู่ของไต้หวัน หลี่หยาง (李洋) และหวังฉีหลิน (王齊麟) ขึ้นรับเหรียญทองหลังชนะนักแบดชายคู่มือวางอันดับ 1 ของโลกจากจีน
นอกจากเหรียญทองแล้ว เหรียญเงินจะได้รับ 7 ล้านเหรียญ ทองแดง 5 ล้านเหรียญ ก็สามารถรับเป็นรายเดือนได้เช่นกัน ได้แก่เดือนละ 38,000 เหรียญและ 24,000 เหรียญต่อเดือนตามลำดับ และได้รับตลอดชีพ แม้ไม่ได้รับเหรียญแต่เข้ารอบ 8 คนสุดท้าย ก็มีสิทธิ์ได้รับเงินรางวัล 1.5 ล้านเหรียญเช่นกัน จึงจัดได้ว่า เงินรางวัลทัพนักกีฬาไต้หวันค่อนข้างสูง
หากเทียบกับฮ่องกงแล้ว นักกีฬาที่ได้รับเหรียญทองจะได้รับเงินรางวัล 6 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 24 ล้านเหรียญ ถ้าคิดจากเงินรางวัลจากทางการรัฐบาล นักกีฬาเหรียญทองฮ่องกงได้รับเงินรางวัลอันดับ 1 ของโลก แถมด้วยโดยสารรถไฟฮ่องกงฟรีตลอดชีพ อันดับ 2 ได้แก่สิงคโปร์ 24 ล้านเหรียญไต้หวันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักกีฬาสิงคโปร์ที่ได้รับเงินรางวัลก้อนนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีเพียงคนเดียว ดังนั้น เงินรางวัลนี้สูงก็จริง แต่สุดจะเอื้อม
สำหรับประเทศไทย ให้เงินอัดฉีดแก่นักกีฬาที่ได้เหรียญทองสูงสุด 12 ล้านบาท เหรียญเงินสูงสุด 7.2 ล้านบาท เหรียญทองแดง 4.8 ล้านบาท จะรับเป็นก้อนหรือผ่อนจ่ายเป็นเดือนก็ได้ หากผ่อนจ่ายเป็นเดือน เหรียญทองจะได้รับมากกว่า 2 ล้านบาท เหรียญเงินมากกว่า 1.2 ล้านบาท เหรียญทองแดงมากกว่า 8 แสนบาท
ฟิลิปปินส์ก็ได้เยอะเหมือนกัน เหรียญทอง 10 ล้านเปโซ ( 5.68 ล้านเหรียญไต้หวัน) Carlos Yulo นักยกน้ำหนักของฟิลิปปินส์คนเดียวคว้ามาได้ 2 เหรียญทอง หมายความว่าเขาจะได้ 20 ล้านเปโซ มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งมอบบ้านให้เขา 1 หลังมูลค่าประมาณ 24 ล้านเปโซ
ภาพต้นฉบับจาก @mmcapitalll
2. พาปั่นจักรยานเที่ยวหยุนหลิน เมืองรองของไต้หวัน
สัปดาห์นี้จะพาคุณผู้ฟังไปรู้จักกับเมืองหยุนหลิน เมืองทางภาคใต้ของไต้หวันที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว หยุนหลินมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว หยุนหลินเป็นเมืองเกษตรกรรมที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน หลายปีมานี้เริ่มได้รับความนิยมจากนักปั่นจักรยานในไต้หวันเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางที่ปั่นเลียบธารน้ำตามท้องทุ่งนาและพื้นที่เพาะปลูกพืชผัก ความรู้สึกของนักปั่นจักรยานส่วนใหญ่ที่มีต่อเมืองหยุนหลินก็คือ กลิ่นอายของใบพืชผักสดผสมผสานกับกลิ่นไอดิน รวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การสำรวจ
หลายปีมานี้หยุนหลินเริ่มได้รับความนิยมจากนักปั่นมากขึ้น (ภาพจาก smiletaiwan.cw.com.tw)
สถานที่ที่น่าสนใจในหยุนหลินแห่งแรกที่จะแนะนำคือพื้นที่ชุ่มน้ำเฉิงหลง (成龍濕地) ที่นี่มีกังหันลมขนาดยักษ์ที่หมุนด้วยการขับเคลื่อนของลมทะเล แนะให้ไปในช่วงก่อนค่ำ เพื่อชมพระอาทิตย์ดวงกลมโตที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า สะท้อนเงาลงบนผิวน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำที่กว้างใหญ่ถึง 50 เฮกตาร์ (ประมาณ 312.5 ไร่) ระหว่างนี้จะได้เห็นฝูงนกเป็ดน้ำที่มาหาปลาและกุ้งกินเป็นอาหาร ซึ่งจะยืนเอ้อระเหยอยู่ตามพงหญ้า เมื่อถึงยามพลบค่ำฝูงนกต่างพากันกระพือปีก บินย้อนแสงอาทิตย์จากไปท่ามกลางเสียงร้องเจื้อยแจ้ว เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจและสวยงามยิ่งนัก
อาทิตย์อัสดงที่พื้นที่ชุ่มน้ำเฉิงหลงในเมืองหยุนหลิน (ภาพจาก ct.org.tw )
ฝูงนกเป็ดน้ำที่มาหาปลาและกุ้งกินเป็นอาหาร ในพื้นที่ชุ่มน้ำเฉิงหลง (ภาพจาก chinatimes.com)
ฝูงนกเป็ดน้ำที่มาหาปลาและกุ้งกินเป็นอาหาร ในพื้นที่ชุ่มน้ำเฉิงหลง (ภาพจาก chinatimes.com)
เดิมทีพื้นที่ชุ่มน้ำเฉิงหลงเป็นทุ่งนาแต่เนื่องจากมีการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้มากเกินไปทำให้ดินทรุดตัวลง กอรปกับน้ำทะเลหนุนสูงอันเนื่องจากพายุไต้ฝุ่น ส่งผลให้เกษตรกรจำต้องละทิ้งที่ดินทำกินและอพยพออกไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม หลังจากชาวบ้านในชุมชนร่วมมือกันพยายามฟื้นฟูด้วยการเชิญศิลปินเข้ามาช่วยสร้างสรรค์ผลงานศิลปะและนำมาจัดวางให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม จนกระทั่งกลายเป็นพื้นที่เพาะพันธุ์กุ้งหอยปูปลา พืชพรรณในพื้นที่ชุ่มน้ำและบรรดานกเป็ดน้ำชนิดต่างๆ
ผลงานศิลปะที่นำมาจัดวางให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ชุ่มน้ำเฉิงหลง (ภาพจาก chinatimes.com)
ชมพระอาทิตย์ตกดินแล้ว แนะนำให้เดินทางไปยังศาลเจ้าเฉาเทียงกง (朝天宮) ในเขตเป่ยกั่ง ที่โอ่อ่าสง่างามและน่าเกรงขาม ถนนด้านนอกศาลเจ้าแขวนโคมไฟแบบโบราณสีบานเย็นตลอดสาย ศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 300 ปีแห่งนี้ หลังผ่านการออกแบบแสงไฟโดยคุณโจวเลี่ยน (周鍊) นักศิลปะแสงไฟที่มีชื่อเสียง ทำให้ในยามราตรีเทวรูปทุกองค์ในศาลเจ้าดูมีชีวิตชีวามากขึ้น หลังคาศาลเจ้าที่โค้งงอนถูกระบายด้วยสีสันที่คลาสสิกและงดงาม เสา-คานและภาพวาดหมึกจีนบนฝาผนัง ล้วนวิจิตรงดงาม
ศาลเจ้าเฉาเทียงกง ศาลเจ้าเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี ในยามราตรี (ภาพจาก chinatimes.com)
หยุนหลินยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าแนะนำ นั่นก็คือ กระเทียม ซึ่งมีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในเขตตำบลหยวนฉางและเป่าจง คุณจางเซี่ยหมิง (張夏銘) ซึ่งรับสืบทอดกิจการเพาะปลูกกระเทียมรุ่นที่ 3 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 50 ปีแล้ว กล่าวว่า กระเทียมไต้หวันมีรสชาติแตกต่างจากกระเทียมที่นำเข้าจากต่างประเทศ กระเทียมไต้หวันเป็นพืชผลที่ต้องดูแลอย่างทนุถนอม ตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว ไม่เพียงต้องอาศัยฝนฟ้าและคุณภาพของดิน ยังต้องมีอุณหภูมิที่พอเหมาะด้วย เมืองหยุนหลินสามารถผลิตกระเทียมได้ในมากกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณผลผลิตกระเทียมทั่วไต้หวัน กระเทียมหยุนหลินมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ กลิ่นหอมแรง กระเทียมสดให้รสชาติเผ็ดแต่ชุ่มคอ นำไปตากลมจนแห้งแล้วผลิตเป็นกระเทียมดำจะได้รสชาติอร่อยเหมือนบ๊วยอบแห้ง
หยุนหลินเป็นแหล่งผลิตกระเทียมที่สำคัญของไต้หวัน มากกว่าร้อยละ 70 ของกระเทียมไต้หวัน มาจากหยุนหลิน (ภาพจาก LTN)
กระเทียมดำ ผลิตภัณฑ์จากหยุนหลินซึ่งกลายเป็นอาหารเสริมสุขภาพที่รสชาติอร่อยเหมือนบ๊วยอบแห้ง (ภาพจาก w-ch.com.tw)
สถานที่ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในหยุนหลินที่ไม่ควรพลาด นั่นก็คือ หมู่บ้านทหารเจี้ยนกั๋ว (建國眷村) ได้ชื่อว่าเป็นหมูบ้านลึกลับเพราะถนนเข้าหมู่บ้านมีเส้นเดียวเท่านั้นและเป็นถนนกลางป่าที่ไม่มีชื่อ สองข้างถนนมีต้นไม้ใหญ่ขนาบสองฝากถนน โดดเด่นเป็นสง่าด้วยลำต้นที่ตรงและสูงใหญ่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการแบ่งเฟสซ่อมแซม เฟสที่ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเปิดใช้เป็นพื้นที่สาธารณะแห่งใหม่ซึ่งเป็นการคืนชีวิตให้แก่อาคารเก่า
หมู่บ้านทหารเจี้ยนกั๋วที่เคยเป็นที่พักของฝูงบินพลีชีพคามิกาเซะของญี่ปุ่นในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน กำลังอยู่ระหว่างปรับปรุง (ภาพจากเทศบาลเมืองหยุนหลิน)
หมู่บ้านทหารแห่งนี้เดิมเป็นทุ่งนา ในยุคญี่ปุ่นปกครองไต้หวันได้ปลูกต้นไม้ใหญ่ๆไว้เต็มไปหมด หากมองจากมุมสูงอาจจะนึกว่า ที่นี่เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมเนื่องจากมีต้นไม้มากมาย ตัวหมู่บ้านถูกแมกไม้ปกคลุมไว้อย่างมิดชิด กองทัพญี่ปุ่นจึงได้สร้างสนามบินไว้สำหรับการฝึกบินของหน่วยจู่โจมพิเศษคามิกาเซะหรือฝูงบินพลีชีพ ในหมู่บ้านมีหอพักเก่าของนักบินญี่ปุ่นหลายแห่ง ด้านข้างหอพักทุกหลังจะมีที่หลบภัยทางอากาศรูปทรงกระดองเต่า
หอพักสไตล์จีนผสมญี่ปุ่นในหมู่บ้านทหารเจี้ยนกั๋วที่กำลังอยู่ระหว่างซ่อมแซมเพื่อเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะ (ภาพจาก travelerluxe.com)
หลังรัฐบาลก๊กมินตั๋งย้ายมาปักหลักที่ไต้หวัน เนื่องจากมีสนามบินอยู่ใกล้ๆ จึงให้ทหารอากาศพาครอบครัวมาพำนักอาศัยที่นี่ และต่อขยายหอพักเก่าของทหารญี่ปุ่นเพิ่มเติมออกไปเพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่อยู่อาศัยในชีวิตประจำวัน ทำให้กลายเป็นหมู่บ้านทหารสไตล์จีนผสมญี่ปุ่น ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นมาก
-
1. ไต้ฝุ่นแคมีทำภาคใต้ไต้หวันอ่วม ตาย 10 สูญหาย 2 บาดเจ็บกว่า 890 ราย นครเกาสงจมบาดาล รถและบ้านหรูกว่า 300 ตึกเสียหายยับเยิน
แคมี พายุไต้ฝุ่นขนาดกำลังปานกลาง ซึ่งเป็นไต้ฝุ่นลูกที่ 3 ที่เกิดขึ้นบนมหาสมุทรแปซิฟิกในปีนี้ พัดถล่มเกาะไต้หวันอย่างจังระหว่าง 24-25 กรกฎาคม 2567 เป็นเหตุทำให้ทั่วไต้หวันต้องประกาศหยุดงานหยุดเรียน ติดต่อกันใน 2 วันดังกล่าว และหลายเมืองที่ภาคใต้ต้องหยุดติดต่อกันถึง 3 วัน เพราะน้ำท่วมบ้านเรือน ถนนหนทาง การจราจรติดขัด จัดเป็นการประกาศหยุดงานหยุดเรียนจากไต้ฝุ่นและติดต่อกัน 2-3 วันในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว
เกาสงน้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ สร้างความเสียอย่างหนัก (ภาพจาก udn.com)
หลายคนที่อยู่ภาคกลาง-ภาคเหนือ อาจรู้สึกถึงความรุนแรงของพายุไต้ฝุ่นลูกนี้อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่บอกว่า ไม่หนักหนาสาหัสสากรรจ์เท่าไหร่ หลายคนถือโอกาสวันหยุดพาครอบครัวไปเที่ยวตามห้าง ตามร้าน KTV ถือเป็นวันหยุดพิเศษที่ไม่ค่อยมีบ่อยนัก แต่สำหรับคนภาคใต้แล้ว ซึ่งโดนหางพายุไต้ฝุ่นกลับกลายเป็นฝันร้าย โดยเฉพาะคนอยู่ไถหนาน เกาสงและผิงตง น้ำท่วมขังสูงกว่า 1 เมตรขึ้นไปในบริเวณกว้างติดต่อกันหลายวัน ไม่สามารถระบายน้ำออกไปได้ เพราะเป็นช่วงน้ำขึ้นของน้ำทะเลพอดี ประกอบกับมีการถมแอ่งน้ำสร้างอ่างเก็บน้ำ 25 แห่งที่ทำขึ้นมาเพื่อความสวยงามมากกว่าเก็บกักน้ำ ทำให้บริเวณโดยรอบสร้างเต็มไปด้วยบ้านหรู แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการขุดลอกคูคลองกันมากเท่าที่ควร เมื่อเจอฝนเทกระหน่ำอย่างหนักตลอดวัน ทำให้น้ำระบายออกไม่ทัน เกิดการท่วมขังในบริเวณกว้าง บางจุดสูงถึง 1.4 เมตร โดยเฉพาะบริเวณอาคารบ้านหรู แถวเหรินอู่ จั่วอิง รวมถึงในตัวเมืองเกาสง ระดับน้ำในแม่น้ำอ้ายเหอเอ่อท่วมถนน กลายเป็นแม่น้ำสีเหลืองหลายสายไหลผ่านใจกลางเมือง แม้ไต้ฝุ่นจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่สภาพการณ์น้ำท่วมขัง ยังพบเห็นได้ทั่วไปติดต่อกันหลายวัน เพราะยังมีฝนตกกระหน่ำต่อเนื่อง สร้างความเสียหายอย่างหนัก
ถนนหน้าอาคารบ้านหรูในเกาสงกลายเป็นแม่น้ำสีเหลือง (ภาพจาก udn.com)
จากข้อมูลของศูนย์รับมือและบรรเทาสาธารณภัยไต้หวัน ความเสียหายที่เกิดจากพายุไต้ฝุ่นแคมีครั้งนี้ ทำให้มีชาวไต้หวันเสียชีวิตถึง 10 ราย หายสาบสูญติดต่อไม่ได้ 2 ราย บาดเจ็บ 895 ราย ไฟดับกว่า 870,000 ครัวเรือน น้ำประปาไม่ไหลกว่า 160,000 ครัวเรือน บ้าหรูทั้งที่เป็นอาคารสูงและบ้านเดี่ยวถูกน้ำท่วมชั้นใต้ดินและชั้นหนึ่งเสียหายหนัก 376 หลัง รถหรูหลายพันคันจมอยู่ใต้น้ำ 2-3 วัน กว่าจะหลากออกมาได้ ทหารจากกองทัพบกต้องใช้เครื่องสูบขนาดใหญ่สูบน้ำสูบ 3 วัน 3 คืน แต่ยานพาหนะราคาแพงเหล่านี้ แม้จะซ่อมแซมคงใช้ไม่ได้แล้ว กล่าวได้ว่า เป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายหนักสุดในรอบ 10 ปีของภาคใต้
สภาพการณ์ความเสียหายจากอากาศสุดขั้วข้างต้น ยังอาจต้องพบเจอบ่อยมากขึ้น เพราะนี่เพิ่งจะเริ่มต้นฤดูไต้ฝุ่นเท่านั้น
รถหรูจำนวนมากจอดไว้ใต้อาคาร 1- 4 ชั้น ถูกลากออกมาหลังใช้เวลาสูบน้ำออก 3-4 วัน (ภาพจาก udn.com)
2. ควันหลงไต้ฝุ่นแคมี! อาแปะสุดดีใจ หลังได้แหวนทองที่หายคืนมา แม้จะแบนเป็นทองแผ่น
มีเรื่องขำ ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ไต้ฝุ่นมาเยือน เหตุเกิดที่เมืองเจียอี้ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา อาแปะคนหนึ่ง แซ่เจียง ขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปขุดลอกคูระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง หลังจากนั้นขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน พอถึงบ้านจึงพบว่าแหวนทองคำน้ำหนักประมาณ 2 บาท หายไปจากนิ้วมือ ขี่รถกลับไปหาก็ไม่เจอ ลงไปงมในคูคลองที่ขุดลอกก็ไม่พบ กลับบ้านมาก็ไม่กล้าบอกใคร ได้แต่นั่งกลุ้มใจอยู่คนเดียว
ตำรวจเจียอี้ ช่วยอาแปะตามหาแหวนทองที่หลุดออกจากนิ้วมือคืนพายุไต้ฝุ่นมาจนพบ (ภาพจากสถานีตำรวจเจียอี้)
อีกสองวันต่อมาพี่สาวอาแปะเห็นน้องชายท่าทางกลุ้มอกกลุ้มใจ เข้าไปถามจึงรู้ว่าทำแหวนทองหาย จึงพาไปแจ้งความ ตำรวจรีบตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดแล้วช่วยตาม สุดท้ายพบแหวนวงนี้บนถนน ถูกล้อรถยนต์ทับจนแบนกลายเป็นแผ่นทองคำติดอยู่บนพื้นถนน กระนั้นก็ตาม อาแปะดีอกดีใจที่ได้แหวนทองคำคืนมา รีบขอบคุณตำรวจเป็นการใหญ่ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใส่แหวนทองวงใหญ่ ๆ นอกจากเป็นที่จับจ้องของมิจฉาชีพแล้ว ยังอาจหลุดหายได้ทุกเมื่อ สุดท้ายต้องมานั่งกลุ้มใจที่หลัง
ตำรวจช่วยตามหาแหวนทองของอาแปะเมืองเจียอี้ที่ทำหล่นไว้บนถนน โดนล้อรถยนต์ทับจนกลายเป็นทองแผ่น (ภาพจากสถานีตำรวจเจียอี้)
พี่สาวอาแปะรับมอบแหวนทองน้องชายและขอบคุณตำรวจที่ช่วยติดตามจนเจอ น้องชายจะได้หายจากอาการซึมเศร้า (ภาพจากสถานีตำรวจเจียอี้)
3. ได้เฮ! ไต้หวันขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 3% หลังปรับมาแล้วต้นปีนี้ 4% ปรับติดต่อกัน 2 ปีซ้อนในรอบ 25 ปี ส่วนค่าจ้างขั้นต่ำปรับขึ้นแน่นอน แต่จะเท่าไหร่ รอลุ้นผลการประชุมปลายเดือนนี้
ข้าราชการพลเรือน ทหารตำรวจ รวมถึงพนักงานรัฐวิสาหกิจในไต้หวัน ซึ่งมีจำนวนกว่า 730,000 คนจะได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน 3% หลังจากที่ต้นปีนี้เพิ่งได้รับการปรับขึ้นไปแล้ว 4% นับเป็นการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการติดต่อกัน 2 ปีซ้อนเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี
บรรยากาศในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่กรุงไทเป (ภาพจาก chinatimes.com)
สาเหตุที่ต้องปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการครั้งนี้ สภาบริหารกล่าวว่า มาจากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะสูงถึง 3.94% เทียบกับ 266% ของเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ดัชนีผู้บริโภคสูงขึ้นเป็น 40.7% ประกอบกับการปรับขึ้นค่าจ้างในภาคเอกชนและอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาล โดยเฉพาะจากตลาดหุ้นอยู่ในระดับดีมาก หลังจากคำนึงถึงภาระความรับผิดชอบโดยรวมของรัฐบาลแล้ว จึงตัดสินปรับขึ้นเงินเดือน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ข้าราชการพลเรือ ทหารตำรวจและพนักงานรัฐวิสาหกิจ 3% ต่อเนื่องจากการปรับขึ้น 4% เมื่อปีที่แล้ว ใช้งบประมาณเพิ่ม 23,500 ล้านเหรียญไต้หวัน ถือเป็นการปรับขึ้นเงินเดือนติดต่อกัน 2 ปีซ้อนเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี มีผู้ได้รับอานิสงส์ 730,000 คน
ภาพเจ้าหน้าที่กรุงไทเปกำลังให้บริการแก่ประชาชน (ภาพจาก chinatimes.com)
ด้านอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คาดจะมีการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 โดยกระทรวงแรงงานเตรียมเรียกประชุม 4 ฝ่าย ประกอบด้วยตัวแทนจากฝ่ายแรงงาน นายจ้าง รัฐบาลและนักวิชาการ เพื่อพิจารณาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของปีใหม่เป็นครั้งแรกในไตรมาส 3 ปลายเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากที่กฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำผ่านสภาฯ และประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากสำนักงานสถิติและบัญชีกลางคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อสูงกว่า 2% ซึ่งเป็นตัวเลขเตือนภัย ประกอบกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่พุ่งสูงท่ามกลางอุปสงค์ที่ร้อนแรงของอุตสาหกรรม AI คาดการณ์ว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปีใหม่นี้ จะปรับขึ้นอย่างน้อย 4% หรือ 28,570 เหรียญขึ้นไป
สำหรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปีใหม่นี้ คาดจะปรับขึ้นอย่างน้อย 4% หรือ 28,570 เหรียญขึ้นไป
4. ไต้หวันห้ามใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตั้งแต่ ก.ย. นี้เป็นต้นไป และปีหน้าจะห้ามธุรกิจที่พักแรมแจกชุดของใช้ในห้องน้ำแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ลูกค้าด้วย
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงสิ่งแวดล้อม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ประกาศว่า จะห้ามใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 เป็นต้นไป นอกจากนี้ปีหน้าเป็นต้นไปยังจะห้ามอุตสาหกรรมที่พักแรมแจกชุดของใช้ในห้องน้ำแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ลูกค้า พร้อมประชาสัมพันธ์บริการให้ยืมแก้วรีไซเคิล ในอนาคตยังจะพิจารณาให้เงินอุดหนุนการจัดแข่งขันเบสบอลและกิจกรรมในสถานที่ปิดที่มีการใช้แก้วรีไซเคิลอีกด้วย
ไต้หวันห้ามใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตั้งแต่ ก.ย.นี้เป็นต้นไป (ภาพจากworldjournal.com)
นายเผิงฉี่หมิง (彭啟明) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คนไต้หวันนิยมดื่มเครื่องดื่มมือเขย่า หรือเครื่องดื่มชงสด ประกอบกับราคาแก้วพลาสติกถูกกว่าแก้วกระดาษถึงครึ่งหนึ่ง โดยแก้วพลาสติกมีราคาเพียงใบละ 1.5 เหรียญ ส่วนแก้วกระดาษใบละ 3 เหรียญ เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการร้านเครื่องดื่มจึงนิยมใช้แก้วพลาสติกมากกว่าแก้วกระดาษ ส่งผลปริมาณการใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเฉลี่ยสูงกว่าปีละ 4,000 ล้านใบ สร้างมลภาวะให้แก่สภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป กระทรวงสิ่งแวดล้อมจะใช้มาตรการห้ามผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วไต้หวัน ใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง คาดว่าจะช่วยลดการใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งได้มากถึงปีละ 790 ล้านใบ ผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนจะถูกปรับ 1,200-6,000 เหรียญไต้หวัน
รัฐบาลไต้หวันส่งเสริมให้ประชาชนเตรียมแก้วเครื่องดื่มไปเอง ซึ่งจะได้รับส่วนลดจากร้านค้า 5 เหรียญ (ภาพจาก tristarnews.com.tw)
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 กระทรวงสิ่งแวดล้อมไต้หวันเริ่มดำเนินมาตรการลดควบคุมการใช้แก้วเครื่องดื่ม โดยส่งเสริมให้ประชาชนเตรียมแก้วเครื่องดื่มมาเอง ซึ่งจะได้รับส่วนลดค่าเครื่องดื่มลง 5 เหรียญไต้หวัน ซึ่งส่งผลให้มีการลดการใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งลง 17 % และผู้บริโภคเตรียมแก้วเครื่องดื่มมาเองเพิ่มจาก 6% เป็น17 % สะท้อนให้เห็นว่าการสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคที่เคยชินของประชาชนด้วย
1 มกราคม 2568 เป็นต้นไปไต้หวันจะห้ามธุรกิจที่พักแรมวางชุดของใช้ในห้องน้ำไว้ในห้องพักสำหรับลูกค้า (ภาพจาก dssbangkok.com)
นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป กระทรวงสิ่งแวดล้อมไต้หวันยังมีมาตรการห้ามผู้ประกอบการที่พักแรม อาทิ โรงแรม รีสอร์ท โฮมสเตย์และเกสต์เฮ้าส์ วางชุดของใช้ในห้องน้ำแบบใช้แล้วทิ้งในห้องพัก โดยชุดของใช้ในห้องน้ำประกอบด้วย แปรงสีฟัน ยาสีฟัน หมวกคลุมผม หวี มีดและโฟมโกนหนวด อีกทั้งกำหนดให้ยกเลิกการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ แชมพู ครีมนวดผมหรือโลชั่นบำรุงผิวที่บรรจุในขวดขนาดเล็กกว่า 180 มิลลิลิตร โดยให้เปลี่ยนมาใช้ขวดขนาดใหญ่แทน ผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษปรับ 1,200-6,000 เหรียญไต้หวัน
-
1. เดือนผีมาแล้ว ข้อห้ามเรื่องผี ๆ ที่ควรรู้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แนะให้เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม (入境隨俗)
สัปดาห์หน้าจะเข้าสู่เดือนสิงหาคมแล้ว ในเมืองไทยเดือนนี้ มีวันสำคัญคือวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม สำหรับในไต้หวันเดือนสิงหาคมมีวันสำคัญทางศาสนาอยู่หลายวัน ได้แก่ วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ตามความเชื่อดั้งเดิมถือว่าวันนี้เป็นวันประตูยมโลกเปิดให้ดวงวิญญาณหรือผีไร้ญาติออกมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อไม่ให้คุกคามหรือส่งผลร้าย ผู้คนจึงจัดหาอาหารคาวหวานมาเซ่นไหว้ภูตผี ซึ่งพิธีเซ่นไหว้จะเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ประตูยมโลกเปิดคือวันที่ 1 เดือน 7 ตามมาด้วยวันสารทจีน ในภาษาจีนเรียกว่าวันจงหยวนเจี๋ย (中元節) คือวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม สุดท้ายคือวันที่ 30 เดือน 7 ซึ่งเป็นวันที่ประตูยมโลกปิด ปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 2 กันยายน โดยพิธีเซ่นไหว้ในวันสารทจีนจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด นอกจากเซ่นไหว้ที่บ้านแล้ว ทุกชุมชนก็จะจัดเซ่นไหว้ร่วมกันด้วย
วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 7 ตามปฏิทินจีน ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม เป็นวันประตูยมโลก ชาวไต้หวันมีประเพณีนำอาหารไปเซ่นไหว้ผีไร้ญาติที่จะมาท่องโลกมนุษย์เป็นเวลา 1 เดือน
สำหรับวันที่ 1 เดือน 7 ซึ่งเป็นวันเปิดประตูผี หรือคืนปล่อยผี ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม เมื่อถึงเวลา 00:00 น. ของวันที่ 4 ประตูยมโลกจะเปิด บรรดาผีไร้ญาติทั้งหลายจะกรูกันออกมาหากินในโลกมนุษย์เป็นเวลา 1 เดือน ดังนั้น ตามบ้านของคนไต้หวันหรือสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานประกอบการ วัดหรือศาลเจ้า จะทำพิธีเซ่นไหว้ผีหรือที่ภาษาจีนเรียกว่า กุ่ย (鬼) และมักจะให้เกียรติเรียกผีว่า ฮ่าวซงตี้ (好兄弟) พี่น้องที่สนิทสนมเพื่อหวังว่าผีจะมีความรู้สึกว่าเป็นคนกันเอง ไม่มาทำร้ายแต่จะคอยปกปักคุ้มครอง
ในอดีตวันสารทจีน จะมีประเพณีประกวดหมูขุน แต่ละตัวน้ำหนัก 500-600 กก. แต่ปัจจุบัน เลิกประเพณีนี้ไปแล้ว เพราะถูกวิจารณ์ว่าทารุณสัตว์ (ภาพจาก Chinatimes)
เมื่อเข้าสู่เดือนผี สิ่งที่คนเฒ่าคนแก่ในไต้หวันต้องเตือนคนในครอบครัวก็คือข้อห้ามต่าง ๆ แม้ในความเป็นจริงแล้ว จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันว่า จริงหรือไม่? แต่เรื่องของความลี้ลับและอาถรรพ์ ก็อย่างที่มักจะพูดกันว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม มาฟังกันว่า ความเชื่อตามประเพณีโบราณ ซึ่งปัจจุบันคนไต้หวันส่วนใหญ่ยังเชื่อถือและยึดปฏิบัติมีอะไรบ้าง?
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! พิธีเซ่นไหวผีไร้ญาติในวันสารทจีนของวัดเหล่าต้ากงเมี่ยวที่จีหลง
หลีกเลี่ยงไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมตามแหล่งน้ำ เพราะวิญญาณผู้ที่เสียชีวิตในน้ำที่ได้โอกาสขึ้นมาบนโลก จะต้องการ “หาตัวแทน” ด้วยการจับคนเป็นลงไปยมโลกแล้วตนเองได้เกิดใหม่ในโลกมนุษย์
หลีกเลี่ยงและระมัดระวังเมื่อต้องไปในจุดที่เกิดอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิตบ่อย ๆ เพราะช่วงนี้อาจเกิดการ “หาตัวแทน” เช่นกัน
หลีกเลี่ยงการเดินตามกำแพงวัดในยามค่ำคืน งดไปเซ่นไหว้ที่ศาลเจ้าที่ไม่ใช่ไหว้เทพเจ้า โดยเฉพาะผู้ที่น้ำหนักดวงค่อนข้างเบา เพราะอาจถูกสิ่งไม่ดีเกาะติดได้ง่าย
ศาลเจ้าสือปาหวังกง (十八王公廟) ในเขตสือเหมิน นครนิวไทเป เป็นสุสานพ่อค้า 17 คน และสุนัข 1 ตัว เดินทางจากจีนแผ่นดินใหญ่มายังไต้หวัน แต่ถูกคลื่นซัดเรืออับปางเสียชีวิตก่อนขึ้นฝั่ง ศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ได้บูชาเทพเจ้า จึงไม่เหมาะไปไหว้ในเดือนผี (ภาพจาก taiwan.net.tw)
ไม่ถ่ายรูปในยามค่ำคืน หลังพระอาทิตย์ตกดิน จะเป็นช่วงที่เหล่าวิญญาณมีพลังสูง การถ่ายรูปในเวลากลางคืน อาจทำให้ติดภาพของสิ่งไม่ดีเข้ามาได้ง่าย
ไม่ผิวปากหรือเคาะสิ่งของในเวลากลางคืน เดี๋ยวเหล่าสัมภเวสีจะเข้าใจผิดคิดว่าเรียกให้มาหา
ไม่โดยสารรถประจำทางเที่ยวสุดท้ายของวัน ตามความเชื่อ บางครั้งเหล่าดวงวิญญาณก็จะใช้รถโดยสาร โดยเฉพาะรถเที่ยวสุดท้ายของวันที่มักจะวิ่งหลัง 5 ทุ่ม การขึ้นไปบนรถประจำทางในช่วงนี้ อาจทำให้มีอะไรติดตัวกลับบ้านได้
อย่าแขวนกระดิ่งลมไว้ที่หน้าต่างหรือหัวเตียง เพราะอาจเป็นการเรียกสิ่งไม่ดีให้เข้ามาหา
ไม่ผิวปาก ไม่เคาะสิ่งของในเวลากลางคืน และแขวนกระดิ่งลมไว้ที่หน้าต่างหรือหัวนอน เพราะอาจเป็นการเรียกสิ่งไม่ดีให้เข้ามาหา (ภาพจาก elle.com)
ไม่เหยียบกระดาษเงินกระดาษทอง ไม่ขโมยกินของไหว้ ไม่พูดคำหยาบ ของเซ่นไหว้และกระดาษเงินกระดาษทอง เป็นของที่เตรียมไว้สำหรับเหล่าวิญญาณและสัมภเวสี หากไปขโมยกิน หรือกล่าวคำหยาบใส่ ระวังจะถูกตามมาทวงคืน
ไม่นำตุ๊กตาหรือรูปปั้นเข้าบ้าน เพราะอาจเป็นที่สิงสถิตชั่วคราวของเหล่าดวงวิญญาณที่ขึ้นมาบนโลก
หลีกเลี่ยงการย้ายบ้าน ซื้อบ้านใหม่ ซื้อรถใหม่ เดือนผีเป็นเดือนที่มีดวงวิญญาณขึ้นมาอยู่บนโลกมากมาย จึงไม่เหมาะจะเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ในช่วงนี้ แต่ข้อนี้ สำหรับคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน บางคนจะถือโอกาสซื้อบ้านเพราะราคาจะถูกกว่า แต่มีเพียงบางคน
ไม่ตากผ้าเวลากลางคืน เพราะดวงวิญญาณจะชอบสถานที่ชื้นๆ หากตากผ้าในยามค่ำคืน อาจทำให้เสื้อผ้ากลายเป็นที่สิงสู่ของดวงวิญญาณได้
ไม่ตากผ้าเวลากลางคืน เพราะดวงวิญญาณจะชอบสถานที่ชื้นๆ อาจทำให้เสื้อผ้ากลายเป็นที่สิงสู่ของดวงวิญญาณได้ (ภาพจาก udn.com)
อย่าปักตะเกียบบนชามข้าว เพราะเป็นการเชิญชวนให้ดวงวิญญาณมาร่วมรับประทานอาหารด้วย
อย่าตบบ่า ตบไหล่ หรือตบหลัง ผู้อื่น เพราะอาจทำให้ไฟชีวิตของเขาอ่อนกำลังลง แต่ถ้าอยากแกล้งคนอื่น ระวังให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว
ข้อห้ามดังกล่าวข้างต้น จะยุติลงหลังประตูยมโลกปิดลงในวันจันทร์ที่ 2 กันยายน
อย่าทำในสิ่งที่เป็นข้อห้ามในเดือนผี เตือน "อาถรรพณ์" ทำผิดชีวิตเปลี่ยน (ภาพจาก chinatimes.com)
2. ปีที่แล้วไข่ไก่แพงแถมขาดแคลน ปีนี้ราคาร่วงแรง เหตุรัฐไม่ควบคุมทำให้ผลิตล้นตลาด เกษตรกรโวยนำไปเลี้ยงหมู แต่ร้านอาหารเช้าราคาคงเดิม
ยังคงจำกันได้ไหม? เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ไข่ไก่แพงแถมขาดตลาด กลายเป็นข่าวใหญ่ประจำปีของไต้หวัน ในขณะนั้นไข่ไก่ชั่งละ (ประมาณ 7-9 ฟอง) 80-150 เหรียญ แถมยังขาดแคลน มีการจำกัดจำนวนการซื้อ จนรัฐบาลต้องสั่งซื้อไข่ไก่จากต่างประเทศมาเสริม เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่พอผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ราคาไข่ไก่ก็ร่วงตกหนักอย่างต่อเนื่อง มีการปรับลดราคามาแล้วถึง 6 ครั้ง จากราคาค้าส่งเฉลี่ยชั่งละ 55 เหรียญ ลดลง 27% เหลือ 40 เหรียญ ราคาหน้าฟาร์ม ร่วงตกเหลือชั่งละ 25 เหรียญ ต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง เกษตรกรร้องโอดครวญต้นทุนการผลิตอยู่ที่ชั่งละ 30 เหรียญ แต่ต้องมาขายขาดทุนชั่งละ 25 เหรียญ
ปีที่แล้วไข่ไก่แพงแถมขาดแคลน ปีนี้ราคาร่วงแรง ในช่วงที่ไข่ไก่ราคาถูก กินไข่กันเยอะ ๆ เป็นแหล่งโปรตีนราคาถูก (merit.times.com)
ทำไมราคาถึงขึ้นลงแบบนั่งลิฟต์ นายหลิวหมิงเจ๋อ โฆษกผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงและชำแหละเนื้อไก่ขนาดใหญ่ของไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทไทย ได้แก่บริษัทเจริญโภคภัณฑ์หรือ ซีพี ไต้หวัน กล่าวว่า ปีที่แล้ว เนื่องจากเกิดการระบาดของไข้หวัดนก ส่งผลให้ไก่ไข่ตายเป็นจำนวนมาก ทั้งจากติดเชื้อและจากการเชือดเพื่อป้องกันการระบาด ไข่ไก่ที่ผลิตออกมาจึงมีปริมาณน้อยไม่พอบริโภค เกษตรกรจำนวนมาก จึงนำเข้าไก่พันธุ์มากถึง 340,000 ตัว เพื่อผลิตไก่ไข่ เพราะคิดว่า ปีนี้ก็น่าจะมีปัญหาอย่างเดียวกัน แต่ที่ไหนได้ ปีนี้ ไข้หวัดนกน้อยมาก ทำให้ไข่ไก่ผลิตออกมาในปริมาณมากกว่าความต้องการ หรือพูดง่าย ๆ ว่าไข่ไก่ล้นตลาด ราคาจึงร่วงแรงต่อเนื่อง
ตามห้างขายส่ง ซูเปอร์มาร์เเก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ต ไข่ไก่เต็มแผงและราคาไม่แพง
จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรพบว่า ปัจจุบันในไต้หวันมีไก่ไข่ 35.7 ล้านตัว แต่ละวันผลิตไข่ไก่ได้ 24.32 ล้านฟอง มากกว่าความต้องของตลาด 24 ล้านฟองถึง 320,000 ฟอง ดังนั้น ตั้งแต่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นมา กระทรวงเกษตรตั้งเป้าส่งเสริมให้เกษตรกรเชือดไก่ไข่ 1.8 ล้านตัว โดยอุดหนุนเกษตรกรตัวละ 20 เหรียญ
เพื่อรักษาราคาไข่ไก่ไม่ให้ตกต่ำลงไปอีก ตั้งแต่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นมา กระทรวงเกษตรตั้งเป้าส่งเสริมให้เกษตรกรเชือดไก่ไข่ 1.8 ล้านตัว โดยอุดหนุนเกษตรกรตัวละ 20 เหรียญ
ด้านนางจางลี่ซ่าน ผู้ว่าการเมืองหยุนหลิน ซึ่งมีฟาร์มเลี้ยงไก่ในพื้นที่ 58 แห่ง เลี้ยงไก่ไข่ 960,000 ตัว ประมาณ 2% ของในไต้หวัน กล่าวขณะช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ในตำบลโต่วลิ่วจำหน่ายไข่ไก่ที่ล้นตลาดขายไม่ออก โดยขายในราคา 3 กล่อง (กล่องละ 10 ฟอง) 100 เหรียญ กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลกลางทบทวนระบบแจ้งเตือนภัย เพราะปริมาณการผลิตและการบริโภคไข่ไก่ มีความสมดุลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 แต่กระทรวงเกษตรปล่อยให้มีการผลิตจนเกินความต้องการ เพิ่งจะมาตื่นและสั่งให้เกษตรกรเชือดไก่ไข่ 9 เดือนให้หลัง จึงคาดว่าราคาไข่ไก่ยังคงจะร่วงตกลงต่อเนื่อง และถือโอกาสนี้ เรียกร้องชาวไต้หวันบริโภคไข่ไก่ราคาถูกเยอะ ๆ นอกจากเสริมโปรตีนให้แก่ตนเองแล้ว ยังช่วยเหลือเกษตรกรได้ด้วย
จางลี่ซ่าน ผู้ว่าการเมืองหยุนหลิน ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ในตำบลโต่วลิ่วจำหน่ายไข่ไก่ที่ล้นตลาดขายไม่ออก โดยขายในราคา 3 กล่อง (กล่องละ 10 ฟอง) ราคาเพียง 100 เหรียญ (ภาพจาก merit.times.com)
ไข่ไก่เป็นอาหารยอดฮิตประจำวันของชาวไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นไข่ต้ม ไข่ทอด ไข่พะโล้ ไข่ตุ๋นใบชา หรือนำไข่ไปเป็นเครื่องปรุง ทำเป็นเค้ก ฯลฯ จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรพบว่า ชาวไต้หวันเฉลี่ยรับประทานไข่ไก่ปีละ 355 ฟองต่อคน หรือแต่ละคนกินไข่วันละ 1 ฟอง ตัวเลขนี้สูงกว่าทุกประเทศในรายงานการสำรวจของคณะกรรมาธิการไข่ไก่ระหว่างประเทศ (The International Egg Commission หรือ IEC) ซึ่งรายงานปริมาณการบริโภคไข่ต่อปีต่อคนของประชาชนในประเทศต่าง ๆ ฉบับล่าสุด ได้แก่ อเมริกา 252 ฟอง รัสเซีย 285 ฟอง จีน 255 ฟอง ญี่ปุ่น 329 ฟอง เม็กซิโก 352 ฟอง ส่วนคนไทย จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ คนไทยบริโภคไข่ไก่ปีละ 283 ฟองต่อคน
รู้ไหม? คนไต้หวันบริโภคไข่ไก่ปีละ 355 ฟองต่อคน หรือแต่ละคนกินไข่วันละ 1 ฟอง มากที่สุดในโลก
-
1. นักเรียนประถมเมืองอี๋หลาน 36 แห่ง แล่นเรือใบรอบเกาะไต้หวัน 28 วัน ระยะทาง 1,939 กม.
โรงเรียนประถมศึกษาเยว่หมิง ตำบลซูอ้าว เมืองอี๋หลาน ซึ่งตั้งอยู่ติดชายทะเลและมีภูเขาโอบล้อมอยู่ทางด้านหลัง พันธกิจของโรงเรียนคือ ต้องการให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ธรรมชาติ จัดการทรัพยากรแบบไม่ทำลายและได้ประโยชน์ ด้วยองค์ความรู้พื้นถิ่น นำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต เน้นการฝึกปฏิบัติ ทดลอง และศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง เพื่อให้เด็กนักเรียนทุกคนสามารถใช้พรสวรรค์หรือความสามารถเฉพาะตัว แสวงหาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด อีกทั้งให้นักเรียนเห็นคุณค่าของแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกิดความรักท้องถิ่นและเกิดความรู้ในการอนุรักษ์สิ่งที่มีคุณค่าในท้องถิ่น
เด็กนักเรียนประถมเมืองอี๋หลานจาก 36 โรงเรียน จัดกิจกรรมภาคฤดูร้อนแล่นเรือใบรอบเกาะไต้หวัน 28 วัน ระยะทาง 1,939 กม. (ภาพจาก CNA)
เด็กนักเรียนประถมเมืองอี๋หลานจาก 36 โรงเรียน จัดกิจกรรมภาคฤดูร้อนแล่นเรือใบรอบเกาะไต้หวัน 28 วัน ระยะทาง 1,939 กม. (ภาพจาก udn.com)ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 เป็นต้นมาได้ริเริ่มจัดกิจกรรมพาเด็กนักเรียนแล่นเรือใบรอบเกาะไต้หวันในช่วงปิดภาคฤดูร้อน ในปีนี้ได้ร่วมกับโรงเรียนประถมศึกษาในเมืองอี๋หลาน 36 แห่ง แล่นเรือใบรอบเกาะไต้หวัน มีนักเรียน 460 คน เข้าร่วมกิจกรรม ใช้เรือใบขนาดใหญ่ 2 ลำ เด็กนักเรียนผลัดกันควบคุมเรือใบ ออกเดินทางจากท่าเรือซูอ้าวเมื่อวันที่ กรกฎาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อเดินทางไปให้กำลังใจครูและเด็กนักเรียนก่อนออกเดินทาง คาดใช้เวลา 28 วัน ในการเดินทางรอบเกาะซึ่งมีระยะทาง 1,939 กม.
ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ เดินทางไปให้กำลังใจเด็กนักเรียนก่อนออกเดินทาง (ภาพจาก CNA)
2. งานศพเจ้าพ่อมาเฟียไต้หวันสุดยิ่งใหญ่ ตำรวจ 915 นาย จับตาพลพรรคมาเฟียนับหมื่นแห่ไว้อาลัย ใช้รถโรลส์-รอยซ์ 36 คัน อัลพาร์ด 108 คันนำขบวนศพ
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่เมืองจีหลง มีการจัดพิธีไว้อาลัยศพที่ยิ่งใหญ่สุดอลังงานหนึ่ง เคลื่อนขบวนศพไปยังฌาปนสถาน โดยรถยนต์โรลสรอยซ์ถึง 36 คัน และรถยนต์โตโยต้าอัลพาร์ดที่กลายมาเป็นยานพาหนะยอดฮิตของมาเฟียในไต้หวัน จำนวน 108 คัน ในพิธีไว้อาลัยมีทั้งผู้นำชุมชนและชายในชุดสูทสีดำนับหมื่นคนแห่ร่วมคารวะศพ พวกเขาเหล่านี้ เป็นสมาชิกแก๊งมาเฟียต่าง ๆ จากทั่วไต้หวัน ยังมีแก๊งมาเฟียญี่ปุ่นและฮ่องกง อย่างแก๊ง Wo Shing Wo ก็ส่งผู้แทนมาร่วมไว้อาลัยด้วย จนตำรวจไต้หวันต้องจัดส่งกองกำลังติดอาวุธครบครัน 915 นายไปสอดส่อง คุมเชิงและตั้งด่านตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนผู้ร่วมงาน เพื่อป้องกันเกิดเหตุก่อเรื่องและปะทะกันในกลุ่มมาเฟียแก๊งต่าง ๆ
รถสปอร์ตหรู 15 คัน ราคาหลายร้อยล้านนำขบวนขณะเคลื่อนศพนายอู๋ถงถาน เจ้าพ่อมาเฟียไต้หวัน ซึ่งเสียชีวิตที่โรงพยาบาลด้วยโรคมะเร็ง ไปยังบ้านเกิดที่จีหลง (ภาพจาก chinatimes.com)
เป็นงานศพของใคร? ทำไมถึงมีมาเฟียแก๊งต่าง ๆ แห่ร่วมคารวะไว้อาลัยมากมายขนาดนี้? ผู้เสียชีวิตคือ นายอู๋ถงถาน (吳桐潭) 1 ในผู้ร่วมก่อตั้งแก๊งครรลองสวรรค์ (天道盟) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 แก๊งมาเฟียใหญ่สุดของไต้หวัน ขณะเดียวกัน ยังเป็นหัวหน้าแก๊งดวงตะวัน ซึ่งเป็นกลุ่มมาเฟียในสังกัดแก๊งครรลองสวรรค์ จัดเป็นมาเฟียอาวุโสที่ได้รับการเคารพนับถือจากลูกสมุนและพลพรรคมาเฟียแก๊งต่าง ๆ เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 ที่โรงพยาบาลด้วยโรคมะเร็ง ขณะเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลกลับไปยังบ้านเกิดที่จีหลง มีรถสปอร์ตหรู 15 คัน ราคาหลายร้อยล้านเหรียญนำขบวนศพ
ในพิธีไว้อาลัยมีทั้งผู้นำชุมชนและชายในชุดสูทสีดำนับหมื่นคนแห่ร่วมคารวะศพ (ภาพจาก udn.com)
นายอู๋ถงถาน อายุ 75 ปี ชาวเมืองจีหลงโดยกำเนิด เคยเป็นบุคคลที่สร้างความปวดหัวทั้งกับตำรวจและวงการอิทธิพลมืดของไต้หวัน เดิมเป็นนักเลงคุมพื้นที่ย่านเมี่ยวโข่ว ซึ่งเป็นตลาดนัดกลางคืนชื่อดังของจีหลง ไม่กี่ปีเขาได้กลายเป็นผู้นำ เคยถูกจับส่งไปจำคุกที่เกาะกรีน เมื่อครั้งที่ตำรวจกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไต้หวันเมื่อปี 2528 ในระหว่างนั้น เขาได้รู้จักผู้ต้องขังอีก 6 คน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนักเลงท้องถิ่นระดับหัวหน้าจากพื้นที่ต่าง ๆ จึงร่วมกันก่อตั้งแก๊งมาเฟียเพื่อชิงพื้นที่ทำมาหากินกับมาเฟียแก๊งอื่น โดยตั้งชื่อว่า แก๊งครรลองสวรรค์ มีความหมายว่า ขจัดคนร้ายพิทักษ์คนดีและดำรงความเป็นธรรมแทนสวรรค์ อีก 2 ปีถัดมา ได้ก่อตั้งกลุ่มดวงตะวัน กลายเป็นแก๊งที่มีอิทธิพลใหญ่สุดในสังกัดของแก๊งครรลองสวรรค์ ปี 2533 ตกเป็นผู้ต้องหาพัวพันคดีสั่งลูกน้องเผาร้านอาบอบนวดในไทเปแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของเป็นนักการเมืองท้องถิ่น หนีการจับกุมไปกบดานที่จีนแผ่นดินใหญ่ แต่ไม่วายถูกจับส่งกลับไต้หวัน รับโทษจำคุก 13 ปี เมื่อจำคุกไปกว่าครึ่งได้รับอนุญาตพักการลงโทษ แต่หลบหนีไปยังจีนแผ่นดินใหญ่และเตรียมเดินทางต่อไปที่กัมพูชา ถูกตำรวจจีนแผ่นดินใหญ่จับกุมตัวส่งให้ตำรวจไต้หวัน ถูกจำคุกต่อจนถึง 2554 จึงได้รับอนุญาตพักโทษก่อนกำหนด ในปี 2557 เคยลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลจีหลงในนามผู้สมัครอิสระ แต่แพ้การเลือกตั้ง
หลังพิธีไว้อาลัย รถยนต์โรลสรอยซ์ 36 คัน และรถยนต์โตโยต้าอัลพาร์ดที่กลายมาเป็นยานพาหนะยอดฮิตของมาเฟียในไต้หวันจำนวน 108 คัน นำขบวนเคลื่อนศพไปยังฌาปนสถานจีหลง (ภาพจาก udn.com)
ในไต้หวันมีแก๊งมาเฟียใหญ่ 3 แก๊ง ได้แก่ แก๊งครรลองสวรรค์ (天道盟) ซึ่งมีนายอู๋ถงถานร่วมก่อตั้ง เป็นแก๊งมาเฟียที่มีสมาชิกแก๊งเป็นคนท้องถิ่น จึงมักเรียกตนเองว่าเป็นแก๊งชาวไต้หวัน นอกจากนี้ ยังมีแก๊งสหภาพไม้ไผ่ (竹聯幫) และแก๊งสี่มหาสมุทร (四海幫) แต่ละแก๊งมีสมุนเป็นหมื่น มีการจับมือกับแก๊งมาเฟียในต่างประเทศ แผ่อิทธิพลและสร้างธุรกิจสีเทาครอบคลุมไปทั่วโลก อาทิ ประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ฯลฯ
กองกำลังตำรวจติดอาวุธครบครัน 915 นายไปสอดส่อง คุมเชิงและตั้งด่านตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนผู้ร่วมงาน เพื่อป้องกันเกิดเหตุก่อเรื่องและปะทะกันในกลุ่มมาเฟียแก๊งต่าง ๆ (ภาพจาก chinatimes.com)
ในพิธีไว้อาลัย มีทั้งผู้นำชุมชนและชายในชุดสูทสีดำนับหมื่นคนแห่ร่วมคารวะศพ พวกเขาเหล่านี้ เป็นสมาชิกแก๊งมาเฟียต่าง ๆ จากทั่วไต้หวัน ยังมีแก๊งมาเฟียญี่ปุ่นและฮ่องกง อย่างแก๊ง Wo Shing Wo ก็ส่งผู้แทนมาร่วมไว้อาลัยด้วย (ภาพจาก udn.com)
3. รถไฟอาลีซานเปิดบริการตลอดเส้นทาง หลังปิดซ่อมแซมนาน 15 ปี
เมื่อช่วงเช้าเวลา 10.00 น. วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา รถไฟอาลีซานเปิดเดินรถตลอดสายแล้ว หลังปิดซ่อมแซมเป็นเวลานานถึง 15 ปี บรรดาแฟนรถไฟแห่ใช้บริการและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอย่างคึกคัก
รถไฟอาลีซานเปิดบริการตลอดเส้นทาง หลังปิดซ่อมแซมมานาน 15 ปี (ภาพจาก udn.com)
สำนักงานบริหารรถไฟอาลีซานและมรดกทางวัฒนธรรม (Alishan Forest Railway and Cultural Heritage Office) เปิดเผยว่า หลังถูกพายุไต้ฝุ่นมรกตและพายุไต้ฝุ่นตู้เจวียนถล่มเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2552 และเมื่อเดือนปลายเดือนกันยายน 2558 ส่งผลให้ทางรถไฟสายอาลีซานชำรุดเสียหายรวม 421แห่ง ทำให้ต้องหยุดให้บริการเพื่อทำการซ่อมแซม ซึ่งใช้เวลานานถึง 15 ปีจึงซ่อมแซมแล้วเสร็จ สามารถเปิดเดินรถตลอดสายตั้งแต่สถานีเมืองเจียอี้-สถานีอาลีซาน (嘉義-阿里山) เมื่อวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา และเพื่อปรับรูปโฉมใหม่ให้แก่รถไฟอาลีซาน นอกจากเปลี่ยนตารางเดินรถใหม่ โดยในอนาคตจะเปิดบริการขาขึ้นและขาล่องรวม 4 ขบวนแล้ว พนักงานรถไฟอาลีซานยังเปลี่ยนเครื่องแบบใหม่ทั้งหมด รวมถึงก่อนสิ้นปีนี้จะเปิดประมูลโครงการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกแบบปราศจากสิ่งกีดขวางบนขบวนรถไฟ เพื่อให้ผู้พิการหรือทุพพลภาพ ได้รับการบริการที่สะดวกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
รถไฟอาลีซานเปิดบริการตลอดเส้นทาง หลังปิดซ่อมแซมมานาน 15 ปี (ภาพจาก CNA)
สำหรับเส้นทางรถไฟอาลีซาน (Alishan Forest Railway) ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางรถไฟสายโรแมนติกที่เคยได้รับความนิยมทั้งจากชาวไต้หวันเองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากมีความเป็นมาที่เก่าแก่กว่า 120 ปี และความพิเศษกว่ารถไฟหลายแห่ง คือ ขบวนรถไฟโบราณสีแดง จะวิ่งผ่านป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์และช่องเขาที่เขียวขจีตลอด 2 ข้างทาง ไต่ระดับความสูงขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงามที่หาดูยากตลอดทาง ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงโดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน- ปลายธันวาคม จะได้ชมทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสี และชมซากุระที่กำลังผลิบานและทะเลหมอกในฤดูใบไม้ผลิหรือช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม
เส้นทางรถไฟอาลีซาน (Alishan Forest Railway) ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางรถไฟสายโรแมนติกที่เคยได้รับความนิยมทั้งจากชาวไต้หวันเองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีความเป็นมาที่เก่าแก่กว่า 120 ปี (ภาพจาก pinview.com.tw)
เส้นทางรถไฟอาลีซานตั้งอยู่ในเขตทัศนียภาพแห่งชาติอาลีซาน (Alishan National Scenic Area) เป็นเส้นทางรถไฟโบราณสายพิเศษที่เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ.1906) ซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน เส้นทางสายหลักมีระยะทาง 66.6 กม. จากเจียอี้-อาลีซาน ก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดเดินรถในปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ.1912 ) เดิมสร้างเพื่อใช้ลำเลียงท่อนซุงที่เป็นไม้มีค่าลงมาจากภูเขาอาลีซานไปยังเมืองเจียอี้ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางสายย่อย เช่น “สายหลินฉาง”ระยะทาง 10.7 กม. “สายเหมียนเยว่”และ “สายตงผู่” แต่เนื่องจากทรุดโทรมมาก ปัจจุบันจึงไม่ได้เปิดเดินรถแล้ว
ขบวนรถไฟโบราณสีแดง วิ่งผ่านป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์และช่องเขาที่เขียวขจีตลอด 2 ข้างทาง ไต่ระดับความสูงขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงามที่หาดูยากตลอดทาง (ภาพจาก businessweekly.com.tw)
หลังจากนั่งรถไฟมาลงสุดสายที่สถานี Alishan แล้วแนะนำให้เดินเที่ยวชมป่าสนบนภูเขาอาลีซานบนเส้นทางป่าสนอายุ 1,000 ปี ซึ่งจะมีต้นไม้โบราณและพันธุ์ไม้หายาก จุดชมวิวทะเลหมอกและหากไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าสุดโรแมนติกกันด้วย
นั่งรถไฟมาลงสุดสายที่สถานี Alishan แล้ว แนะนำให้เดินเที่ยวชมป่าสนบนภูเขาอาลีซานบนเส้นทางป่าสนอายุ 1,000 ปี ซึ่งจะมีต้นไม้โบราณและพันธุ์ไม้หายาก จุดชมวิวทะเลหมอกและหากไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าสุดโรแมนติกกันด้วย (ภาพจาก udn.com)
-
1. สะเทือน! เจิ้งเหวินชั่น อดีตรองนายกรัฐมนตรีถูกจับ ข้อหารับสินบนขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการนครเถาหยวน ศาลสั่งห้ามประกัน ห้ามเยี่ยม
นายเจิ้งเหวินชั่น ประธานมูลนิธิเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างช่องแคบไต้หวัน (SEF) อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตผู้ว่าการนครเถาหยวน และเคยเป็นตัวเก็งของพรรค DPP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวันในปัจจุบัน ถูกพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนจับกุมตัวที่สนามบินเถาหยวน เมื่อรุ่งเช้าวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ขณะเดินทางกลับจากการเยือนประเทศญี่ปุ่น ข้อหารับสินบน 5 ล้านเหรียญไต้หวันจากผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม ที่หลินโข่ว ฝ่าฝืนกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รับชัน ทำเอาวงการการเมืองในไต้หวันถึงกับช็อกไปตาม ๆ กัน
เจิ้งเหวินชั่น เดินออกจากอาคารศาลท้องถิ่นเถาหยวนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังศาลท้องถิ่นเถาหยวนห้ามประกันตัวข้อหารับสินบน (ภาพจาก udn.com)
คดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ขณะที่นายเจิ้งเหวินชั่นดำรงตำแหน่งผู้ว่าการนครเถาหยวนปีที่ 2 ได้พยายามช่วยผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม HWAYA Tcechnology Park ที่หลินโข่ว ขยายพื้นที่รอบข้างที่เป็นเขตการเกษตรให้กลายเป็นเขตอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของฟอร์โมซา พลาสติก กรุป ได้มอบเงินค่าตอบแทนจำนวน 5,000,000 เหรียญแก่พ่อเมืองนครเถาหยวน แต่ต่อมาการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้ที่ดินดังกล่าวไม่สำเร็จ เจิ้งเหวินชั่นจึงได้คืนเงินให้แก่ผู้ประกอบการในเวลา 11 เดือนต่อมา เรื่องนี้ฝ่ายตรวจสอบและสำนักงานอัยการเถาหยวนทราบเรื่องและสืบหาพยานหลักฐาน เนื่องด้วยในขณะนั้น เจิ้งเหวินชั่นเป็นนักการเมืองดาวรุ่งของพรรค DPP การดำเนินคดีเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่อัยการและฝ่ายตรวจสอบไม่ย่อท้อ จนกระทั่งมีการจับกุมเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนวันเกิดของเขา 1 วัน อัยการยื่นขอให้ศาลสั่งอายัดตัว ห้ามเยี่ยม ห้ามประกัน แต่ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัวได้ในวงเงิน 5 ล้านเหรียญไต้หวันวันต่อมา ซึ่งญาติมิตรของเจิ้งเหวินชั่นก็สามารถรวบรวมแบงก์ 2,000 เหรียญใหม่เอี่ยมจำนวน 5 ล้านเหรียญไต้หวันชำระต่อศาลเพื่อประกันตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ธนาคารไม่เปิดทำการ ด้านอัยการยื่นคัดค้านต่อศาลสูง ศาลสูงตีกลับคำสั่งประกันตัวของศาลเถาหยวน ศาลเถาหยวนได้พิจารณาคดีรอบที่ 2 ในวันที่ 9 กรกฎาคม อนุญาตให้ประกันตัวได้อีกครั้ง โดยเพิ่มวงเงินประกันเป็น 12 ล้านเหรียญ เจิ้งเหวินชั่นก็สามารถรวบรวมเงินสดอีก 7 ล้านเหรียญมาชำระต่อศาลเพื่อประกันตัวในเวลาเพียง 20 นาที อัยการยื่นคัดค้านต่อศาลสูงอีกครั้ง โดยมีหลักฐานใหม่แสดงว่าหากให้ประกันตัวจะส่งผลต่อรูปคดี ศาลสูงตีกลับคำสั่งของศาลเถาหยวนเป็นรอบที่ 2 ศาลเถาหยวนพิจารณาคดีใหม่เมื่อ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา คราวนี้อนุญาตให้ควบคุมตัวในสถานกักกันของสำนักงานอัยการเถาหยวน ห้ามเยี่ยม ห้ามประกัน เพื่อรอการพิจารณาคดี
เจ้าหน้าที่ศาลกำลังนับเงินประกันตัวครั้งแรก เป็นธนบัตรใบละ 2,000 เหรียญ จำนวน 5 ล้านเหรียญ (ภาพจาก mirrormedia.mg)
เจิ้งเหวินชั่น มีอายุครบ 57 ปีพอดีเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในอดีตเป็นนักการเมืองที่มีสติปราดเปรื่อง จนได้รับการขนานนามในหมู่นักการเมืองพรรค DPP ว่าจิวยี่อ้วน แต่ไม่ถึงกับมีชื่อเสียงมากนัก จนกระทั่งเขาเอาชนะคู่ต่อสู้จากพรรคก๊กมินตั๋งในการเลือกตั้งผู้ว่าการเถาหยวนเมื่อปี 2557 ชนิดหักปากกาเซียนเลยทีเดียว เจิ้งเหวินชั่นจึงเริ่มมีชื่อเสียงในวงการเมืองระดับประเทศ เนื่องจากเขาเป็นคนมีความสัมพันธ์กว้างขวาง เป็นเพื่อนกับทุกคน ทั้งนักการเมืองฝ่ายค้านและภายในพรรค เป็นที่ชื่นชมของอดีตประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน หากไม่ถูกเปิดโปงเรื่องวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของเขาคัดลอกเนื้อหาจากเว็บของจีนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งมีข่าวฉาวเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินอีกหลายคดี ก็อาจขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเป็นตัวเก็งของพรรค DPP ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับไล่ชิงเต๋อ
HWAYA Tcechnology Park ที่หลินโข่ว บนพื้นที่ 158 เฮกตาร์ มีโรงงาน 108 แห่ง มีพนักงานทำงานอยู่ที่นี้กว่า 25,000 คน (ภาพจาก HWAYA Tcechnology Park)
2. เคยใช้ไหม? แบงก์ 2,000 เหรียญ ชาวไต้หวันไม่นิยมใช้ เหตุร้านค้าไม่อยากรับ ทอนยากและกลัวแบงก์ปลอมเสียหายหนัก แต่คนรวยชอบเพราะเก็บง่าย
คดีคอร์รับชันของนายเจิ้งเหวิน ศาลอนุญาตให้ประกันตัวครั้งแรกวงเงิน 5 ล้านเหรียญ ญาติมิตรของเขาสามารถรวบรวมเงินสดเป็นแบงก์ 2,000 เหรียญใหม่เอี่ยม ทำให้หลายคนนึกขึ้นได้ว่า ในไต้หวันยังมีธนบัตรใบละ 2,000 เหรียญ นอกจากนี้ยังมีใบละ 200 เหรียญก็ไม่ค่อยมีคนนิยมใช้เช่นกัน จากข้อมูลของธนาคารกลางไต้หวันพบว่า อัตราการใช้จ่ายของธนบัตรใบละ 2,000 เหรียญในท้องตลาดมีเพียง 5% ยิ่งธนบัตรใบละ 200 เหรียญยิ่งน้อย มีเพียง 1.18%
ในไต้หวันมีธนบัตร 5 ชนิด ในจำนวนนี้ ธนบัตรใบละ 200 เหรียญและ 2,000 เหรียญ ไม่ได้รับความนิยม
ชาวไต้หวัน ยังคงนิยมใช้ธนบัตร แม้ว่าการใช้จ่ายเงินผ่านการสแกน QRCode ผ่านแอป หรือบัตรเครดิต จะมีจำนวนมากขึ้น แต่ผู้คนทั่วไปยังคงนิยมใช้เงินสดในการจับจ่ายซื้อของ อาจเป็นเพราะถือเงินสดแล้วมั่นใจกว่าก็เป็นได้
ในไต้หวันมีธนบัตร 5 ชนิด ได้แก่ใบละ 100 เหรียญ, 200 เหรียญ, 500 เหรียญ, 1,000 เหรียญและใบละ 2,000 เหรียญ ที่นิยมใช้มากที่สุดได้แก่ใบละ 100 เหรียญ, 500 เหรียญและ 1,000 เหรียญ อาจเป็นเพราะเป็นเลขที่คิดง่าย ทำให้แบงก์ใบละ 200 เหรียญ ซึ่งเวลาทอนคิดยากกว่า คนไต้หวันส่วนใหญ่จะเก็บสะสมไว้เป็นที่ระลึกมากกว่านำมาใช้
ไต้หวันมีธนบัตร 5 ชนิด ในจำนวนนี้ ธนบัตรใบละ 200 เหรียญและ 2,000 เหรียญ ไม่ได้รับความนิยม
ส่วนธนบัตรใบละ 2,000 เหรียญ เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2545 แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเช่นกัน จากการสำรวจของชาวเน็ตบอกว่า สาเหตุเป็นเพราะร้านค้าไม่ค่อยอยากรับ เพราะทอนยากและกลัวเจอแบงก์ปลอม จะทำให้เสียหายหนัก เมื่อใช้ยาก ผู้คนจึงใช้ธนบัตรใบละ 100, 500 และ 1,000 เหรียญแทน
ธนบัตรใบละ 2,000 เหรียญ เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2545 แต่ไม่ได้รับความนิยม อัตราการหมุนเวียนในตลาดมีเพียง 5%
อย่างไรก็ตาม พบว่าเศรษฐีและธนาคาร นิยมใช้แบงก์ 2,000 เหรียญมากที่สุด เพราะเก็บง่าย ใช้พื้นที่เก็บน้อยกว่า
จากการสำรวจของชาวเน็ตพบว่า สาเหตุที่ร้านค้าไม่อยากรับธนบัตรใบละ 2,000 เหรียญ มาจากทอนยากและกลัวเจอแบงก์ปลอม จะทำให้เสียหายหนัก ยกเว้นเศรษฐีและธนาคารที่นิยมใช้ เพราะใช้พื้นที่เก็บน้อยกว่า (ภาพจาก CNA)
3. แตงโมไต้หวัน หวานกรอบ ฉ่ำน้ำ ดับกระหายคลายร้อน กินแล้วชื่นใจ
ไต้หวันเข้าสู่หน้าร้อนอย่างเต็มรูปแบบ อากาศร้อนอบอ้าวมักทำให้หลายคนไม่สบายตัว บางคนถึงขั้นป่วย จึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ควรเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ไม่ทำให้เลือดลมเสียสมดุล แถมยังช่วยคลายร้อนจากข้างในได้อีกด้วย แพทย์แนะนำว่าในช่วงหน้าร้อนสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ น้ำเปล่า เพราะช่วยป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำและยังช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายได้ดีซึ่งถือเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้ง ตามด้วยผลไม้ฤทธิ์เย็น อาทิ แตงโม มะม่วงสุก มังคุด ที่มีความสดชื่น ฉ่ำน้ำ ช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกายได้ดี ที่สำคัญยังมีวิตามินเอสูง มีกากใยอาหารที่ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด และดีต่อระบบขับถ่าย
อากาศร้อนรับประทานแตงโมช่วยดับกระหายคลายร้อน เย็นฉ่ำชื่นใจ และดีต่อสุขภาพ (ภาพจาก uho.com.tw)
ในไต้หวันช่วงหน้าร้อนผู้คนนิยมรับประทานแตงโมคลายร้อน เพราะเป็นช่วงที่ผลผลิตแตงโมออกสู่ตลาดมากที่สุดและใครที่เคยมาเที่ยวไต้หวันหรือมาใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวัน น่าจะมีโอกาสได้ชิมแตงโมไต้หวันมาแล้ว ส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หวานกรอบ ฉ่ำน้ำ อร่อยมาก ที่สำคัญคือแตงโมเป็นผลไม้ฤทธิ์เย็นที่เหมาะแก่การรับประทานในหน้าร้อน จะส่งผลดีต่อร่างกาย แตงโมมีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด เช่น เหล็ก สังกะสี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 โฟเลต โคลีน แคโรทีน ลูทีนและซีแซนทีน โดยเฉพาะไลโคปีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายจนเสื่อมสภาพก่อนวัยและอาจนำไปสู่โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน เป็นต้น
แตงโมยักษ์ฮัวหลียนที่ชนะการประกวดปี 2566 มีน้ำหนัก 57.5 ชั่ง หรือ 34.5 กก. (ภาพจาก LTN)
ในไต้หวันสามารถเพาะปลูกแตงโมได้ในหลายพื้นที่ อาทิ เมืองหยุนหลิน ไถหนาน จางฮั่ว ฮัวเหลียน อี๋หลาน เจียอี้ ไทจงและเหมียวลี่ ไถตง เกาสงและผิงตง โดยแตงโมที่ปลูกในเมืองฮัวเหลียนได้ชื่อคุณภาพดีที่สุด อร่อยที่สุดและราคาแพงที่สุด โดยเป็นแตงโมพันธุ์ยักษ์ ผลใหญ่ผิวสีเขียวอ่อนเป็นรูปกลมรีโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
แหล่งเพาะปลูกสำคัญของแตงโมพันธุ์ยักษ์ อยู่ที่เมืองฮัวเหลียน(ภาพจาก Rti)
นอกจากนี้ยังมีแตงโมลูกกลมลายเขียว เนื้อสีแดงและเนื้อสีเหลือง สำหรับแหล่งที่ผลิตแตงโมได้มากที่สุดคือเมืองหยุนหลิน 25 % รองลงมาคือไถหนาน 14% จางฮั่ว 13% ฮัวเหลียนและเจียอี้ 9% ตามลำดับ ในไต้หวันสามารถปลูกแตงโมได้ปีละ 3 ครั้ง ยกเว้นแตงโมยักษ์ที่เมืองฮัวเหลียนจะปลูกได้แค่ปีละครั้ง
ฟาร์มแตงโมยักษ์ที่ฮัวเหลียน (ภาพจาก newsmarket.com.tw)
-
1. ทำลายสถิติ! ไถตงอุณหภูมิ 41°c กรุงไทเปร้อนไม่แพ้กัน เขตซื่อหลิน 39.1°c เมืองอื่น ๆ 37-39°c อุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกได้เกิน 40°c เตือนดูแลสุขภาพ
สัปดาห์ที่ผ่านมาอากาศร้อนมากในทุกที่ ทำลายสถิติของปีนี้ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ระหว่าง 37-39°c แต่ที่หมู่บ้านจินหลุน ตำบลไท่หมาหลี่ ไถตง อุณหภูมิพุ่ง 41°c ในไทเปก็ร้อนสุด ๆ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่เขตซื่อหลิน 39.1°c เมืองอื่น ๆ ระหว่าง 37-39°c อุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกได้เกิน 40°c กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว
ปีนี้อากาศร้อนมาก สัปดาห์ที่ผ่านมา ไถตงอุณหภูมิ 41°c เมืองอื่น ๆ 37-39°c อุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกได้เกิน 40°c (ภาพจาก LTN)
นอกจากเตือนภัยร้อนแล้ว กรมอุตุนิยมวิทยาของไต้หวันเตือนให้ระวัง ช่วงบ่าย ๆ มักจะมีฝนฟ้าคะนอง กระหน่ำเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมงในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง เพราะระบายลงคลองไม่ทัน และบางที่ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก คนไปทำกิจกรรมหรือไปตกปลาจับปลาใกล้แม่น้ำลำธาร ต้องระวัง
แผนที่สภาพอากาศ เมื่อเวลา 13:00 น. วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 67 แสดงถึงทั่วเกาะร้อนจัด ช่วงบ่ายมักมีฝนฟ้าคะนอง (ภาพจากกรมอุตุนิยมวิทยา CWA)
2. วางแพลนเที่ยวได้เลย! ปฏิทิน 2568 ออกมาแล้ว วันหยุดรวม 115 วัน แรงงานเพิ่ม 1 วัน หยุดยาว 3 วันขึ้นไป 6 ครั้ง ตรุษจีนหยุด 9 วัน (25 ม.ค.-2 ก.พ. 68)
เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักงานบริหารข้าราชการพลเรือน สภาบริหารประกาศปฏิทินปี 2568 มีจำนวนวันหยุด ซึ่งรวมวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดประจำสัปดาห์ทั้งหมด 115 วัน ผู้ใช้แรงงานมีวันหยุด 116 วัน มากกว่า 1 วัน ได้แก่วันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม ในจำนวนนี้ วันหยุดติดต่อกัน 3 วันขึ้นไปมี 6 ครั้ง ดังนี้ :
🔶 เทศกาลตรุษจีน หยุด 9 วัน (25 ม.ค.-2 ก.พ. 68) (วันเสาร์ที่ 8 ก.พ. ต้องทำงานเพื่อสลับหยุดในวันจันทร์ที่ 27 ม.ค. 68)
🔶 รำลึกวันสันติภาพ 28 กุมภาพันธ์ หยุด 3 วัน (28 ก.พ.-1 มี.ค. 68)
🔶 วันเด็ก วันสตรีสากลและวันเช็งเม้ง หยุด 4 วัน (3 เม.ย.- 6 เม.ย. 68)
🔶 เทศกาลไหว้ขนมจ้าง หยุด 3 วัน (30 พ.ค.-1 มิ.ย. 68)
🔶 เทศกาลไหว้พระจันทร์ หยุด 3 วัน (4 ต.ค.-6 ต.ค. 68)
🔶 วันฉลองวันชาติ หยุด 3 วัน (10 ต.ค.-12 ต.ค. 68)
แม้จะเป็นปฏิทินสำหรับทางราชการ แต่สำนักงานบริหารข้าราชการพลเรือนแถลงว่า วันหยุดของผู้ใช้แรงงานในภาคเอกชน และส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายมาตรฐานแรงงาน ต้องยึดตามวันหยุดและวันทำการตามปฏิทินที่ประกาศดังกล่าว
ช่วงก่อนปี 2567 เพื่อเอาใจผู้ใช้แรงงานให้มีวันหยุดยาวติดกันหลายวัน รัฐบาลใช้วิธีสลับวันทำงาน ให้ทำงานชดเชยในวันเสาร์ของสัปดาห์ก่อนหรือหลังหยุดยาว 1 สัปดาห์ ความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการให้มีวันหยุดติดกันหลายวัน มีเจตนาดีเพื่อจะให้ประชาชนได้พักผ่อนและเดินทางท่องเที่ยวกัน แต่การทำงานชดเชยในวันเสาร์กลายเป็นปัญหาของผู้ปกครองที่มีลูกเล็ก โดยทั่วไปครอบครัวเดี่ยวที่พ่อแม่ทำงานทั้งคู่ จะส่งลูกไปให้สถานดูแลเด็กเล็กในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ จะรับลูกมาดูแลเอง แต่เมื่อต้องทำงานชดเชยวันเสาร์ก็ต้องหาคนมาดูแลหรือส่งให้สถานดูแลเด็กช่วยดูแล ทำให้เพิ่มค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจำนวนมากยังบ่นว่า การทำงานชดเชยในวันเสาร์ แรงงานส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะทำงานกัน เฉื่อยชา ขาดประสิทธิภาพ อีกทั้งยังพบว่าส่วนใหญ่จะลางานกัน ทำให้วันที่ทำงานชดเชยเหลือคนทำงานเพียงไม่กี่คน ขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐบาล
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเร่งแก้ไข เริ่มจากปี 2567 เป็นต้นมา สำนักงานบริหารข้าราชการพลเรือนประกาศลดมาตรการสลับการทำงานเพื่อให้มีวันหยุดยาวเพิ่มขึ้น อย่างในปี 2567 นี้ เหลือเพียงวันเดียวในช่วงตรุษจีน ในปีใหม่ 2568 ก็เช่นเดียวกัน มีการสลับวันทำงานเพียง 1 วัน คือวันที่ 8 ก.พ. สลับกับหยุดในวันจันทร์ที่ 27 ม.ค. 2567
เมื่อรู้วันหยุดที่ชัดเจนในปีใหม่ ใครที่มีแผนการจะเดินทางไปเที่ยวหรือมีแผนการอื่นใด ก็สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ จากนั้นลุยตามที่แพลนไว้นะครับ
3. สถานีรถไฟไทเปติดเครื่องตรวจจับกลิ่นเหม็นในห้องน้ำ หวังลบชื่อเสียห้องน้ำสาธารณะที่สกปรกที่สุดในไต้หวัน
การรถไฟไต้หวันทุ่มงบเกือบ 5 แสนเหรียญไต้หวัน ติดตั้งเครื่องตรวจจับกลิ่นฉี่อัตโนมัติในห้องน้ำ 13 จุดทั่วสถานี หากห้องน้ำใดมีความเข้มข้นของแอมโนเนียเกินมาตรฐานหรือเกิน 20 ppm เครื่องจะส่งสัญญาณเตือนให้พนักงานมาทำความสะอาดทันที หวังลบชื่อเสียห้องน้ำสาธารณะที่สกปรกที่สุดในไต้หวัน
สถานีรถไฟไทเปติดเครื่องตรวจจับกลิ่นเหม็นในห้องน้ำ หวังลบชื่อเสียห้องน้ำสาธารณะที่สกปรกที่สุดในไต้หวัน (ภาพจาก tw.news.yahoo.com)
การรถไฟไต้หวันเผยว่า ห้องน้ำ 13 จุดในสถานีรถไฟไทเปมีผู้โดยสารที่เข้าไปใช้ประมาณ 6 แสนคนต่อวัน เพื่อเป็นการยกระดับความสะอาดของห้องน้ำจึงทุ่มงบเกือบ 5 แสนเหรียญไต้หวัน ติดตั้งเครื่องตรวจจับกลิ่นแอมโนเนียอัตโนมัติในห้องน้ำ อุปกรณ์ชิ้นนี้สามารถตรวจวัดความเข้มข้นของแอมโมเนีย การระบายอากาศ ตลอดจนแสงสว่างในห้องน้ำ เป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาความสกปรกและยกระดับมาตรฐานความสะอาดของห้องน้ำการรถไฟไต้หวัน
ekit เครื่องตรวจจับกลิ่นเหม็นในห้องน้ำ ซึ่งจะส่งสัญญาณเตือนให้พนักงานมาทำความสะอาดทันทีเมื่อความเข้มข้นของแอมโนเนียเกินมาตรฐาน (ภาพจาก tw.news.yahoo.com)
ผลการจัดอันดับห้องน้ำสาธารณะที่สกปรกที่สุดในไต้หวันโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ห้องน้ำของการรถไฟไต้หวันถูกจัดให้เป็นห้องน้ำสาธารณะที่สกปรกที่สุด ด้วยเหตุนี้ การรถไฟฯ จึงได้ทุ่มงบประมาณเกือบ 5 แสนเหรียญไต้หวันติดตั้งเทคโนโลยีตรวจจับความสกปรกในห้องน้ำจากประเทศญี่ปุ่น โดยเริ่มติดตั้งในสถานีรถไฟไทเปซึ่งมีผู้โดยสารใช้ห้องน้ำสูงถึง 6 แสนคนต่อวัน หวังว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนี้จะสามารถยกระดับความสะอาดของห้องน้ำในสถานีได้
สถานีรถไฟไทเป มีผู้โดยสารใช้ห้องน้ำสูงถึง 6 แสนคนต่อวัน (ภาพจาก chinatimes.com)
4. ร้อนตับแลบ!พาไปเที่ยวแบบเย็นๆ ชมสวนสัตว์ไทเปยามกลางคืนกัน
อากาศร้อน คนไต้หวันนิยมไปเล่นน้ำคลายร้อนกัน ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนผู้ปกครองนิยมพาเด็กไปเล่นน้ำคลายร้อนในสวนน้ำหรือชายทะเล แต่ก็ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยเพราะทะเลหน้าร้อนมักเกิดคลื่นทะเลดูดหรือกระแสน้ำย้อนกลับ ดูดคนที่กำลังเล่นน้ำออกห่างจากชายฝั่งเป็นข่าวให้ได้ยินอยู่บ่อย สัปดาห์นี้ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและเหมาะสำหรับหน้าร้อนเพราะเที่ยวช่วงกลางคืนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนกลางวัน นั่นก็คือ ไปเที่ยวชมสวนสัตว์ไทเปยามกลางคืนกัน เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็ก น่าพาไปเที่ยวมาก
สวนสัตว์ไทเปเปิดให้เข้าชมยามกลางคืนในช่วงฤดูร้อนระหว่างวันที่ 6 กรกฎาคม- 31 สิงหาคม 2567 (ภาพจากสวนสัตว์ไทเป)
สวนสัตว์ไทเป (Taipei Zoo) แถลงเมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 110 ปี ของการก่อตั้งสวนสัตว์ไทเป ปีนี้ทางสวนสัตว์จะเปิดสวนสัตว์ยามกลางคืนในช่วงฤดูร้อน ช่วงเวลา 17:00 น. ถึง 21:00 น. ระหว่างวันที่ 6 กรกฎาคม-31 สิงหาคมนี้
สวนสัตว์ไทเปเปิดช่วงกลางคืนรับซัมเมอร์ ให้ผู้ปกครองพาเด็กๆไปเที่ยวชมสวนสัตว์ยามราตรี (ภาพจาก udn.com)
โดยในช่วงกลางคืนมีการเปิดให้ชมโซนสัตว์ป่าที่หาชมได้ยากและเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ 13 ชนิด ประกอบด้วย หมีดำ นากยุโรป (Lutra lutra) สมเสร็จมลายู ไก่ฟ้าเวียดนาม แพนด้าแดง แมวดาว กอริลลา เขียดไต้หวัน หมีโคอาลา เสือโคร่งมลายู ลิ่น ช้างเอเชีย และเต่าคองู สำหรับบัตรเข้าชมสวนสัตว์กลางคืนคนละ 60 เหรียญไต้หวัน ในขณะบัตรค่าเข้าชมในช่วงกลางวันราคา 100 เหรียญไต้หวัน
แม่ลูกสมเสร็จมลายูของสวนสัตว์ไทเป 1 ใน 13 ชนิดสัตว์ป่าที่เปิดให้ชมในช่วงกลางคืน (ภาพจาก สวนสัตว์ไทเป)
-
1. ควันหลงงานนัดพบผู้ฟังอาร์ทีไอในไต้หวัน ปี 2567 กิจกรรมช่วงหลังพาชมหนังเรื่องหลานม่า น้ำตาแตกท่วมโรง
ปิดฉากลงอย่างราบรื่นสมบูรณ์กับงานนัดพบผู้ฟังอาร์ทีไอในไต้หวันประจำปี 2567 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา แฟนคลับอาร์ทีไอ 130 ท่าน ร่วมสนุกกับกิจกรรมและชมภาพยนตร์เรื่อง “หลานม่า” จนน้ำตาท่วมโรง
หลังจากว่างเว้นมานาน 5 ปี เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2567 ภาคภาษาไทย Rti ได้จัดงานนัดพบผู้ฟังในไต้หวันอีกครั้ง พร้อมฉลองผู้ติดตาม RtiFanpage ทะลุหลัก 100,000 คน กิจกรรมนัดพบผู้ฟังในไต้หวันปีนี้ จึงตั้งใจจัดให้พิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาด้วยการพาบรรดาแฟนคลับไปชมภาพยนตร์เรื่อง "หลานม่า”ซึ่งกำลังเป็นที่กล่าวขานอย่างมากในแวดวงภาพยนตร์ของเมืองไทยในทั่วภูมิภาคเอเชีย
รวมพลกันที่สถานีรถไฟไทเปก่อนจะนั่งรถบัส 3 คันไปยัง Rti
ผู้ฟัง Rti จากเมืองต่าง ๆ ทยอยเดินทางไปร่วมงานงานตั้งแต่เช้ากว่า 130 คน ในงานมีแขกผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายไต้หวันและไทยเข้าร่วมมากมายหลายท่าน นอกจากร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันและเล่นกิจกรรมสนุกสนานกันแล้ว ยังพาผู้ฟังไปชมภาพยนตร์เรื่อง "หลานม่า" ที่ Songshan Cultural and Creative Park ด้วย
นอกจากผู้ฟังแล้ว ยังมีแขกผู้มีเกียรติจากฝ่ายไทยและไต้หวันเข้าร่วมงานนัดพบผู้ฟัง Rti 2567 ด้วย ซึ่งประกอบด้วย เหอเพ่ยซาน รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน นายณรงค์ บุญเสถียรวงศ์ ผอ. ใหญ่ สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ไทเป นายสัณห์ อรุณรักษ์ติชัย รองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ไทเปและคณะ นายทศพล สุมานนท์ ผอ. สำนักงานแรงงาน ไทเป คณะเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานและกระทรวงวัฒนธรรม ฯลฯ
งานนัดพบผู้ฟัง Rti ในไต้หวันประจำปี 2567 จัดขึ้นที่สถานีวิทยุ Rti มีผู้ฟังและแขกรับเชิญเข้าร่วมงานประมาณ 150 คน
2. ร้อนตับแตก! เกาะไต้หวันอุณหภูมิพุ่งกลายเป็นมันเทศเผา เกาสงแตะ 40°c 3 สัปดาห์แรกเดือนมิถุนายน มีผู้ป่วยโรคลมแดดเข้ารับการรักษาแล้ว 460 ราย
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนภัยร้อนเกือบทุกวัน อุณหภูมิในเมืองต่าง ๆ ของไต้หวันทำลายสถิติในเดือนมิถุนายน สูงกว่า 36°c อุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกได้สูงกว่า 40°c โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงไทเป หยุนหลิน เกาสง ไถหนานและผิงตง อุณหภูมิสูงเกิน 38°c โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ยังไม่ถึงเที่ยงอุณหภูมิที่เกาสงพุ่งสูงถึง 39.5°c จัดเป็นเดือนมิถุนายนที่ร้อนที่สุดก็ว่าได้ และส่วนใหญ่ร้อนแต่เช้าเลย ตื่นเช้ามาอุณหภูมิก็สูงกว่า 30°c ยังดีที่ช่วงบ่าย ๆ มักจะมีฝนฟ้าคะนองติดต่อกันหลายวัน ทำให้ดับร้อนลงไปได้บ้าง
แผนที่สภาพอากาศ เมื่อเวลา 13:00 น. วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 67 แสดงถึงทั่วเกาะร้อนจัด ช่วงบ่ายมีฝนฟ้าคะนอง (ภาพจากกรมอุตุนิยมวิทยา CWA)
ด้านกระทรวงสาธารณสุขไต้หวันเตือนว่า สภาพอากาศที่ร้อนแบบสุดขั้นในหน้าร้อนปีนี้ ส่งผลให้ 3 สัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน มีผู้ป่วยที่มีอาการไม่สบายจากอากาศร้อนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว 460 ราย เตือนหลีกเลี่ยงทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง จิบน้ำบ่อย ๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 6-8 แก้วต่อวัน สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา รวมถึงกาแฟ และเครื่องดื่มน้ำตาลสูง สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว ไม่ควรอยู่ในที่อากาศร้อนจัด คนที่ออกกำลังกาย แนะนำออกกำลังกายในที่ที่อากาศถ่ายเท และหากออกกำลังกายช่วงเช้าหรือช่วงเย็นก็ยิ่งดี เพราะอากาศไม่ร้อนมากและควรมีอุปกรณ์คลายร้อนติดตัวไว้อยู่เสมอ เช่น พัดลมจิ๋ว หรือพัดมือเล็ก ๆ
อากาศร้อนจัด ระวังเป็นโรคลมแดด (ภาพจาก udn.com)
3. ไถหนานติดอันดับเมืองที่ร้อนที่สุดของไต้หวันช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยแต่ละปีกว่าครึ่งมีอุณหภูมิเกิน 30°c ชาวไถหนานบอกออกนอกบ้านเป็นลมเลย...
ช่วงนี้ไต้หวันเข้าสู่หน้าร้อนอย่างเต็มตัว ช่วงเช้าถึงกลางวัน แดดจะจัดจ้า อุณหภูมิสูงถึง 38-39 องศาเซลเซียส พอตกบ่ายมักมีฝนฟ้าคะนอง ช่วยบรรเทาความร้อนระอุลงได้มาก แต่ในเดือนกรกฎาคมนี้ฝนฟ้าคะนองในช่วงบ่ายจะเบาบางลง ดังนั้น คาดว่าอากาศจะร้อนตลอดทั้งวัน ล่าสุดมีคนนำข้อมูลสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวันมาบันทึกและจัดทำเป็นสถิติ พบว่า 30 ปีที่ผ่านมาระหว่างปี พ.ศ. 2534-2563 เมืองที่มีจำนวนวันอุณหภูมิสูงสุดเกิน 30 องศาเซลเซียสมากที่สุดได้แก่นครไถหนาน เฉลี่ยแต่ละปีมีถึง 186 วัน นั่นหมายความว่านครไถหนานมีอากาศร้อนกว่า 30 องศาเซลเซียสเกินครึ่งต่อปี ตามด้วยนครเกาสง 174 วันและอันดับเมืองผิงตง 169 วัน
ไถหนานติดอันดับเมืองที่ร้อนที่สุดของไต้หวัน อุณหภูมิสูงสุดทะลุ 30 องศาเซลเซียส มากที่สุดได้แก่นครไถหนาน ซึ่งมีทั้งหมด 186 วัน( ภาพจาก LTN)
ช่วงฤดูร้อนของไต้หวันยังเป็นฤดูกาลของพายุไต้ฝุ่นด้วย กรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่า เนื่องจากปีนี้ มีโอกาสเกิดปรากฏการณ์ลานีญา คาดการณ์ว่าไต้ฝุ่นอาจก่อตัวขึ้นใกล้ไต้หวันและที่ผ่านมาจะมีพายุไต้ฝุ่นก่อตัวขึ้น 21-25 ลูก/ปี พัดเข้าใกล้ไต้หวันประมาณ 3-5 ลูก แต่ปีนี้คาดว่าจะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในแต่ละปี ขณะที่ปริมาณฝนมีแนวโน้มน้อยกว่าปกติด้วย
4. โควิดคัมแบ็ก! คาดสัปดาห์เดียวยอดป่วยเพิ่ม 40,000 ราย คนป่วยล้น รพ. เตือนใส่แมสก์การ์ดอย่าตก เตรียมรับมือช่วงพีคสุด ก.ค.-ส.ค.
โรคโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนกลับมาระบาดรุนแรงอีกครั้งเป็นระลอกที่ 6 กรมควบคุมโรคไต้หวันเผย 3 สัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน การระบาดเริ่มรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง สัปดาห์แรกมีผู้ป่วยยืนยันและแสดงอาการเพิ่ม 623 ราย ช่วง 11-17 มิ.ย. ผู้ป่วยยืนยันเพิ่ม 624 ราย เสียชีวิต 38 ราย สัปดาห์ต่อมา ช่วง 18-24 มิ.ย. 67 ยอดผู้ป่วยเพิ่ม 31% เป็น 817 ราย เสียชีวิต 40 ราย จากข้อมูลพบผู้ป่วยอาการหนักประมาณ 2% ประมาณการว่าตัวเลขจริงผู้ป่วยที่เพิ่มในสัปดาห์เดียวน่าจะเกิน 40,000 ราย ส่งผลให้แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่าง ๆ เต็มไปด้วยผู้ป่วยขอรับการรักษาจนแพทย์และพยาบาลไม่สามารถรับมือได้ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันหรือไถต้า (NTU) มีผู้ป่วยรอคิวเข้ารับการรักษาเกินกว่า 100 คนในแต่ละวัน ทำลายสถิติสูงสุด และเกรงจะเกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในโรงพยาบาล เริ่มใช้มาตรการควบคุมและกักตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยยืนยันรายใหม่จะถูกส่งไปกักตัวและรับการรักษาในห้องผู้ป่วยเดียวหรือในห้องแรงดันลบโดยตรง โรงพยาบาลอื่น ๆ ก็เริ่มมาตรการป้องกันการระบาด จำกัดการเฝ้าไข้และการเยี่ยมผู้ป่วย
โรคโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนกลับมาระบาดรุนแรงอีกรอบ แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่าง ๆ เต็มไปด้วยผู้ป่วย (ภาพจาก udn.com)
กรมควบคุมโรคไต้หวันเตือนอย่าชะล่าใจ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ในระลอกใหม่ คาดจะทวีความรุนแรง พีคสุดในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม และหลังเปิดเทอมในเดือนกันยายน อาจเกิดการระบาดระลอกใหม่ นอกจากโควิด-19 ยังพบไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และโรคมือเท้าปากหรือโรคติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรก็มีการระบาดรุนแรงด้วย กล่าวได้ว่าหน้าร้อนปีนี้ ไต้หวันถูกโจมตีด้วยสารพัดโรค จึงเตือนให้กลับมาสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง งดไปในสถานที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดี
โรคโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนกลับมาระบาดรุนแรงอีกรอบ แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่าง ๆ เต็มไปด้วยผู้ป่วย (ภาพจาก udn.com)
-
1. สิ้นสุดฤดูฝน ไต้หวันเข้าหน้าร้อนเต็มตัว เตรียมรับมืออากาศร้อนสุดขั้ว เตือนระวังโรคลมแดด ส่วนไต้ฝุ่นคาดก่อตัวถี่ในกรกฎาคมเป็นต้นไป
ฤดูฝนของไต้หวันหรือที่ภาษาจีนเรียกว่าเหมยอวี่ (梅雨) ซึ่งเป็นช่วงสั้น ๆ ประมาณ 1 เดือนสิ้นสุดลงไปแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มิ.ย. 67 ที่ผ่านมา เป็นวันเซี่ยจื้อ (夏至) 1 ใน 24 ฤดูกาลตามปฏิทินจีน ซึ่งหมายถึงการมาเยือนของวันยาวที่สุดในฤดูร้อน ตรงกับวันครีษมายัน ตามดาราศาสตร์สากล เป็นวันที่กลางคืนสั้นที่สุด กลางวันยาวที่สุดในซีกโลกเหนือและดวงอาทิตย์ทำมุม 90° แน่นอน เริ่มจากวันนี้เป็นต้นไปอากาศจะร้อนแบบสุดขั้วมากขึ้น
เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มิ.ย. 67 เป็นวันเซี่ยจื้อ (夏至) 1 ใน 24 ฤดูกาลตามปฏิทินจีน ซึ่งหมายถึงการมาเยือนของวันที่กลางวันยาวที่สุดในฤดูร้อน (ภาพจาก udn.com)
กรมอุตุนิยมวิทยาของไต้หวันกล่าวว่า แนวปะทะมวลอากาศทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่แปรปรวนเริ่มหมดไป และอิทธิพลจากรอบ ๆ ความกดอากาศสูงในมหาสมุทรแปซิฟิกเข้ามาแทนที่ ส่งผลให้อากาศในไต้หวันเข้าสู้หน้าร้อนเต็มตัว โดยมีลักษณะเด่นคือ อากาศร้อนอบอ้าวและมักจะมีฝนฟ้าคะนองในช่วงหลังเที่ยวไปแล้ว นอกจากนี้ในมหาสมุทรแปซิฟิก ยังจะมีการก่อตัวของพายุไต้ฝุ่น แต่คาดว่าจะเริ่มตัวถี่ขึ้น ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
หน้าร้อนของไต้หวัน มักจะมีฝนฟ้าคะนองในช่วงบ่าย (ภาพจาก udn.com)
ไม่เพียงแต่หน้าหนาวต้องระวัง ในหน้าร้อนก็ต้องดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานที่ทำงานในกลางแจ้ง ต้องจิบน้ำดื่มสะอาดบ่อย ๆ ป้องกันเป็นโรคลมแดดหรือฮีทสโตรก ซึ่งเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ทันที อย่าละเลยนะครับ เมื่อเกิดอาการจะต้องรีบเข้ารับการรักษาทันที เนื่องจากมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
หน้าร้อนของไต้หวัน มักจะมีฝนฟ้าคะนองในช่วงบ่าย (ภาพจาก udn.com)
2. ปรับปรุงใหม่ไฉไลกว่าเดิม พาไปชมตลาดปลาที่สวยงามสุด ตลาดปลากู่ซาน 2.0 ได้รับการขนานนาม เวนิสไต้หวัน สายซูชิต้องไม่พลาด
ตลาดปลากู่ซานที่ชาวเน็ตยกให้เป็นตลาดปลาที่สวยงามและน่าเที่ยวมากที่สุดในไต้หวัน พลิกโฉมเปิดตัวใหม่ไฉไลกว่าเดิม นักท่องเที่ยวนอกจากจะได้ชิมอาหารทะเลที่สด รสเด็ดแถมราคาเป็นมิตรแล้ว ยังได้ชมทิวทัศน์สวยงามหลากสีสันจากการรีโนเวทชุมชนฉีจิน บ้านแต่ละหลังทาสีสดใสตระการตา ประกอบกับภาพเงาสะท้อนแสงในทะเล ปานประหนึ่งกำลังอยู่ในเมืองเวนิส นครแห่งสายน้ำของอิตาลีจริง ๆ จึงได้รับการขนานนามว่าเวนิสไต้หวัน
ภาพมุมสูงตลาดปลากู่ซาน จะเห็นอาคารบ้านพักหลากสัสันบริเวณตลาด ไกลออกไปเป็นตึก 85 ชั้น แลนด์แมร์คของนครเกาสง (ภาพจาก udn.com)
ตลาดปลากู่ซานทำการปรับปรุงแผงและร้านขายปลาให้มีความเป็นระเบียบ สะอาด ปลอดภัยและเปิดใหม่เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ช่วงแรกมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันเยอะ แต่ขาดเอกลักษณ์ คือไปกินอย่างเดียว กิจการค่อย ๆ ซบเซา คณะกรรมการบริหารตลาดปลากู่ซานและเทศบาลนครเกาสง จึงเปลี่ยนแนวและพลิกโฉมตลาดแห่งนี้ใหม่อีกรอบ หลังจากใช้เวลาในการปรับปรุงกว่า 150 วัน นอกจากแผงหรือร้านขายปลาในตลาดมีความสวยงาม ทันสมัยและถูกสุขลักษณะแล้ว ยังใช้งบประมาณร่วม 20 ล้านเหรียญ ทาสีอาคารบ้านพักในละแวกเดียวกันให้มีสีสันหลากหลาย และเปิดให้บริการใหม่เมื่อ 22 เมษายน 2567 ที่ผ่านมากลายเป็นตลาดปลากู่ซาน 2.0 ปรากฏว่า ได้ผล มีชาวไต้หวันและนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่ไปเช็กอินและกินปลาสดใหม่ รสชาติเด็ด ราคากันเอง แถมได้ชมบรรยากาศสวยงามอย่างคึกคัก หากท่านยังไม่เคยไป โดยเฉพาะสายซูชิ ลองไปเที่ยวชมและหากินอาหารซีฟู้ดที่นี่ได้ นอกจากนี้ ยังมีศูนย์จัดแสดงและจำหน่ายสินค้าด้านการเกษตรและการประมงในท้องถิ่น มีร้านจำหน่ายอาหารเครื่องดื่ม สินค้าที่ระลึก ตลาดนัดวันหยุด และจุดชมวิวท้องทะเลที่งดงาม...
ในวันหยุด จะมีชาวไต้หวันและนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่ไปเช็กอินและกินปลาสดใหม่ รสชาติเด็ด ราคากันเอง แถมได้ชมบรรยากาศสวยงามอย่างคึกคัก (ภาพจากเทศบาลนครเกาสง)
ตลาดปลากู่ซาน ตลาดปลากู่ซันตั้งอยู่ในทำเลทอง ใกล้กับสถานีเรือข้ามฟาก ติดกับซีจื่อวาน (Sizihwan) KW2 (棧貳庫), สวนวัฒนธรรมทางรถไฟฮามาซิง (Hamasen Railway Cultural Park) และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกหลายแห่ง สำหรับการเดินทางที่ง่ายสุดคือนั่งรถไฟฟ้าสายสีเหลือลงสถานีซีจื่อวาน (MRT Sizihwan) หรือ O1 ออกประตู 1 เดินต่อไปเพียง 5 นาทีก็ถึง หรือนั่งรถไฟรางเบาลงสถานีฮามาซิง (Hamasen) เดินต่อไป 10 นาทีก็ถึง
เมื่อ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตลาดปลากู่ซานเชิญเชฟซูชิชื่อดัง มาสาธิตการทำซูชิจากปลาทูน่าครีบน้ำเงินสด ๆ น้ำหนัก 219 กก. และให้ผู้ชมชิมฟรี (ภาพจากเทศบาลนครเกาสง)
Google maps : 鼓山魚市場 高雄市鼓山區濱海一路109-1號 https://maps.app.goo.gl/cisNrWkgJZrDvLTf6
อาคารบ้านพักหลากสัสันบริเวณตลาดปลากู่ซาน กลายเป็นจุดเช็กอินแห่งใหม่ในเกาสงไปแล้ว (ภาพจาก udn.com)
3. หนังสือเดินทางไต้หวัน ได้ฟรีวีซ่า 100 ประเทศ ติดโผอันดับที่ 69 หนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก
ผลการจัดอันดับหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก สิงคโปร์คว้าแชมป์ ไต้หวันติดอันดับที่ 69 นำหน้าจีนซึ่งอยู่อันดับที่ 117 แต่มีประเทศหนึ่งที่ไม่ยอมรับหนังสือเดินทางไต้หวัน นั่นก็คือ จอร์เจีย ในขณะที่ไทยติดอันดับที่ 106 กลับได้ฟรีวีซ่าจอร์เจีย 365 วัน
เว็บไซต์ VisaGuide.World ประกาศการจัดอันดับหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกจากทั้งหมด 199 ประเทศ สิงคโปร์คว้าอันดับที่ 1 ด้วยคะแนน 91.15 ได้รับการอนุญาตให้เข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า 159 ประเทศ อันดับที่ 2 อิตาลี 107 ประเทศ อันดับที่ 3 สเปน 106 ประเทศ
เว็บไซต์ VisaGuide.World จัดอันดับหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก สิงคโปร์คว้าอันดับที่ 1 (ภาพจาก bnext.com.tw)
ไต้หวันติดอันดับที่ 69 ด้วยคะแนน 69.46 เขยิบขึ้นมาหนึ่งอันดับจากปีที่แล้ว หนังสือเดินทางของไต้หวันได้รับการอนุญาตให้เข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า 100 ประเทศ สามารถยื่นขอวีซ่าออนไลน์ (eVISA) 47 ประเทศ และขอวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (visa on arrival) 40 ประเทศ อย่างไรก็ตาม มีหนึ่งประเทศที่ปฏิเสธไม่ให้ผู้ถือหนังสือเดินทางไต้หวันเข้าประเทศนั่นก็คือประเทศจอร์เจีย
หนังสือเดินทางไต้หวัน ฟรีวีซ่า 100 ประเทศ ติดโผหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอันดับที่ 69 ของโลก (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
สำหรับประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 106 ด้วยคะแนน 36.35 โดยได้รับฟรีวีซ่า 36 ประเทศ ขอวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (VOA) 11 ประเทศ แต่จอร์เจียให้ฟรีวีซ่าแก่ไทยถึง 365 วัน
หนังสือเดินทางไทยอยู่ในอันดับที่ 106 ได้รับฟรีวีซ่า 36 ประเทศ (ภาพจาก oeadc.org)
4. ตายมากกว่าเกิด! ปี 66 ทุก 2.33 นาที มีคนไต้หวันเสียชีวิต 1 คน มะเร็งครองแชมป์สาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกัน 42 ปี
กระทรวงสาธารณสุขไต้หวันประกาศสถิติการเสียชีวิตของคนไต้หวันประจำปี 2566 พบว่า ปีที่แล้วประชากรไต้หวันเสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 205,575 คน เทียบกับปี 2515 ลดลง 2,863 คน หรือลดลงในอัตรา 1.4% เฉลี่ยทุก 2.33 นาที มีคนเสียชีวิต 1 คน กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า สาเหตุที่ยอดผู้เสียชีวิตในปี 2565 ลดน้อยลงเป็นเพราะผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดลดลง 5,705 คน แต่ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นทะลุหลักหนึ่งหมื่นคนเป็นครั้งแรก
ปีที่แล้ว ทุก 2.33 นาที มีคนไต้หวันเสียชีวิต 1 คน ในภาพเป็นที่จัดงานศพของชาวไต้หวัน (ภาพจาก yajing-life.com)
สำหรับ 10 สาเหตุการตายของคนไต้หวันประจำปี 2566 ได้แก่ อันดับที่ 1 โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอดอักเสบ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคโควิด-19 โรคความดันโลหิตสูง อุบัติเหตุ โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคไต ซึ่ง10 อันดับสาเหตุการตายดังกล่าวมีเพียงโรคโควิด-19 ที่ร่วงลงจากอันดับที่ 3 ในปี 2565 ลงมาอยู่ที่อันดับ 6 แต่โรคหลอดเลือดสมองและโรคเบาหวานล้วนเขยิบขึ้นมาจากปีที่แล้ว 1 อันดับ
โรคมะเร็งซึ่งครองแชมป์สาเหตุการตายอันดับที่1 ติดต่อกันมาเป็นเวลา 42 ปี (ภาพจาก tw.news.yahoo.com)
โรคมะเร็งซึ่งครองแชมป์สาเหตุการตายอันดับที่1 ติดต่อกันมาเป็นเวลา 42 ปีและจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 มีคนไต้หวันเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทั้งสิ้น 53,126 คน เทียบกับปี 2565 ที่มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 51,927 คน เพิ่มขึ้น 1,199 คน คิดเป็น 25.8% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด หรือเฉลี่ยผู้เสียชีวิต 4 คนมี 1 คนที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โดยแบ่งเป็นเพศชาย 31,885 คน เพศหญิง 20,171 คน ในจำนวนนี้ มะเร็งปอดเป็นเพชฌฆาตตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนมากที่สุดถึง 10, 348 คน รองลงมาคือ มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งในช่องปาก มะเร็งตับอ่อน มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหารและมะเร็งมดลูก
ปี 2566 มีคนไต้หวันฆ่าตัวตาย 3,898 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ในอัตรา 2.9% ส่วนใหญ่เป็นคนในช่วงอายุ 1-14 ปี, 15-24 ปี และ 25-44 ปี (ภาพจาก CNA)
นอกเหนือจาก10 สาเหตุการตายของคนไต้หวันดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีสาเหตุการตายอันดับที่ 11 ที่น่าสนใจนั่นก็คือ การฆ่าตัวตาย ในปี2566 มีคนไต้หวันฆ่าตัวตาย 3,898 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ในอัตรา 2.9% และจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ (3 อันดับแรก) ของคนในช่วงอายุ 1-14 ปี 15-24 ปี และ 25-44 ปี
-
1. เกิดอะไรขึ้น? ชายไต้หวันอายุ 18 ปี ส่วนสูงเฉลี่ยเตี้ยลง 1.2 ซม. เหลือ 172.1 ขณะที่หญิงวัยเดียวกันกลับสูงขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ย 161.2 ซม.
กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการประกาศผลสำรวจล่าสุดพบว่า ชายไต้หวันอายุ 18 ปี มีสภาพการที่ส่วนสูงเฉลี่ยของร่างกายลดลง 1.2 ซม. ขณะที่หญิงวัยเดียวกันส่วนสูงเฉลี่ยกลับเพิ่มสูงขึ้นทะลุด่าน 160 ซม. เป็น 161.2 ซม. แพทย์อายุรกรรมโรคต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึมกล่าวว่า ช่วงนี้ มีวัยรุ่นจำนวนมากเข้ารับการรักษาทางแผนกอายุรกรรม ทั้งนี้ เพราะพ่อแม่ห่วงกังวลพัฒนาการทางร่างกายในลูกชายของตน โดยเฉพาะส่วนสูงและความอ้วน
วัยรุ่นชายไต้หวันอายุ 18 ปี เตี้ยลง 1.2 ซม. เหลือ 172.1 ขณะที่หญิงวัยเดียวกันกลับสูงขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ย 161.2 ซม. (ภาพจาก health.udn.com)
รายงานการสำรวจโภชนาการและสุขภาพแห่งชาติของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการพบว่า หากเทียบในวัยเดียวกัน ชายไต้หวันอายุ 18 ปี ช่วงปี 2556-2559 มีส่วนสูงเฉลี่ย 173.3 ซม. แต่พอมาในปี 2560-2563 ลดลงเหลือ 172.1 ซม. สำหรับชายอายุ 19-30 ปี มีส่วนสูงเฉลี่ย 172.4 ซม. ขณะที่หญิงไต้หวันอายุ 18 ปี ในปี 2548-2551 ส่วนสูงเฉลี่ย 159.7 ซม. ช่วงปี 2556-2559 ส่วนสูงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 160.7 ซม. และช่วงปี 2560-2563 สูงขึ้นเป็น 161.2 ซม. สวนทางกับผู้ชายที่เตี้ยลง
เด็กหญิงในไต้หวันส่วนสูงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครองส่งเสริมให้ลูกสาวออกกำลังกายและให้ความสำคัญด้านโภชนาการมากขึ้น (ภาพจาก cw.com.tw)
นายแพทย์หลี่หงชาง หัวหน้าแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลแมคเคย์เมมโมเรียล อดีตประธานสมาคมพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ไต้หวันอธิบายว่า จากการวิจัยทางคลินิก พบว่าส่วนสูงของหญิงไต้หวันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากกระแสการออกกำลังกาย ตั้งโบราณกาลเป็นต้นมา ผู้หญิงถูกสอนมาต้องเป็นผู้เรียบร้อย สงบเสงี่ยม และทำกิจกรรมในที่ร่มมากกว่าการวิ่งเต้นออกกำลังกายในกลางแจ้ง แต่หลายปีมานี้ ภาพเหมารวมบทบาทของเพศหญิงในไต้หวันที่เจือจางลง พ่อแม่ผู้ปกครองส่งเสริมให้ลูกสาวออกกำลังกายและดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น เมื่อผู้หญิงออกกำลังกายและให้ความสำคัญด้านโภชนาการ ส่วนสูงของร่างกายจึงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนวัยรุ่นชาย เนื่องจากความกดดันจากความหวังของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกสูงโด่ง ประกอบกับแรงกดดันด้านการเรียน รวมทั้งเล่นเกม นอนดึก กินอาหารขยะมากขึ้น ทำให้ระบบต่อมไร้ท้อผิดปกติ ส่งผลต่อส่วนสูงลดลงและอ้วนขึ้น ในอดีตลูกชายสูง 170 ซม. พ่อแม่ก็พึงพอใจแล้ว แต่ปัจจุบัน ส่วนสูงต่ำกว่า 178 ซม. พ่อแม่ส่วนใหญ่จะบอกว่าเตี้ยไป
การออกกำลังกาย ทำให้เด็กมีพัฒนาการในส่วนสูงเพิ่มขึ้น (ภาพจาก health.udn.com)
นายแพทย์หลี่กล่าวว่า จากการเปรียบเทียบพ่อแม่จำนวนมากพบว่า ญาติของตนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาหรือแคนาดา ลูกชายวัยเดียวกันมักจะสูงกว่าลูกชายของตนที่อยู่ในไต้หวัน แสดงว่า ความแตกต่างด้านการศึกษาและแรงกดดันด้านการใช้ชีวิต มีต่อพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยรุ่นอย่างมาก
การออกกำลังกาย ทำให้เด็กมีพัฒนาการในส่วนสูงเพิ่มขึ้น (ภาพจาก bcc.com)
สำหรับชายหญิงไทย ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของไทยพบว่า เมื่อปี 2565 ส่วนสูงโดยเฉลี่ยของคนไทยอายุ 19 ปี ผู้ชายอยู่ที่ 170 ซม. ผู้หญิง 157 ซม. และตั้งเป้าว่าในปี 2579 หรืออีก 12 ปีข้างหน้า ชาวไทยต้องมีส่วนสูงเฉลี่ย 180 ซม. ผู้หญิง 170 ซม. ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงดูดีมากเลย ในเมืองไทยจะมีแต่คนสูงชะลูดหุ่นดี น่าจะสูงที่สุดในเอเชีย ไม่ทราบจะทำได้ไหมเนี่ย
2. รสชาติความหวานบนปลายลิ้น เรื่องราวของขนมสไตล์ไต้หวัน กุศโลบายทางศาสนาของคนโบราณ
สัปดาห์นี้ขอนำเสนอเรื่องราวของขนมสไตล์ไต้หวัน ที่มีทั้งความอร่อยและเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความทรงจำและเรื่องราวมากมาย ขนมสไตล์ไต้หวัน มีการปรับปรุงสูตรมาจากขนมโบราณของจีนและใช้วัตถุดิบอาหารในท้องถิ่นมาเป็นส่วนผสมเพื่อสร้างสรรค์รสชาติแห่งความทรงจำที่เป็นเอกลักษณ์ของไต้หวัน
ขนมสไตล์ไต้หวันที่มีทั้งความอร่อยและเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความทรงจำและเรื่องราวมากมาย (ภาพจาก hk.4px.com)
คุณเจิงผิ่นชาง (曾品滄) นักวิชาการที่ศึกษาวิจัยด้านวัฒนธรรมอาหารของไต้หวันเปิดเผยว่า “น้ำตาลกับขนมเป็นของคู่กัน และเกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างใกล้ชิด”คุณเจิงผิ่นชางเล่าถึงความเป็นมาว่า บันทึกเกี่ยวกับกรรมวิธีการผลิตน้ำตาลอ้อยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกพบในประเทศอินเดีย ในขณะเดียวกันอินเดียก็เป็นต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ พระภิกษุในอินเดียใช้น้ำตาลมาทำขนมเพื่อดึงดูดประชาชนให้เข้ามาในวัด ต่อมาเมื่อศาสนาพุทธเผยแผ่เข้าสู่ประเทศจีน ทางวัดก็ได้ใช้ของหวานมาเป็นเครื่องดึงดูดผู้ศรัทธา โดยมีการจัดตั้งโรงเจขึ้นภายในวัด เพื่อบริการขนมแก่เหล่าศาสนิกชนจากแดนไกลที่เดินทางมาสักการะ และการที่ร้านขนมโบราณในไต้หวันหลายแห่งนิยมตั้งชื่อร้านโดยมีคำว่า ไจ (齋 แปลว่า เจ) รวมอยู่ด้วย แท้ที่จริงแล้วก็มีต้นกำเนิดมาจากอดีตกาลอันไกลโพ้นนั่นเอง นานวันเข้า ขนมสามารถใช้ประโยชน์ได้สองทาง ประการแรกใช้ในการบูชาเทพเจ้า ประการที่สองเพื่อให้รางวัลแก่ตนเอง กล่าวได้ว่า ขนมถือเป็นสิ่งของที่ใช้ในการเซ่นไหว้บูชาและเป็นของขวัญได้ด้วย
ขนมถือเป็นสิ่งของที่ใช้ในการเซ่นไหว้บูชาและเป็นของขวัญส่งมอบให้ญาติมิตรได้ด้วย (ภาพจาก winnews.com.tw)
ในไต้หวัน ขนมยังทำหน้าที่ในการเชื่อมมนุษยสัมพันธ์ด้วย คุณเจิงผิ่นชางกล่าวว่า “ในอดีตไต้หวันเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชน ทำให้มีการสู้รบกันด้วยกำลังอาวุธบ่อยๆ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว เรายังมีการพัฒนาวิธีสร้างความปรองดองระหว่างกลุ่มชนโดยการแสดงความเป็นมิตรต่อผู้อื่นด้วย” อาทิ ในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างเทศกาลตรุษจีนหรือเทศกาลไหว้พระจันทร์ จะมีการส่งมอบขนมให้แก่กัน และยังมีการส่งมอบให้แก่แขกที่มาร่วมงานหมั้นของลูกสาวอีกด้วย ขนมจึงถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของประเพณีในไต้หวัน
ในงานหมั้น มีประเพณีฝ่ายหญิงมอบขนมหวานให้แก่แขกที่มาร่วมงาน (niusnews.com)
หากจะสืบสาวต้นตอของขนมสไตล์ไต้หวันต้องย้อนกลับไปถึงยุคญี่ปุ่นยึดครองไต้หวันในอดีตไต้หวันมีผู้ย้ายถิ่นฐานใหม่จากเมืองแต้จิ๋วหรือเฉาโจว (潮州) ซัวเถาหรือซ่านโถว (汕頭) จางโจว (漳州) และเฉวียนโจว (泉州) ซึ่งได้นำขนมจากพื้นที่เหล่านี้เข้ามายังไต้หวันด้วย ปี ค.ศ.1895 ไต้หวันถูกถ่ายโอนไปอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ช่างขนมโบราณของจีนได้ปรับกลยุทธ์การตลาดหันมาผลิตขนมที่มีรสชาติถูกปากชาวญี่ปุ่น และมีช่างทำขนมบางคนเดินทางไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น อาทิ เหยียนซินฟา (顏新發) และเป่าเฉวียน (寶泉) เป็นต้น เมื่อเดินทางกลับไต้หวันก็ได้นำแนวคิดเกี่ยวกับขนมหวานแบบตะวันตกติดตัวมาด้วย
เค้กมันเทศฮัวเหลียนเป็นการผสมผสานระหว่างมันเทศของไต้หวันกับวากาชิ ซึ่งเป็นขนมหวานโบราณของญี่ปุ่น ในภาพด้านบนคือเค้กมันเทศฮัวเหลียน ด้านล่างคือวากาชิของญี่ปุ่น
ขนมสไตล์ไต้หวัน ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ อาทิ ขนมถ้วยฟูน้ำตาลทรายแดงของเผิงหู เลียนแบบสูตรการทำขนมอาการาซา (Agarasaa) ของช่างทำขนมชาวริวคิวของญี่ปุ่น เค้กมันเทศฮัวเหลียนก็เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างมันเทศของไต้หวันกับวากาชิ (wagashi) ซึ่งเป็นขนมหวานโบราณของญี่ปุ่น นอกจากนี้การถือกำเนิดขึ้นของขนมหลายชนิดเกี่ยวข้องกับการเซ่นไหว้ ขนมที่ใช้เซ่นไหว้ถือเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ตามประเพณีดั้งเดิม ขนมบนโต๊ะบูชาในเทศกาลต่างๆ ล้วนแฝงไว้ด้วยความหมายของความมั่งคั่งร่ำรวย ความเป็นสิริมงคลและความสุข หลังเซ่นไหว้เสร็จก็จะนำขนมมาแบ่งปันให้แก่ญาติมิตร ประหนึ่งดังเป็นการแบ่งปันพรจากเทพเจ้า
ขนมเปี๊ยะไส้ถั่วเขียว รสชาติแห่งความทรงจำอันยาวนานนับร้อยปี
ขนมเปี๊ยะไส้ถั่วเขียวหรือภาษาจีนเรียกว่า ลวี่โต้วเพิ่ง (綠豆椪) ตั้งชื่อจากรูปทรงของขนมที่พองตัวขึ้นเมื่อถูกอบด้วยอุณหภูมิสูง (คำว่า 椪 อ่านว่า เพิ่ง ในภาษาฮกเกี้ยนแปลว่า พองตัว มีเสียงและความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า 膨 ที่อ่านว่า เผิง) ในสมัยโบราณจะอบขนมด้วยเตาถ่านซึ่งควบคุมไฟยาก ช่างทำขนมจะต้องเฝ้าอยู่หน้าเตาไฟตลอดเวลา และต้องพลิกก้อนขนมไปมาเพื่อให้รับความร้อนอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ “แต่ก็มักจะมีบางก้อนที่ลืมพลิก”ขนมที่ลืมพลิกจึงได้รับความร้อนเพียงด้านเดียวทำให้อีกด้านหนึ่งพองขึ้น แป้งชั้นนอกที่ไม่ได้สัมผัสกับถาดอบที่ทำจากเหล็กจะมีสีขาวราวกับหิมะ รูปทรงของขนมคล้ายกับลูกปิงปอง จึงถูกเรียกว่า “ลวี่โต้วเพิ่ง” นับจากนั้นเป็นต้นมาชื่อนี้ก็กลายเป็นที่เลื่องลือระบือไกล ในปี ค.ศ.1925 (ศักราชไทโชที่ 14 ซึ่งเป็นการนับปีแบบญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นยุคที่ไต้หวันตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น) ลวี่โต้วเพิ่ง ได้เข้าร่วมการประกวด "นิทรรศการขนมไต้หวัน”ที่จัดขึ้นในเมืองไทจง แข่งกับขนมวากาชิหลากหลายชนิดของญี่ปุ่น สุดท้ายสามารถคว้าเหรียญทองแดงมาครอง ในปัจจุบันลวี่โต้วเพิ่งหรือขนมเปี๊ยะไส้ถั่วเขียวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ร้านขนมทุกร้านมีวางขาย แต่ละร้านจะมีไส้ขนมที่เป็นเอกลักษณ์และมีเทคนิคการอบขนมของตนเอง สามารถกล่าวได้ว่า ลวี่โต้วเพิ่งเป็นขนมไหว้พระจันทร์สไตล์ไต้หวันที่มีชื่อเสียงที่สุด
ขนมเปี๊ยะไส้ถั่วเขียว รสชาติแห่งความทรงจำอันยาวนานนับร้อยปี (ภาพจาก fugicake.com.tw)
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือพายสับปะรด ขนมขึ้นชื่อของไต้หวันซึ่งแฝงไว้ด้วยความหมายของความเป็นสิริมงคล เพราะในภาษาฮกเกี้ยน สับปะรด มีชื่อเรียกว่า ônglâi ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า วั่งไหล (旺來) ในภาษาจีนกลาง ที่แปลว่า ความรุ่งโรจน์ พายสับปะรดเป็นของฝากที่มีชื่อเสียงของไต้หวัน ได้รับฉายาว่า “ทองคำแท่งที่นำมาซึ่งเงินตราต่างประเทศ” ต้นกำเนิดของพายสับปะรดอยู่ที่นครไทจง ร้านเหยียนซินฟา (顏新發) ร้านขนมอายุร้อยปีนำมาปรับปรุงและคิดค้นสูตรใหม่
พายสับปะรด ของฝากขึ้นชื่อของไต้หวัน (ภาพจาก udn.com)
-
1. เงินไม่ถึงอดกิน! บ๊ะจ่างกุ้งมังกร คว้าแชมป์แพงสุดของเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างปีนี้ ราคาลูกละ 2,180 เหรียญ
สุดสัปดาห์นี้ไต้หวันมีวันหยุดยาว 3 วัน เนื่องในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ซึ่งปีนี้วันไหว้บ๊ะจ่างตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน เนื่องจากเป็น 1 ใน 3 เทศกาลสำคัญ เพื่อนผู้ฟังในไต้หวัน หากทำงานในโรงงานและไซต์งานก่อสร้าง ส่วนใหญ่จะได้หยุดงานกัน มีน้อยรายมากที่ต้องทำโอที สำหรับเพื่อนผู้ฟังที่ทำงานเป็นผู้อนุบาลก็ต้องตกลงกันเองกับนายจ้างว่าจะได้หยุดพักหรือไม่
เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างปีนี้ บ๊ะจ่างราคาแพงขึ้น 10-20% (ภาพจาก cosmopolitan.com)
เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างปีนี้ บ๊ะจ่างราคาแพงขึ้น 10-20% (ภาพจาก cosmopolitan.com)
พูดถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ตามประเพณีต้องกินบ๊ะจ่างและไปดูกิจกรรมแข่งเรือมังกรกัน เพื่อนผู้ฟังในไต้หวันหรือลูกหลานชาวจีนในเมืองไทย น่าจะเคยลองชิมกันมาบ้างแล้ว ปีนี้คนไต้หวันบ่นกันว่า บ๊ะจ่างแพงมาก ส่วนแม่ค้าก็บอกว่า วัตถุดิบแพงขึ้นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียว เนื้อหมู เห็ดหอม ไข่แดงเค็ม ถั่วลิสง อันนี้แค่วัตถุดิบแบบธรรมดาทั่วไป ราคาบ๊ะจ่างปีนี้แพงขึ้น 10-20 % แบบธรรมดาที่สุดราคา ตามตลาดสดประมาณ 70-80 เหรียญ แต่ถ้าเป็นบ๊ะจ่างเกรดพรีเมียม ก็จะมีปลิงทะเล เป๋าฮื้อ กุ้งมังกร ราคาก็จะแพงถึงลูกละพันกว่าเหรียญขึ้นไป ปีนี้บ๊ะจ่างที่ทำสถิติแพงที่สุด เป็นบ๊ะจ่างกุ้งมังกรของห้าง SKM (Shin Kong Mitshukoshi : 新光三越) ราคาลูกละ 2,180 เหรียญ
บ๊ะจ่างกุ้งมังกรของห้าง SKM ราคาลูกละ 2,180 เหรียญ คว้าแชมป์บ๊ะจ่างที่แพงที่สุดของปีนี้ (ภาพจาก skm.com.tw)
2. เตือน! ฝนตกบ่อย หลีกเลี่ยงเดินทางเข้าไปในเขตพื้นที่ภูเขา ริมแม่น้ำและชายทะเล
ช่วงนี้เป็นฤดูฝนประกอบกับช่วงก่อนหน้านี้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อย ทำให้ดินบนภูเขาร่วนซุย ส่งผลให้มักเกิดเหตุดินสไลด์บ่อย ๆ กระทรวงคมนาคมเตือนว่า พื้นที่เขตภูเขาทั่วไต้หวัน โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเสี่ยงต่อการเกิดเหตุดินถล่ม จึงขอเตือนเพื่อนๆในไต้หวันหลีกเลี่ยงเดินทางเข้าไปในพื้นที่แถบภูเขา ริมแม่น้ำและชายทะเล ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมาเกิดเหตุภูเขาถล่มบริเวณถนนที่จะเข้าสู่สวนสาธารณะเฉาจิ้งในเมืองจีหลง มีรถยนต์และรถจักรยานยนต์หลายคันได้รับความเสียหาย บริเวณที่ดินสไลด์ลงมา กลายเป็นเขาหัวโล้น สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ 10 คันและรถจักรยานยนต์ 2 คัน โดยในจำนวนนี้ 4 คันถูกทับพังยับเยิน โชคดีมีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียง 2 คน
เหตุภูเขาถล่มบริเวณถนนที่จะเข้าสู่สวนสาธารณะเฉาจิ้งในเมืองจีหลง (ภาพจาก ctinews.com)
เหตุภูเขาถล่มที่เมืองจีหลง โชคดีที่ไม่มีคนเสียชีวิต (ภาพจาก UDN)
3. แผ่นดินไหว ฝนตกบ่อย ภูเขาอวี้ซานเตี้ยลง 5.2 เซนติเมตร เหลือ 3,952.433 เมตร
ด้านสำนักงานบริหารอุทยานแห่งชาติอวี้ซานแถลงว่า หลังแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงระดับ 7.4 เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ประมาณเดือนเศษ ได้มีการตรวจวัดระดับความสูงของภูเขาอวี้ซานผ่านระบบ GPS พบว่า ความสูงของภูเขาอวี้ซานลดลงเหลือ 3,952.433 เมตร เมื่อเทียบกับการตรวจวัดเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วหรือก่อนเกิดแผ่นดินไหวเตี้ยลง 5.2 เซนติเมตร อย่างไรก็ดี ความสูงที่ลดลงยังถือว่า อยู่ในขอบเขตของความคลาดเคลื่อนอันเนื่องมาจากสัญญาณ GPS ดังนั้น จะมีการตรวจวัดใหม่โดยใช้เทคนิคอื่นอีกครั้ง
อวี้ซานเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในไต้หวัน ช่วงฤดูหนาวมักมีหิมะตก (ภาพจาก สนง.บริหารอุทยานแห่งชาติอวี้ซาน)
แผ่นดินไหว ฝนตกบ่อย ภูเขาอวี้ซานเตี้ยลง 5.2 เซนติเมตร (ภาพจาก สนง.บริหารอุทยานแห่งชาติอวี้ซาน)
สำนักงานบริหารอุทยานแห่งชาติอวี้ซานเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาหลังเกิดแผ่นดินไหวมักพบความสูงของภูเขาอวี้ซานมีการเปลี่ยนแปลงทั้งความสูงและตำแหน่ง โดยจะคลาดเคลื่อนไปจากเดิมแต่ที่แน่ๆคือมักจะเกิดเหตุภูเขาถล่มและดินสไลด์หลังแผ่นดินไหว จึงขอให้เพิ่มความระมัดระวัง
หิมะเกาะเต็มกิ่งไม้บนยอดเขาอวี้ซานในช่วงหน้าหนาว ซึ่งอุณหภูมิส่วนใหญ่จะติดลบ (ภาพจาก FB : Cheng Ming Dian อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ไต้หวัน)
4. รู้ไหม? ในไต้หวันมีอาชีพหนึ่งที่ไม่ต้องเรียนจบสูง มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 3.78 ล้านเหรียญ มากกว่าหมอฟันที่ต้องเรียนเก่งเรียนหนักเสียอีก
ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม แพทย์ถือเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีรายได้สูงกว่าอาชีพอื่น ๆ ในจำนวนนี้ ทันตแพทย์หรือหมอฟัน จัดได้ว่ามีรายได้สูง ขณะเดียวกันงานก็ไม่หนักและไม่มีแรงกดดันเท่ากับแพทย์แผนกอื่น ๆ จากข้อมูลของทางการพบว่า หมอฟันที่จบใหม่ เข้าทำงานในปีแรกเงินเดือนเริ่มต้น 40,000-100,000 เหรียญ จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น รายได้เฉลี่ยต่อปีสูงกว่า 3,000,000 เหรียญ เป็นที่อิจฉาของมนุษย์เงินเดือนทั่วไป แต่รู้ไหมว่า การจะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้เป็นเรื่องแสนยาก และกว่าจะเรียนจบ ต้องขยันและใช้เวลานานถึง 6 ปี จากนั้นต้องผ่านการอบรมและฝึกงานกว่าครึ่งปี สอบใบประกอบวิชาชีพทันตกรรมได้แล้วจึงจะเป็นหมอฟันได้ พูดง่าย ๆ กว่าจะทำอาชีพนี้ได้และมีรายได้สูง ไม่ใช่เป็นเรื่อง ๆ ที่ทุกคนจะทำได้ แต่จากรายงานการสำรวจการประกอบธุรกิจค้าปลีกรายย่อยปี 2566 หรือพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือการสำรวจสภาพการค้าขายของกลุ่มพ่อค้า/แม่ค้าในตลาดสดหรือตลาดนัด พบว่ามีพ่อค้า/แม่ค้าประเภทหนึ่งที่มีรายได้ต่อปีเฉลี่ยสูงถึง 3,780,000 เหรียญ ไม่ต้องเรียนจบสูงแต่มีรายได้พอ ๆ กันหรือมากกว่าอาชีพหมอฟันเสียอีก นั่นคือพ่อค้า/แม่ค้าขายเนื้อสัตว์ในตลาดสด
ผลสำรวจพบพ่อค้าเขียงหมูในตลาดสดมีรายได้เฉลี่ยต่อปี 3.78 ล้านเหรียญ มากกว่าหมอฟันที่ต้องเรียนเก่งเรียนหนักเสียอีก (ภาพจาก enews.tw)
สำนักงานสถิติและบัญชีกลางของไต้หวันประกาศผลการสำรวจการประกอบธุรกิจค้าปลีกรายย่อยปี 2566 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 พ่อค้า/แม่ค้าที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกรายย่อยรวมถึงแผงลอยทั่วไต้หวัน มีจำนวน 233,000 ราย จำนวนผู้ประกอบการจริง 357,000 คน แม่ค้าหรือผู้ประกอบการที่เป็นเพศหญิงครองสัดส่วน 54% ตัวเลขนี้ลดลง 74,000 รายหรือลดลง 23.95% เมื่อเทียบกับปี 2561 สาเหตุเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ความนิยมซื้อสินค้าผ่านชอปปิงออนไลน์และธุรกิจเดลิเวอรี่ คือ การจัดส่งสินค้า/บริการถึงที่ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาที่หน้าร้านด้วยตนเอง บวกกับจำนวนนักท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19 ลดลง รายงานการสำรวจพบว่า ช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 - มิถุนายน 2566 พ่อค้า/แม่ค้า มีรายได้ประกอบการ 395,400 ล้านเหรียญไต้หวัน เฉลี่ยรายละ 1,694,000 เหรียญ ช่วง 5 ปีลดลง 3.64%
พ่อค้าเขียงหมูยุคใหม่ บริการสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ จากนั้นส่งถึงบ้านลูกค้าในเวลาอันรวดเร็ว (ภาพจาก nownews.com)
ธุรกิจค้าปลีกรายย่อยที่มีจำนวนมากที่สุดได้แก่ ร้านหรือแผงขายอาหาร เครื่องดื่ม มากถึง 125,000 ราย ครองสัดส่วน 54% ของธุรกิจค้าปลีกรายย่อยในไต้หวัน แต่หากมองจากรายได้แล้ว พ่อค้า/แม่ค้าที่ขายเนื้อสัตว์สดในตลาด มีรายได้ต่อปีสูงสุด 3,789,000 เหรียญ
ผลการสำรวจการประกอบธุรกิจค้าปลีกรายย่อยปี 2566 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 พ่อค้า/แม่ค้าที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกรายย่อยรวมถึงแผงลอยทั่วไต้หวัน มีจำนวน 233,000 ราย จำนวนผู้ประกอบการจริง 357,000 คน (ภาพจาก ctinews.com)
สำหรับมนุษย์เงินเดือน ตำแหน่งงานที่มีเงินเดือนสูงสุด 10 อันดับแรก อันดับหนึ่งไม่ใช่วิศวกรหรือแพทย์ แต่เป็นนักบิน เงินเดือนเฉลี่ย 315,000 เหรียญ ตามด้วยนักคณิตศาสตร์ประกันภัย
กระทรวงแรงงานประกาศผลการสำรวจเงินเดือนคนทำงานในแต่ละอาชีพ 10 อันดับแรกฉบับล่าสุดพบว่า นักบินของสายการบินพาณิชย์มีเงินเดือนสูงสุด เฉลี่ย 315,000 เหรียญ ตามด้วยนักคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuary) หรือผู้เชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อประเมิน วิเคราะห์ และคาดการณ์โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงที่มีผลกระทบทางด้านธุรกิจ เงินเดือนเฉลี่ย 205,000 เหรียญ ยังมีแพทย์ พนักงานควบคุมและบริหารเรือ รวมเจ้าหน้าที่นำร่องเรือสินค้า วิศวกร IT ทนายความและนักกีฬาอาชีพ เป็นต้น ล้วนมีเงินเดือนเฉลี่ยสูงกว่า 100,000 เหรียญ
ตำแหน่งนักบิน เงินเดือนเฉลี่ย 315,000 เหรียญ สูงสุดในบรรดามนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ในภาพเป็นนักบินเครื่องบินบรรทุกสินค้าของไชน่าแอร์ไลน์ (ภาพจาก China Airline)
-
1. เชื่อไหม? ชาวไต้หวันชอบกินขนมปังและเค้ก ทำธุรกิจเบเกอรี่โตแสนล้าน ทั่วไต้หวันมีร่วม 6,000 ร้าน มากกว่า 7-11
ท่านที่พำนักอยู่ในไต้หวันหรือเคยมาเที่ยว จะพบว่ามีร้านเบเกอรี่เต็มไปหมด จำนวนมากกว่า 7-11 ร้านสะดวกซื้อแบรนด์ดังเสียอีก หรือประมาณ 1 ใน 3 ของร้านสะดวกซื้อทุกแบรนด์รวมกัน แสดงถึงความนิยมทานขนมปังและขนมเค้กของชาวไต้หวันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ท้องถิ่น ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส ฯลฯ มีหมด
ชาวไต้หวันชื่นชอบทาขนมปังและเค้ก ร้านเบเกอรี่ในไต้หวันมีจำนวน 5,700 ร้าน มากกว่า 7-11 ร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่สุดของไต้หวันที่มี 4,200 ร้านเสียด้วยซ้ำ (ภาพจาก winnews.com.tw)
จากข้อมูลของกระทรวงการคลังพบว่า 9 เดือนแรกในปี 2566 ร้านเบเกอรี่ในไต้หวันเปิดเพิ่มอีก 146 ร้าน รวมกว่า 5,700 ร้าน มากกว่า 7-11 ร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่สุดของไต้หวันที่มี 4,200 ร้านเสียด้วยซ้ำ มูลค่าตลาดของธุรกิจนี้สูงกว่า 100,000 ล้านเหรียญไต้หวัน และเพื่อจะดึงดูดผู้บริโภค ยกระดับชื่อเสียงของแบรนด์ ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเลือกกลยุทธ์ตลาด โดยร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ที่เรียกกันว่า Co-branding หรือจับมือกันข้ามธุรกิจ
เมนูพุดดิ้ง รางวัลเหรียญทองจากเวที่ระดับสากล Taipei Int’l Bakery Show ประจำปี 2567 (ภาพจาก winnews.com.tw)
ร้านขนมปังและเค้กในไต้หวัน มีความหลากหลายมาก เพื่อจะให้มีการยกระดับคุณภาพ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและผุดไอเดียใหม่ ๆ จะมีการจัดงาน Taipei Int’l Bakery Show ในช่วงกลางเดือนมีนาคมเป็นประจำทุกปี ในงานจัดแสดงและประกวดขนมปัง เค้ก ขนมอบ คุกกี้ พุดดิ้งและขนมขบเคี้ยว เป็นต้น เชฟเบเกอรี่หรือช่างทำขนมปัง ประดิดประดอยขนมปังแบบดั้งเดิมด้วยไอเดียสมัยใหม่ อย่างร้านเบเกอรี่ที่ภาคใต้ ทำขนมปังสอดไส้หมูพะโล้หรือหลู่โร่ว รสชาติหวานเค็มปนกัน อร่อยไปอีกแบบ และไม่เพียงแต่จะแลกเปลี่ยนหรือแข่งกันเอง ยังมีการแลกเปลี่ยนหรือไปแข่งขันในเวทีระดับโลก คว้ารางวัลกลับมามากมาย อย่างอูเป่าชุน และหวาง เผิงเจี๋ย สองมาสเตอร์เชฟแห่งโลกเบเกอรี่ เจ้าของรางวัลการแข่งขันทำขนมปังชิงแชมป์โลก (Masters de la Boulangerie) กล่าวว่า ธุรกิจเบเกอรี่ของไต้หวัน ไม่เพียงแต่จะพัฒนาไปในทางที่น่ากิน น่าซื้อ ยังเน้นในเรื่องของความปลอดภัยและดีต่อสุขภาพด้วย
เมนูขนมปังอบที่เข้ารอบการประกวดในเวที Taipei Int’l Bakery Show (ภาพจาก winnews.com.tw)
2. ต้องจองล่วงหน้า ร้านเบเกอรี่ไต้หวันสุดเฟี้ยว ทำเค้กหัวปลา ซูชิ แก้วเบียร์สด ฯลฯ เหมือนเปี๊ยบ ยังสุดอร่อยจนลูกค้าแห่ซื้อ
พูดถึงเบเกอรี่ของไต้หวัน เอกลักษณ์เด่นคือไม่หวานมาก มีหลากหลายรูปแบบและหลากหลายรสชาติ แต่ละร้านมีสูตรและไอเดียเก๋ไก๋ เพื่อดึงดูดลูกค้า ในจำนวนนี้มีร้านหนึ่งที่จะนำมาแนะนำให้ได้รู้จัก ที่บ้านเรามีเค้กซูชิ เค้กปลาแซลม่อน ฯลฯ แต่เป็นซูชิและปลาแซลมอนจริงที่ตกแต่งเหมือนเค้ก ร้านที่จะนะนำนี้ ใช้เค้กทำเป็นรูปทรงต่าง ๆ และทานได้ทั้งหมด เช่นทำเป็นรูปหัวปลา ทำเป็นซูชิ ทำเป็นปลาซันมะย่างเกลือ ทำเป็นชาวันมูชิหรือไข่ตุ๋นญี่ปุ่น หรือทำเป็นแก้วเบียร์สดสุดเหมือน มองเผิน ๆ นึกว่าเป็นปลา เป็นซูชิหรือชาวันมูชิ แต่จริง ๆ เป็นเค้ก และทานได้ทั้งหมด รวมทั้งแก้วและถ้วยชาม
เค้กรูปทรงน้อยหน่าแสนอร่อยจากร้านโพซโซ่ เบเกอรี่ (ภาพจาก chinatimes.com)
เค้กหัวปลาและซูชิ เค้กขายดีประจำร้าน โพซโซ่ เบเกอรี่ (ภาพจาก chinatimes.com)
ปลาซันมะย่างสุดเหมือน เค้กอร่อยจากร้านโพซโซ่ เบเกอรี่ (ภาพจาก chinatimes.com)
ร้านที่ออกแบบเค้กไอเดียแปลก ๆ นี้ คือโพซโซ่ เบเกอรี่ (普諾麵包坊: Pozzo Bakery) เดิมเป็นร้านเบเกอรี่ชื่อดังอยู่ในโรงแรม ซานวอนต์ ในกรุงไทเป แต่โรงแรมนี้ปิดไปแล้ว หลังทนภาวะขาดทุนจากการที่ไม่มีลูกค้าเข้าพักในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ไม่ไหว ก็เลยออกมาเปิดใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกัน บนถนนจงเสี้ยวตงลู่ตอนที่ 4 ในกรุงไทเป ด้วยความเชี่ยวชาญ ประณีตและมีไอเดียกระฉูด ทำให้ลูกค้าไปอุดหนุนกันคับคั่งเหมือนเดิม ขนมเค้กของร้านนี้ ไม่เพียงแต่สีสันสวยแปลกตา อร่อย ใช้วัตถุดิบอย่างดี ไม่ปรุงแต่งกลิ่น รส สีด้วยสารสังเคราะห์และไม่ใช้สารต้านแบคทีเรียใด ๆ สนนราคาก็ทั่วไป ไม่ถึงกับแพง ดึงดูดลูกค้าต่อแถวแห่ซื้อกันทุกวัน หากต้องการเค้กรูปทรวงแปลกตา ต้องสั่งจองอย่างน้อย 3 วัน
เค้กรูปทรงแก้วเบียร์สดแสนเหมือน ที่แท้เป็นเค้กกินได้ทั้งแก้วจากร้านโพซโซ่ เบเกอรี่ (ภาพจาก chinatimes.com)
เค้กรูปทรงซูชิไขปลาน่ากินจากร้านโพซโซ่ เบเกอรี่ (ภาพจาก chinatimes.com)
เค้กรูปทรงชาวันมูชิหรือไข่ตุ๋นญี่ปุ่น กินได้ทั้งถ้วยจากร้านโพซโซ่ เบเกอรี่ (ภาพจาก chinatimes.com)
3. ลองหรือยัง? ร้านบะหมี่อัจฉริยะไร้พนักงาน สวรรค์ของคนชอบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาหลี
กำลังเป็นเทรนด์ร้านอาหารที่มาแรงในขณะนี้ โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว นิยมไปใช้บริการกันมากนั่นก็คือ ร้านบะหมี่อัจฉริยะไร้พนักงาน ที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ลูกค้าบริการตัวเองหมด ตั้งแต่สั่งบะหมี่ ชำระเงิน ต้มบะหมี่ใส่เครื่องปรุง ผัก หมู ไข่ไก่ ปรุงและยกเสิร์ฟด้วยตนเอง ทานเรียบร้อยแล้วเก็บภาชนะไปวางในจุดที่กำหนด
ร้านบะหมี่อัจฉริยะไร้พนักงานให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของคนหนุ่มสาว ผุดขึ้นมากมาย (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
ร้านบะหมี่อัจฉริยะไร้พนักงานให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของคนหนุ่มสาว ผุดขึ้นมากมาย (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
ร้านบะหมี่อัจฉริยะไร้พนักงานให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของคนหนุ่มสาว ผุดขึ้นมากมาย (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้จัดไปลองใช้บริการร้านบะหมี่อัจฉริยะไร้พนักงานแถวใกล้บ้านมา ด้วยความที่อยากลองของใหม่และอยากนำประสบการณ์มาเล่าให้เพื่อนผู้ฟังได้รับฟังกัน เพราะเห็นคนนิยมกันมาก และร้านในลักษณะเช่นนี้ผุดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะย่านการค้าใกล้มหาวิทยาลัย แค่เดินเข้าไปภายในร้านก็รู้สึกราวกับหลุดเข้าไปในร้านบะหมี่ที่เกาหลีกันเลยทีเดียว ฝาผนังด้านหนึ่งของร้านทำเป็นชั้นวางซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาหลี 40 กว่าชนิด เนื่องจากสีสันของซองบะหมี่ที่สดใสและวางเรียงกันเต็มฝาผนัง ทำให้ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ทำเอาเลือกไม่ถูกเลยว่าจะลองชนิดไหนดี
ร้านนี้มีบริการเฉพาะบะหมี่เกาหลีมากกว่า 40 ชนิด (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
ไม่มีพนักงาน บริการตัวเองทุกอย่าง รวมถึงจ่ายเงินผ่านตู้คีออส (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
ทำรายการสั่งบะหมี่และเครื่องเคียงผ่านตู้คีออส สะดวกสบายแต่ต้องอ่านภาษาจีนได้ (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
เนื่องจากไม่มีพนักงานบริการ ดังนั้นลูกค้าต้องไปทำรายการที่ตู้คีออส โดยเริ่มจากเลือกชนิดของบะหมี่ ตามด้วยวัตถุดิบอื่นๆเช่น เนื้อสัตว์ที่มีทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ ชีสแผ่น ข้าวสวย และยังมีอาหารทานเล่น อย่างพิซซ่า เนื้ออกไก่นึ่ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มชนิดต่างๆของเกาหลีด้วย แต่ผักสด ปูอัด ถั่วงอก ข้าวโพด กิมจิ บริการฟรี โดยบะหมี่ราคาตั้งแต่ 90-118 เหรียญ ถ้าไม่เลือกสั่งอย่างอื่นเพิ่มก็กดจ่ายเงินได้ทันที วิธีการจ่ายเงินบางร้านใช้เงินสดสอดใส่ช่องรับเงินที่มีทั้งช่องรับธนบัตรกับช่องรับเหรียญ บางร้านสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรอีซี่การ์ดจ่ายได้ด้วย
ผักและเครื่องเคียง บริการฟรี (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
ไม่มีพนักงานต้องต้มบะหมี่เอง เทบะหมี่ใส่ถาดกระดาษฟอยล์ ใส่ผัก ปูอัด กดน้ำร้อน (ภาพจากอัญชัน ทรงพุทธิ์)
หน้าตาบะหมี่ที่ปรุงเสร็จแล้ว อีกจานเป็นเนื้ออกไก่นึ่งที่สั่งมาลองชิม อร่อยไปอีกแบบ (ภาพจากอัญชัน ทรงพุทธิ์)
จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วเครื่องจะพิมพ์ใบเสร็จให้หรือใช้สแกนบาร์โค้ดของใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ จากนั้นก็ไปหยิบบะหมี่ และวัตถุดิบที่เราสั่งซื้อ ตรงนี้ถ้าเจอคนขี้โกง สามารถใช้วิธีสั่งซื้อบะหมี่ราคาถูกแล้วไปหยิบบะหมี่ราคาแพงแทนก็ได้ แต่ไม่แนะนำเพราะในร้านมีกล้องวงจรปิด เจ้าของร้านอาจนั่งดูอยู่หน้าจอก็เป็นได้ ได้บะหมี่แล้วก็ไปหยิบถาดกระดาษฟอยล์ ฉีกซองบะหมี่เทบะหมี่และเครื่องปรุง ตักผักสด ถั่วงอก ต้นหอมเติมลงไป เติมน้ำร้อนจากเครื่องทำน้ำร้อนแล้วเอาไปต้มบนเตาไฟฟ้าประมาณ 3-4 นาที แล้วแต่ชนิดของบะหมี่ มีให้เลือกว่าเป็นบะหมี่น้ำหรือบะหมี่แห้ง ระยะเวลาต้มบะหมี่จะไม่เท่ากัน
ภายในร้านสะอาดสะอ้าน น่าเข้าไปนั่งรับประทานอาหาร (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
ในยุค AI ร้านอาหารและร้านค้าจำนวนมากพัฒนาเป็นร้าน "ไร้พนักงาน" เช่น ร้านซักรีดบริการตนเอง ร้านตู้หนีบตุ๊กตา และร้านค้าของ Shopee ขณะนี้ ร้านบะหมี่อัจฉริยะไร้พนักงานกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ร้านบะหมี่อัจฉริยะจะแย่งลูกค้าร้านขายบะหมี่ดั้งเดิมหรือไม่ นักวิชาการด้านการจัดการและนักการตลาดแสดงทัศนะว่า ร้านบะหมี่อัจฉริยะตอบสนองความต้องการของตลาดยุคใหม่ สามารถลดต้นทุนแรงงาน แต่จะขยายร้านเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ คงต้องติดตามต่อไป
อิ่มหน่ำสำราญแล้วก็ต้องทิ้งลายเซ็นไว้ซะหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าตกกระแส (ภาพโดยอัญชัน ทรงพุทธิ์)
ส่วนร้านบะหมี่ดั้งเดิมที่ต้องเผชิญกับการแข่งขัน คงต้องปรับรูปแบบให้มีเอกลักษณ์เพื่อให้เกิดความแตกต่าง ส่วนชาวเน็ตได้มีการถกเถียงกันไม่น้อย มีผู้ให้ความเห็นว่า "ข้อเสียคือไม่มีคนบริการ" บ้างก็บอกว่า "อาหารมื้อดึกราคาร้อยกว่าเหรียญไต้หวันยอมรับได้" "ซื้อบะหมี่หนึ่งซอง ใส่เครื่องเคียงฟรี ต้มแล้วได้บะหมี่เต็มชาม คุ้มกว่าซื้อในร้านสะดวกซื้อหรือที่แผงอาหาร"
- Laat meer zien